เกร็ดสามก๊ก
ขบถในวุยก๊ก
เล่าเซี่ยงชุน
ในนิยายอิงพงศาวดารเรื่องสามก๊กนั้น มีเรื่องราวของการขบถโค่นอำนาจกัน นับไม่ถ้วนครั้ง ขุนนางขบถต่อฮ่องเต้ หรือขบถต่อขุนนางด้วยกันเอง ทหารทรยศต่อนาย หรือไม่นายก็หักหลังลูกน้องเสียเอง มีอยู่มากมายจนไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก เอาเป็นว่าผู้ชนะเป็นผู้ถูกต้อง ฝ่ายแพ้ก็เป็นขบถ หมดโอกาสหายใจก็แล้วกัน ในยุคราชวงศ์ฮั่นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็มีการขบถหลายครั้ง ต่อมาถึงราชวงศ์วุยของวุยก๊ก จากพระเจ้าโจผี มาถึงพระเจ้าโจฮอง สุมาอี้ก็ยึดอำนาจจากมหา อุปราชโจซอง พระญาติวงศ์ของฮ่องเต้ เป็นผลสำเร็จ ได้กลับมาเป็นมหาอุปราชอีกครั้ง
ครั้นสุมาอี้ถึงแก่ความตายไปใน พ.ศ.๗๙๔ สุมาสูกับสุมาเจียวผู้บุตรก็ได้เป็น ผู้สำเร็จราชการ ฝ่ายพลเรือนและทหารแทนบิดา ต่อมาอีกสามปี พระเจ้าโจฮองคิดกำจัดพี่น้องแซ่สุมา แต่สุมาสูจับได้จึงถอดออกจากราชบัลลังก์ และยกโจมอขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน พระเจ้าโจมอ ครองราชสมบัติมาได้ประมาณสองปี ก็เกิดการขบถขึ้นในราชอาณาจักรติดต่อกันสองครั้งสองหน
ครั้งแรกนั้นเกิดจากบู๊ขิวเขียม เจ้าเมืองเกงจิ๋วซึ่งได้ว่าเมืองห้วยหลำและเมือง ชิวฉุน ด้วย รู้ข่าวว่าสุมาสูโอหังเนรเทศพระเจ้าโจฮอง แล้วเอาเชื้อพระวงศ์หางแถว หลานของพระเจ้าโจผี ซึ่งเป็นเจ้าเมืองงวนเสีย มาตั้งให้เป็นฮ่องเต้ตามอำเภอใจ ก็แค้นเคืองจึงปรึกษากับบุนขิมซึ่งเป็นพรรคพวกของโจซอง และถูกสุมาอี้บิดาของสุมาสูกำจัดไปเมื่อหลายปีก่อน บู๊ขิวเขียมก็เล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟังแล้วจึงว่า ด้วยเหตุดังนี้ตนจึงมีความเจ็บแค้นนัก
บุนขิมก็บอกว่า
“……..ท่านคิดจะทำการบำรุงแผ่นดิน ควรอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะช่วย บุตรข้าพเจ้าคนหนึ่งมีกำลังมากนัก อาจสามารถจะสู้คนได้หมื่นหนึ่ง มันก็คิดแค้นอยู่ จะใคร่กำจัดสุมาสูจะได้แก้แค้นโจซอง ถ้าเราจะยกไป เราตั้งให้เป็นทัพหน้าเห็นจะมีชัยแก่ข้าศึก ……”
บู๊ขิวเขียมก็ยินดีรินสุราใส่จอกลง ตั้งสัตย์สาบานต่อกัน แล้วก็ไปเกลี้ยกล่อมนายทหารเมืองห้วยหลำว่า นางกวยทายเฮามารดาของพระเจ้าโจฮอง มีตรารับสั่งมาให้ทหารทั้งปวงไปพร้อมกันที่เมืองชิวฉุน ครั้นทหารมาถึงพร้อมกันแล้ว จึงให้ตั้งโรงพิธีข้างทิศตะวันตก ให้ฆ่าม้าขาวตัวหนึ่ง เอาโลหิตมาเป็นน้ำพิพัฒน์สัจจา ให้ทหารทั้งปวงกิน แล้วจึงว่าสุมาสูเป็นขบถต่อแผ่นดิน นางกวยทายเฮามีรับสั่งมา ให้ยกกองทัพไปกำจัดสุมาสูเสีย ทหารทั้งปวงก็มีความยินดีที่จะร่วมมือกัน บู๊ขิวเขียมจึงคุมทหารห้าหมื่นยกไปตั้งที่เมืองฮางเสีย ส่วนบุนขิมคุมทหารสองหมื่นเป็นทัพหนุน และบู๊ขิวเขียมก็มีหนังสือแจ้งหัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นอยู่ ให้ยกทหารมาช่วยอีก
