อีกแง่มุมหนึ่งของ "วรวีร์ มะกูดี"

เอาบทสัมภาษณ์มาให้อ่านกัน (เก่า6ปีมาแล้ว)

มาตรฐานชายไทย:
หลังจาก นายวิจิตร "วีเจ" เกตุแก้ว โบกมือลาเก้าอี้นายกสมาคมที่นั่งมายาวนานกว่า 12 ปี ทำให้สโมสรสมาชิกเทใจเลือก "นายวรวีร์ มะกูดี" หรือ "บังยี" ก้าวขึ้นมาเป็นประมุขคนใหม่ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ หลังจากทำหน้าที่เลขาธิการสมาคมยาวนานถึง 12 ปีเช่นกัน

นายวรวีร์ มะกูดี หรือ "บังยี" เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 ปัจจุบันอายุ 56 ปี เป็นบุตรของ นายวัฒนา-นางอารีย์ มะกูดี จบการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนมหรรณภาราม ระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอำนวยศิลป์พระนคร และเข้าเรียนต่อที่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2-3 ปี ต่อมาได้ทุนการศึกษาของรัฐบาลคูเวต ให้ไปศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติของคูเวต และอีกหลายปีต่อมา ก็ไปเรียนต่อ จนสำเร็จปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ แห่งอังกฤษ

ในฐานะผู้นำคนใหม่ของสมาคมฟุตบอลฯ และวงการฟุตบอลไทย แผนกข่าวกีฬา "มติชน" จึงทำความรู้จักกับ "บังยี" ให้มากขึ้น ในอีกหลายๆ แง่มุมของชีวิตส่วนตัว เพื่อให้คนไทยได้รู้จักกับผู้นำคนใหม่ ที่ต้องรับผิดชอบอนาคตของกีฬาฟุตบอลในเมืองไทย อย่างเต็มตัว เป็นทางการ นับจากบัดนี้เป็นต้นไป



**ชีวิตสมัยเด็กๆ เล่นฟุตบอลมาบ้างหรือไม่?

สมัยเรียนหนังสือก็เล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็กๆ รวมตัวกันกับเพื่อนๆ แถวๆ บ้านพัก แต่มาเล่นแบบจริงจังตอนเข้าเรียนที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ ก็เล่นฟุตบอลให้โรงเรียนตั้งแต่ระดับรุ่นจิ๋ว รุ่นเล็ก พอโตขึ้นย้ายมาอยู่ที่ครอบครัวของคุณพ่อ แถวหนองจอก ก็เล่นฟุตบอลให้สโมสรกีฬามุสลิม ในระดับถ้วยพระราชทานประเภท ง. จนขยับมาเล่นถ้วยพระราชทาน ค. ก็เล่นให้กับ 2 ทีมคือ สโมสรกีฬามุสลิม และสโมสรศิริโรจน์ ต่อมามีโอกาสมาร่วมทีมธนาคารกรุงเทพแข่งขันถ้วยพระราชทานประเภท ข. ก่อนจะก้าวมาสู่ระดับสูงสุดของประเทศในระดับถ้วยพระราชทานประเภท ก.



**เข้ามาเป็นผู้บริหารสมาคมฟุตบอลฯ ได้อย่างไร?

เมื่อก่อน อาจารย์วิจิตร เกตุแก้ว เป็นครูพลศึกษาที่โรงเรียนอำนวยศิลป์สมัยที่ผมเรียนอยู่ มีความคุ้นเคยกัน แต่ไม่ถึงขั้นสนิทสนมกันมากนัก หลังจากผมเลิกเล่นฟุตบอลให้ธนาคารกรุงเทพ และตัดสินใจไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ พอกลับมาถึงเมืองไทยผมก็ได้รับการชักชวนจาก พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ตอนนั้นเป็นอุปนายกสมาคมฟุตบอลฯ เพราะตอนนั้น ผมเป็นที่ปรึกษาให้กับสโมสรตำรวจ หลังจากนั้น พล.ต.ท.เกิดเทศ และ อ.วิจิตร ก็ชักชวนเข้ามาเป็นทีมบริหารสมาคมฟุตบอล เป็นผู้ช่วยเลขาธิการและเหรัญญิก ในยุคที่ พล.ต.ท.ชลอ เป็นนายกสมาคม และ อ.วิจิตร เป็นเลขาธิการ ต่อมา อ.วิจิตร ขึ้นเป็นนายกสมาคมฯ แทน พล.ต.ท.ชลอ ผมจึงเลื่อนขึ้นมาเป็นเลขาธิการสมาคม



**เข้าไปเป็นผู้บริหารของฟีฟ่าและเอเอฟซีได้อย่างไร?

ตามปกติ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) จะเลือกตั้งประธานคนใหม่ ในช่วงแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ทุกๆ 4 ปี ตอนนั้น ฟุตบอลโลกปี 1990 ที่อิตาลี ผมเป็นกรรมการบริหารของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) ในฐานะตัวแทนจากเมืองไทยแล้ว ก็ไปร่วมประชุมในฐานะผู้แทนเอเอฟซี ต่อมา ฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกา ผมเป็นกรรมการบริหารเอเอฟซี ก็เป็นตัวแทนไปร่วมกับฟีฟ่าอีก ถึงฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส ผมได้รับการเลือกตั้งเป็นกรรมการบริหารฟีฟ่า ในฐานะตัวแทนจากทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นกรรมการบริหารเอเอฟซีโดยตำแหน่งควบคู่กันไปด้วย จากนั้น ฟุตบอลโลกปี 2002 ผมก็ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นกรรมการบริหารฟีฟ่าอีกสมัยหนึ่ง


ถึงฟุตบอลโลกปี 2006 ฟีฟ่าเลื่อนการเลือกตั้งประธานออกไปอีกปีหนึ่ง เป็นเลือกตั้งในปี 2007 คราวนี้ ปีนี้ ผมก็ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นกรรมการบริหารฟีฟ่าอีกครั้งหนึ่ง เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน ที่ประชุมเอเอฟซีจะรับรองผลเลือกตั้ง วันที่ 8 พฤษภาคมนี้ จากนั้น ก็จะมีการรับรองในที่ประชุมใหญ่ของฟีฟ่า วันที่ 29-30 พฤษภาคมนี้ อีกขั้นตอนหนึ่ง

ที่ผ่านมานั้น ในฐานะกรรมการบริหารฟีฟ่า ผมเป็นกรรมาธิการหลายคณะ แต่หน้าที่หลักคือ ประธานกรรมาธิการฝ่ายฟุตบอลหญิงของฟีฟ่า ซึ่งรับผิดชอบเป็นประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขันฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลกทุกครั้ง รวมทั้ง ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก ค.ศ.2007 ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนกันยายนนี้ด้วย




**เรื่องส่วนตัวหรือชีวิตครอบครัวล่ะ?

ผมแต่งงานมีลูกแล้ว ภรรยาคือ คุณสุมิตรา มะกูดี หรือนามสกุลเดิมคือ "แม้นมินทร์" ชื่อเล่น "มาเรียม" เกิดวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2502 ความรักของเราทั้ง 2