ขณะนั้นสุมาสูป่วยตาเป็นต้อ ให้หมอมาผ่าตัดแล้วใส่ยา รักษาอยู่หลายวันแล้ว เมื่อทราบข่าวก็ตกใจ แต่จะให้ผู้อื่นคุมทหารไปปราบปรามก็เกรงว่าจะต้านทานมิได้ จึงให้ สุมาเจียวผู้น้องอยู่รักษาเมือง ตนเองสู้มานะกัดฟันขึ้นรถยกกองทัพไปตั้งที่เมืองซงหยง เพื่อบัญชาการปราบขบถทั้ง ๆ ที่ยังป่วยอยู่
เมื่อถึงแล้วก็ปรึกษาหารือกับขุนนางและนายทหาร หาทางที่จะเอาชัยแก่ฝ่ายขบถ ที่ปรึกษาคนหนึ่งก็เสนอว่า
“……..บู๊ขิวเขียมคนนี้มีสติปัญญาความคิดอยู่ แต่ว่าคิดอ่านสิ่งใดก็หาตลอดไม่ ฝ่ายบุนขิมมีกำลังมากแต่ว่าหาปัญญาความคิดไม่ ฝ่ายทหารเมืองห้วยหลำมีฝีมือเข้มแข็ง กล้าหาญนัก เราเลินเล่อดูหมิ่นนั้นไม่ได้ ขอให้รักษาค่ายคูไว้ให้มั่นคง ถ้าเราเห็นว่ากำลังข้าศึกร่วงโรยลงแล้ว จึงค่อยคิดอ่านตีให้ยับเยิน อย่าให้ทันรู้ตัวเลย…….”
แต่อีกคนหนึ่งแย้งว่า
“………กองทัพขบถยกมาครั้งนี้ มิใช่ทหารทั้งปวงมีใจคิดอ่านมาเอง เป็นเหตุเพราะบู๊ขิวเขียมคิดอ่าน ทหารทั้งปวงขัดมิได้ก็จำใจมา ถ้าเรายกกองทัพใหญ่เข้าตี ก็เห็นว่าทหารทั้งปวงจะพลอยหนีกระจายไป………”
สุมาสูเห็นชอบตามคนหลัง จึงสั่งให้เลื่อนกองทัพหลวงไปอยู่ที่สะพานอิ่นซุย และให้กองหน้ายกไปตั้งค่ายอยู่หน้ากำแพงเมืองลำเต๋ง ป้องกันฝ่ายขบถจะเจ้ามาโจมตี
บู๊ขิวเขียมก็ยกทหารจากเมืองฮางเสีย ตั้งใจจะมาตีเมืองลำเต๋งเหมือนกัน เมื่อเห็นทัพสุมาสูมาตั้งป้องกันไว้ก่อนแล้ว ก็ถอยกลับมาเมืองฮางเสีย
สุมาสูก็ให้แยกทหารออกเป็นสามกอง ไปตีเมืองงักเกเสีย เมืองฮางเสีย และเมืองชิวฉุน กับมีหนังสือแจ้งไปถึงเตงงายเจ้าเมืองกุนจิ๋ว ให้ยกไปช่วยตีเมืองงักเกเสียอีกแรงหนึ่งด้วบ
บู๊ขิวเขียมตั้งหลักอยู่ที่เมืองฮางเสีย ก็ให้ม้าใช้ไปสอดแนมฟังข่าวอยู่เนือง ๆ และเชิญบุนขิมมาปรึกษาว่า เป็นห่วงเมืองงักเกเสีย กลัวสุมาสูจะยกทหารไปตีเอา บุนขิมก็ว่า
“……..ข้าพเจ้ากับบุนเอ๋งขอทหารสักห้าพัน จะไปรักษาเมืองงักเกเสียไว้ให้ได้ ท่านอย่าวิตกเลย……”
บู๊ขิวเขียมก็จัดการให้ บุนขิมกับบุนเอ๋งบุตรชายก็ยกทหารไป ถึงกลางทางมีม้าใช้มาบอกว่า กองทัพเมืองวุยก๊กประมาณหมื่นเศษ ยกมาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก มีธงสำคัญชื่อสุมาสู เพิ่งตั้งค่ายอยู่ยังไม่เสร็จ บุนเอ๋งบุตรชายอายุสิบแปดปี สูงห้าศอก ขี่ม้ายืนอยู่ใกล้บิดาจึงว่า เขาตั้งค่ายอยู่ยังมิทันสำเร็จ ถ้าเรายกไปเป็นสองกอง ตีกระหนาบเข้าเห็นจะได้โดยสะดวก บุนขิมก็ถามว่า เราจะยกไปเวลาใดดี บุนเอ๋งก็ว่า
“……..ยกไปค่ำวันนี้แลเห็นจะได้ท่วงที บิดาคุมทหารครึ่งหนึ่งยกไปข้างทิศใต้ ข้าพเจ้าจะคุมทหารครึ่งหนึ่งไปตีข้างทิศเหนือ เวลาเที่ยงคืนให้ยกเข้าไปตีพร้อมกัน……”
ครั้นถึงเวลานัดบุนเอ๋งก็ใส่เกราะเหน็บกระบองเหล็ก ขึ้นม้าพาทหารเข้าไปใกล้ค่ายของสุมาสู ซึ่งขณะนั้นสุมาสูตั้งทัพคอยเตงงายซึ่งยังมาไม่ถึง ปวดตาเป็นกำลังก็นอนอยู่ในเตียง ให้ทหารประมาณสามร้อยล้อมวงรักษาอยู่โดยรอบ พอเวลาเที่ยงคืนได้ยินเสียงทหารในค่ายเอิกเกริกวุ่นวายทั้งม้าทั้งคน จึงให้ทหารไปดูได้ความว่า ทหารข้าศึกคนหนึ่งมีพละกำลังมาก นำทหารไล่ตีบุกรุกเข้ามาทางทิศเหนือ ไม่มีผู้ใดจะต้านทานได้ สุมาสูได้ยินดังนั้นก็ตกใจนัก ให้ร้อนในอกเหมือนเพลิงเผา โรคตานั้นก็กำเริบขึ้น ลูกตาก็ปะทุออกมา แต่กลัวว่าทหารทั้งปวงจะเสียน้ำใจ ก็เอาผ้าผวยห่มนอน เข้าไปกัดเคี้ยวจนผ้าขาดไป
ฝ่ายบุนเอ๋งพาทหารแหกค่ายเข้าไปได้ ก็ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาสูล้มตายลงเป็นอันมาก บุนเอ๋งบ่ายหน้าไปทางไหนก็วินาศไปไม่มีผู้ต้านทาน ตีแต่ทิศเหนือด้านเดียว คอยดูบิดาว่าจะยกมากระหนาบทางทิศใต้ก็ไม่เห็น ครั้นจะตีต่อไปให้ถึงทัพหลวง ทหารสุมาสูก็ยิงเกาทัณฑ์สะกัดไว้ดังห่าฝน บุนเอ๋งบุกรุกไล่อยู่จนสว่างก็หักเข้าไปไม่ได้ ครั้นได้ยินเสียงแตรเสียงกลองจากองทัพที่มาทางทิศเหนือ ก็ประหลาดใจว่าทำไมบิดาจึงไม่เข้าตีทางทิศใต้ จึงควบม้ากลับไปดู ก็เจอกับเตงงายถือง้าวขี่ม้านำหน้าทหารเมืองกุนจิ่วเข้ามา
บุนเอ๋งก็รำทวนเข้าไปสู้รบกันได้ประมาณห้าสิบเพลง ไม่ทันจะแพ้ชนะ ก็ถูกทหารของสุมาสูหนุนเข้ามาตีกระหนาบทั้งหน้าหลัง ทหารบุนเอ๋งน้อยตัวกว่าก็หลบหลีกหนีเอาตัวรอดไปหมด เหลือบุนเอ๋งคนเดียวก็รบแหวกข้าศึกหนีออกไปทางทิศใต้ ทหารสุมาสูที่มีฝีมือชั้นเยี่ยมประมาณร้อยคน ควบม้าไล่ตามไปจนถึงสะพานงักเกเสีย บุนเอ๋งเห็นทหารเหล่านั้นไล่มาใกล้จะทัน ก็ชักม้าหันกลับเข้าต่อสู้จนทหารทั้งร้อยนั้นต้องถอย บุนเอ๋งก็กลับม้าค่อยเดินไปทางเดิม ทหารเหล่านั้นก็มุมานะไล่ตามไปอีก บุนเอ๋งหันหน้ากลับมาร้องว่า อ้ายพวกทหารหนูไม่กลัวความตาย แล้วก็ชักกระบองเหล็กไล่ตีล้มตายไปเป็นอันมาก ทหารของสุมาสูพวกนี้แตกแล้วก็กลับไล่ตามแล้วแตกอีกถึงสี่ห้าครั้ง จนเหลือน้อยตัวลงจึงยกกลับไป บุนเอ๋งจึงไปอยู่ที่เมืองชิวฉุน
เหตุที่บุนขิมบิดาของบุนเอ๋ง ไม่เข้าตีค่ายสุมาสูทางทิศใต้ ตามที่นัดกันไว้นั้น เหตุเพราะยกออกมาเวลากลางคืนอ้อมข้างเขาวกเวียนไปจนหลงทางหาทางไปค่ายของสุมาสูไม่ได้จนยันรุ่ง ครั้นถึงเวลาเช้าไม่เห็นทหารของบุตรชาย มีแต่ทหารของสุมาสูซึ่งมีชัยชนะ รุกไล่เข้ามามากมายนัก เห็นเหลือกำลังก็ถอยทัพหนีไปทางเมืองชิวฉุนด้วย ครั้นไปถึงก็พบว่าจูกัดเอี๋ยนทหารของ สุมาสูยึดเมืองไว้ได้แล้ว ก็ยกกลับไปเมืองฮางเสีย ก็เจอเตงงายยกมาตั้งสะกัดไว้ เห็นว่าจะตีหักเข้าไปไม่ได้ จึงยกไปอยู่ที่เมืองกังตั๋ง
ฝ่ายบู๊ขิวเขียมซึ่งอยู่ที่เมืองฮางเสีย รู้ว่าเมืองชิวฉุนเสียแกจูกัดเอี๋ยนแล้ว บุนขิมก็แตกทัพไปแล้ว กองทัพของสุมาสูก็ยกเข้ามาล้อมเมืองไว้สี่ด้าน ไม่มีทางที่จะสู้ ก็พาทหารคนสนิทประมาณสิบคน หนีไปถึงเมืองซิมก๋วน เจ้าเมืองก็เปิดประตูรับเข้าไป แล้วแต่งโต๊ะมาเลี้ยงรับรอง พอบู๊ขิวเขียมเมาสุรา ก็ฆ่าเสียแล้วตัดศรีษะส่งไปให้สุมาสูเอาความชอบ
เมื่อสุมาสูปราบปรามขบถเมืองฮางเสียเรียบร้อยแล้ว ก็ตั้งให้จูกัดเอี๋ยนเป็นนายทหารใหญ่ ได้ว่าราชการเมืองเองจิ๋ว เมืองห้วยหลำ และเมืองขึ้นทั้งปวง แล้วก็ยกทัพกลับเมืองฮูโต๋
จูกัดเอี๋ยนคนนี้ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับขงเบ้งหรือจูกัดเหลียง เมื่อขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ได้รับราชการ เป็นขุนนางผู้น้อยอยู่เมืองฮูโต๋ของวุยก๊ก แต่ไม่มีผู้ใดไว้ใจด้วยเกรงว่าจะไปเข้าด้วยขงเบ้ง ซึ่งเป็นศัตรูกับวุยก๊ก เมื่อขงเบ้งตายแล้วจึงได้เป็นทหารของวุยก๊กต่อมา การศึกครั้งนี้มีความชอบมาก จึงได้บำเหน็จเป็นเจ้าเมืองใหญ่
สุมาสูกลับมาเมืองฮูโต๋แล้วก็ป่วยหนัก ให้เจ็บปวดเป็นกำลัง เวลากลางคืนนอนไม่หลับ เคลิ้มม่อยไปหน่อยหนึ่ง ก็แลเห็นบรรดาผู้คนที่ตนได้ฆ่าฟันมาแต่ก่อน พากันมายืนอยู่หน้าเตียง ก็รู้ตัวว่าจะไม่รอดแล้ว จึงใช้คนไปเมืองลกเอี๋ยงตามสุมาเจียวให้มาหา สุมาเจียวมาถึงก็เข้าไปเยี่ยมพี่ชายถึงเตียงนอน เห็นว่าป่วยหนักจะไม่รอดแล้วก็ร้องไห้
สุมาสูจึงว่า ตนทำราชการมาจนได้เป็นที่มหาอุปราช อุตส่าห์รักษาตัวมาได้ไม่มีอันตราย เจ้าจะทำราชการแทนพี่สืบไป จงระวังรักษาตัวให้ดี ถ้ามีราชการเป็นข้อใหญ่อย่าไว้ใจแก่ผู้อื่น จะ

สิ้นทั้งโคตร สั่งแล้วก็มอบตรามหาอุปราชให้น้องชาย แล้วก็สิ้นใจตาย
สุมาเจียวก็แต่งการศพพี่ชายตามประเพณี แล้วก็ไปกราบทูลพระเจ้าโจมอที่เมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจมอก็มีรับสั่งให้สุมาเจียวตั้งอยู่ในเมืองฮูโต๋ ป้องกันกองทัพเมืองกังตั๋ง สุมาเจียวก็ไม่เต็มใจ แต่มิรู้ที่จะขัดประการใด
จงโฮยนายทหารเอกจึงว่า
“……..ท่านมหาอุปราชพึ่งดับสูญ น้ำใจทหารทั้งปวงยังมิราบคาบ ท่านจะตั้งอยู่เมืองฮูโต๋นี้ แม้มีคนคิดร้ายวุ่นวายขึ้นข้างในวัง ซึ่งจะไปกำจัดเสียนั้นเห็นจะมิทันการ……”
สุมาเจียวก็เห็นชอบด้วย จึงยกทหารไปตั้งอยู่ที่ตำบลลกซุย ใกล้เมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจมอรู้ดังนั้นก็ตกใจนัก ขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลขอให้พระเจ้าโจมอ ตั้งให้สุมาเจียวเป็นมหาอุปราชแทนพี่ชาย จะได้มีน้ำใจทำราชการต่อไป พระเจ้าโจมอจึงมีรับสั่งให้สุมาเจียวเข้าเฝ้า และตั้งให้เป็นที่มหาอุปราช สุมาเจียวคำนับรับตำแหน่ง และว่าราชการแผ่นดินแทนสุมาสูต่อไป
##########
วางเมื่อ ๒๙ มิ.ย.๕๖
เกร็ดสามก๊ก ๒๙ มิ.ย.๕๖
ขบถในวุยก๊ก
เล่าเซี่ยงชุน
ในนิยายอิงพงศาวดารเรื่องสามก๊กนั้น มีเรื่องราวของการขบถโค่นอำนาจกัน นับไม่ถ้วนครั้ง ขุนนางขบถต่อฮ่องเต้ หรือขบถต่อขุนนางด้วยกันเอง ทหารทรยศต่อนาย หรือไม่นายก็หักหลังลูกน้องเสียเอง มีอยู่มากมายจนไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก เอาเป็นว่าผู้ชนะเป็นผู้ถูกต้อง ฝ่ายแพ้ก็เป็นขบถ หมดโอกาสหายใจก็แล้วกัน ในยุคราชวงศ์ฮั่นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็มีการขบถหลายครั้ง ต่อมาถึงราชวงศ์วุยของวุยก๊ก จากพระเจ้าโจผี มาถึงพระเจ้าโจฮอง สุมาอี้ก็ยึดอำนาจจากมหา อุปราชโจซอง พระญาติวงศ์ของฮ่องเต้ เป็นผลสำเร็จ ได้กลับมาเป็นมหาอุปราชอีกครั้ง
ครั้นสุมาอี้ถึงแก่ความตายไปใน พ.ศ.๗๙๔ สุมาสูกับสุมาเจียวผู้บุตรก็ได้เป็น ผู้สำเร็จราชการ ฝ่ายพลเรือนและทหารแทนบิดา ต่อมาอีกสามปี พระเจ้าโจฮองคิดกำจัดพี่น้องแซ่สุมา แต่สุมาสูจับได้จึงถอดออกจากราชบัลลังก์ และยกโจมอขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน พระเจ้าโจมอ ครองราชสมบัติมาได้ประมาณสองปี ก็เกิดการขบถขึ้นในราชอาณาจักรติดต่อกันสองครั้งสองหน
ครั้งแรกนั้นเกิดจากบู๊ขิวเขียม เจ้าเมืองเกงจิ๋วซึ่งได้ว่าเมืองห้วยหลำและเมือง ชิวฉุน ด้วย รู้ข่าวว่าสุมาสูโอหังเนรเทศพระเจ้าโจฮอง แล้วเอาเชื้อพระวงศ์หางแถว หลานของพระเจ้าโจผี ซึ่งเป็นเจ้าเมืองงวนเสีย มาตั้งให้เป็นฮ่องเต้ตามอำเภอใจ ก็แค้นเคืองจึงปรึกษากับบุนขิมซึ่งเป็นพรรคพวกของโจซอง และถูกสุมาอี้บิดาของสุมาสูกำจัดไปเมื่อหลายปีก่อน บู๊ขิวเขียมก็เล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟังแล้วจึงว่า ด้วยเหตุดังนี้ตนจึงมีความเจ็บแค้นนัก
บุนขิมก็บอกว่า
“……..ท่านคิดจะทำการบำรุงแผ่นดิน ควรอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะช่วย บุตรข้าพเจ้าคนหนึ่งมีกำลังมากนัก อาจสามารถจะสู้คนได้หมื่นหนึ่ง มันก็คิดแค้นอยู่ จะใคร่กำจัดสุมาสูจะได้แก้แค้นโจซอง ถ้าเราจะยกไป เราตั้งให้เป็นทัพหน้าเห็นจะมีชัยแก่ข้าศึก ……”
บู๊ขิวเขียมก็ยินดีรินสุราใส่จอกลง ตั้งสัตย์สาบานต่อกัน แล้วก็ไปเกลี้ยกล่อมนายทหารเมืองห้วยหลำว่า นางกวยทายเฮามารดาของพระเจ้าโจฮอง มีตรารับสั่งมาให้ทหารทั้งปวงไปพร้อมกันที่เมืองชิวฉุน ครั้นทหารมาถึงพร้อมกันแล้ว จึงให้ตั้งโรงพิธีข้างทิศตะวันตก ให้ฆ่าม้าขาวตัวหนึ่ง เอาโลหิตมาเป็นน้ำพิพัฒน์สัจจา ให้ทหารทั้งปวงกิน แล้วจึงว่าสุมาสูเป็นขบถต่อแผ่นดิน นางกวยทายเฮามีรับสั่งมา ให้ยกกองทัพไปกำจัดสุมาสูเสีย ทหารทั้งปวงก็มีความยินดีที่จะร่วมมือกัน บู๊ขิวเขียมจึงคุมทหารห้าหมื่นยกไปตั้งที่เมืองฮางเสีย ส่วนบุนขิมคุมทหารสองหมื่นเป็นทัพหนุน และบู๊ขิวเขียมก็มีหนังสือแจ้งหัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นอยู่ ให้ยกทหารมาช่วยอีก
ขณะนั้นสุมาสูป่วยตาเป็นต้อ ให้หมอมาผ่าตัดแล้วใส่ยา รักษาอยู่หลายวันแล้ว เมื่อทราบข่าวก็ตกใจ แต่จะให้ผู้อื่นคุมทหารไปปราบปรามก็เกรงว่าจะต้านทานมิได้ จึงให้ สุมาเจียวผู้น้องอยู่รักษาเมือง ตนเองสู้มานะกัดฟันขึ้นรถยกกองทัพไปตั้งที่เมืองซงหยง เพื่อบัญชาการปราบขบถทั้ง ๆ ที่ยังป่วยอยู่
เมื่อถึงแล้วก็ปรึกษาหารือกับขุนนางและนายทหาร หาทางที่จะเอาชัยแก่ฝ่ายขบถ ที่ปรึกษาคนหนึ่งก็เสนอว่า
“……..บู๊ขิวเขียมคนนี้มีสติปัญญาความคิดอยู่ แต่ว่าคิดอ่านสิ่งใดก็หาตลอดไม่ ฝ่ายบุนขิมมีกำลังมากแต่ว่าหาปัญญาความคิดไม่ ฝ่ายทหารเมืองห้วยหลำมีฝีมือเข้มแข็ง กล้าหาญนัก เราเลินเล่อดูหมิ่นนั้นไม่ได้ ขอให้รักษาค่ายคูไว้ให้มั่นคง ถ้าเราเห็นว่ากำลังข้าศึกร่วงโรยลงแล้ว จึงค่อยคิดอ่านตีให้ยับเยิน อย่าให้ทันรู้ตัวเลย…….”
แต่อีกคนหนึ่งแย้งว่า
“………กองทัพขบถยกมาครั้งนี้ มิใช่ทหารทั้งปวงมีใจคิดอ่านมาเอง เป็นเหตุเพราะบู๊ขิวเขียมคิดอ่าน ทหารทั้งปวงขัดมิได้ก็จำใจมา ถ้าเรายกกองทัพใหญ่เข้าตี ก็เห็นว่าทหารทั้งปวงจะพลอยหนีกระจายไป………”
สุมาสูเห็นชอบตามคนหลัง จึงสั่งให้เลื่อนกองทัพหลวงไปอยู่ที่สะพานอิ่นซุย และให้กองหน้ายกไปตั้งค่ายอยู่หน้ากำแพงเมืองลำเต๋ง ป้องกันฝ่ายขบถจะเจ้ามาโจมตี
บู๊ขิวเขียมก็ยกทหารจากเมืองฮางเสีย ตั้งใจจะมาตีเมืองลำเต๋งเหมือนกัน เมื่อเห็นทัพสุมาสูมาตั้งป้องกันไว้ก่อนแล้ว ก็ถอยกลับมาเมืองฮางเสีย
สุมาสูก็ให้แยกทหารออกเป็นสามกอง ไปตีเมืองงักเกเสีย เมืองฮางเสีย และเมืองชิวฉุน กับมีหนังสือแจ้งไปถึงเตงงายเจ้าเมืองกุนจิ๋ว ให้ยกไปช่วยตีเมืองงักเกเสียอีกแรงหนึ่งด้วบ
บู๊ขิวเขียมตั้งหลักอยู่ที่เมืองฮางเสีย ก็ให้ม้าใช้ไปสอดแนมฟังข่าวอยู่เนือง ๆ และเชิญบุนขิมมาปรึกษาว่า เป็นห่วงเมืองงักเกเสีย กลัวสุมาสูจะยกทหารไปตีเอา บุนขิมก็ว่า
“……..ข้าพเจ้ากับบุนเอ๋งขอทหารสักห้าพัน จะไปรักษาเมืองงักเกเสียไว้ให้ได้ ท่านอย่าวิตกเลย……”
บู๊ขิวเขียมก็จัดการให้ บุนขิมกับบุนเอ๋งบุตรชายก็ยกทหารไป ถึงกลางทางมีม้าใช้มาบอกว่า กองทัพเมืองวุยก๊กประมาณหมื่นเศษ ยกมาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก มีธงสำคัญชื่อสุมาสู เพิ่งตั้งค่ายอยู่ยังไม่เสร็จ บุนเอ๋งบุตรชายอายุสิบแปดปี สูงห้าศอก ขี่ม้ายืนอยู่ใกล้บิดาจึงว่า เขาตั้งค่ายอยู่ยังมิทันสำเร็จ ถ้าเรายกไปเป็นสองกอง ตีกระหนาบเข้าเห็นจะได้โดยสะดวก บุนขิมก็ถามว่า เราจะยกไปเวลาใดดี บุนเอ๋งก็ว่า
“……..ยกไปค่ำวันนี้แลเห็นจะได้ท่วงที บิดาคุมทหารครึ่งหนึ่งยกไปข้างทิศใต้ ข้าพเจ้าจะคุมทหารครึ่งหนึ่งไปตีข้างทิศเหนือ เวลาเที่ยงคืนให้ยกเข้าไปตีพร้อมกัน……”
ครั้นถึงเวลานัดบุนเอ๋งก็ใส่เกราะเหน็บกระบองเหล็ก ขึ้นม้าพาทหารเข้าไปใกล้ค่ายของสุมาสู ซึ่งขณะนั้นสุมาสูตั้งทัพคอยเตงงายซึ่งยังมาไม่ถึง ปวดตาเป็นกำลังก็นอนอยู่ในเตียง ให้ทหารประมาณสามร้อยล้อมวงรักษาอยู่โดยรอบ พอเวลาเที่ยงคืนได้ยินเสียงทหารในค่ายเอิกเกริกวุ่นวายทั้งม้าทั้งคน จึงให้ทหารไปดูได้ความว่า ทหารข้าศึกคนหนึ่งมีพละกำลังมาก นำทหารไล่ตีบุกรุกเข้ามาทางทิศเหนือ ไม่มีผู้ใดจะต้านทานได้ สุมาสูได้ยินดังนั้นก็ตกใจนัก ให้ร้อนในอกเหมือนเพลิงเผา โรคตานั้นก็กำเริบขึ้น ลูกตาก็ปะทุออกมา แต่กลัวว่าทหารทั้งปวงจะเสียน้ำใจ ก็เอาผ้าผวยห่มนอน เข้าไปกัดเคี้ยวจนผ้าขาดไป
ฝ่ายบุนเอ๋งพาทหารแหกค่ายเข้าไปได้ ก็ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาสูล้มตายลงเป็นอันมาก บุนเอ๋งบ่ายหน้าไปทางไหนก็วินาศไปไม่มีผู้ต้านทาน ตีแต่ทิศเหนือด้านเดียว คอยดูบิดาว่าจะยกมากระหนาบทางทิศใต้ก็ไม่เห็น ครั้นจะตีต่อไปให้ถึงทัพหลวง ทหารสุมาสูก็ยิงเกาทัณฑ์สะกัดไว้ดังห่าฝน บุนเอ๋งบุกรุกไล่อยู่จนสว่างก็หักเข้าไปไม่ได้ ครั้นได้ยินเสียงแตรเสียงกลองจากองทัพที่มาทางทิศเหนือ ก็ประหลาดใจว่าทำไมบิดาจึงไม่เข้าตีทางทิศใต้ จึงควบม้ากลับไปดู ก็เจอกับเตงงายถือง้าวขี่ม้านำหน้าทหารเมืองกุนจิ่วเข้ามา
บุนเอ๋งก็รำทวนเข้าไปสู้รบกันได้ประมาณห้าสิบเพลง ไม่ทันจะแพ้ชนะ ก็ถูกทหารของสุมาสูหนุนเข้ามาตีกระหนาบทั้งหน้าหลัง ทหารบุนเอ๋งน้อยตัวกว่าก็หลบหลีกหนีเอาตัวรอดไปหมด เหลือบุนเอ๋งคนเดียวก็รบแหวกข้าศึกหนีออกไปทางทิศใต้ ทหารสุมาสูที่มีฝีมือชั้นเยี่ยมประมาณร้อยคน ควบม้าไล่ตามไปจนถึงสะพานงักเกเสีย บุนเอ๋งเห็นทหารเหล่านั้นไล่มาใกล้จะทัน ก็ชักม้าหันกลับเข้าต่อสู้จนทหารทั้งร้อยนั้นต้องถอย บุนเอ๋งก็กลับม้าค่อยเดินไปทางเดิม ทหารเหล่านั้นก็มุมานะไล่ตามไปอีก บุนเอ๋งหันหน้ากลับมาร้องว่า อ้ายพวกทหารหนูไม่กลัวความตาย แล้วก็ชักกระบองเหล็กไล่ตีล้มตายไปเป็นอันมาก ทหารของสุมาสูพวกนี้แตกแล้วก็กลับไล่ตามแล้วแตกอีกถึงสี่ห้าครั้ง จนเหลือน้อยตัวลงจึงยกกลับไป บุนเอ๋งจึงไปอยู่ที่เมืองชิวฉุน
เหตุที่บุนขิมบิดาของบุนเอ๋ง ไม่เข้าตีค่ายสุมาสูทางทิศใต้ ตามที่นัดกันไว้นั้น เหตุเพราะยกออกมาเวลากลางคืนอ้อมข้างเขาวกเวียนไปจนหลงทางหาทางไปค่ายของสุมาสูไม่ได้จนยันรุ่ง ครั้นถึงเวลาเช้าไม่เห็นทหารของบุตรชาย มีแต่ทหารของสุมาสูซึ่งมีชัยชนะ รุกไล่เข้ามามากมายนัก เห็นเหลือกำลังก็ถอยทัพหนีไปทางเมืองชิวฉุนด้วย ครั้นไปถึงก็พบว่าจูกัดเอี๋ยนทหารของ สุมาสูยึดเมืองไว้ได้แล้ว ก็ยกกลับไปเมืองฮางเสีย ก็เจอเตงงายยกมาตั้งสะกัดไว้ เห็นว่าจะตีหักเข้าไปไม่ได้ จึงยกไปอยู่ที่เมืองกังตั๋ง
ฝ่ายบู๊ขิวเขียมซึ่งอยู่ที่เมืองฮางเสีย รู้ว่าเมืองชิวฉุนเสียแกจูกัดเอี๋ยนแล้ว บุนขิมก็แตกทัพไปแล้ว กองทัพของสุมาสูก็ยกเข้ามาล้อมเมืองไว้สี่ด้าน ไม่มีทางที่จะสู้ ก็พาทหารคนสนิทประมาณสิบคน หนีไปถึงเมืองซิมก๋วน เจ้าเมืองก็เปิดประตูรับเข้าไป แล้วแต่งโต๊ะมาเลี้ยงรับรอง พอบู๊ขิวเขียมเมาสุรา ก็ฆ่าเสียแล้วตัดศรีษะส่งไปให้สุมาสูเอาความชอบ
เมื่อสุมาสูปราบปรามขบถเมืองฮางเสียเรียบร้อยแล้ว ก็ตั้งให้จูกัดเอี๋ยนเป็นนายทหารใหญ่ ได้ว่าราชการเมืองเองจิ๋ว เมืองห้วยหลำ และเมืองขึ้นทั้งปวง แล้วก็ยกทัพกลับเมืองฮูโต๋
จูกัดเอี๋ยนคนนี้ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับขงเบ้งหรือจูกัดเหลียง เมื่อขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ได้รับราชการ เป็นขุนนางผู้น้อยอยู่เมืองฮูโต๋ของวุยก๊ก แต่ไม่มีผู้ใดไว้ใจด้วยเกรงว่าจะไปเข้าด้วยขงเบ้ง ซึ่งเป็นศัตรูกับวุยก๊ก เมื่อขงเบ้งตายแล้วจึงได้เป็นทหารของวุยก๊กต่อมา การศึกครั้งนี้มีความชอบมาก จึงได้บำเหน็จเป็นเจ้าเมืองใหญ่
สุมาสูกลับมาเมืองฮูโต๋แล้วก็ป่วยหนัก ให้เจ็บปวดเป็นกำลัง เวลากลางคืนนอนไม่หลับ เคลิ้มม่อยไปหน่อยหนึ่ง ก็แลเห็นบรรดาผู้คนที่ตนได้ฆ่าฟันมาแต่ก่อน พากันมายืนอยู่หน้าเตียง ก็รู้ตัวว่าจะไม่รอดแล้ว จึงใช้คนไปเมืองลกเอี๋ยงตามสุมาเจียวให้มาหา สุมาเจียวมาถึงก็เข้าไปเยี่ยมพี่ชายถึงเตียงนอน เห็นว่าป่วยหนักจะไม่รอดแล้วก็ร้องไห้
สุมาสูจึงว่า ตนทำราชการมาจนได้เป็นที่มหาอุปราช อุตส่าห์รักษาตัวมาได้ไม่มีอันตราย เจ้าจะทำราชการแทนพี่สืบไป จงระวังรักษาตัวให้ดี ถ้ามีราชการเป็นข้อใหญ่อย่าไว้ใจแก่ผู้อื่น จะ
สุมาเจียวก็แต่งการศพพี่ชายตามประเพณี แล้วก็ไปกราบทูลพระเจ้าโจมอที่เมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจมอก็มีรับสั่งให้สุมาเจียวตั้งอยู่ในเมืองฮูโต๋ ป้องกันกองทัพเมืองกังตั๋ง สุมาเจียวก็ไม่เต็มใจ แต่มิรู้ที่จะขัดประการใด
จงโฮยนายทหารเอกจึงว่า
“……..ท่านมหาอุปราชพึ่งดับสูญ น้ำใจทหารทั้งปวงยังมิราบคาบ ท่านจะตั้งอยู่เมืองฮูโต๋นี้ แม้มีคนคิดร้ายวุ่นวายขึ้นข้างในวัง ซึ่งจะไปกำจัดเสียนั้นเห็นจะมิทันการ……”
สุมาเจียวก็เห็นชอบด้วย จึงยกทหารไปตั้งอยู่ที่ตำบลลกซุย ใกล้เมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจมอรู้ดังนั้นก็ตกใจนัก ขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลขอให้พระเจ้าโจมอ ตั้งให้สุมาเจียวเป็นมหาอุปราชแทนพี่ชาย จะได้มีน้ำใจทำราชการต่อไป พระเจ้าโจมอจึงมีรับสั่งให้สุมาเจียวเข้าเฝ้า และตั้งให้เป็นที่มหาอุปราช สุมาเจียวคำนับรับตำแหน่ง และว่าราชการแผ่นดินแทนสุมาสูต่อไป
##########
วางเมื่อ ๒๙ มิ.ย.๕๖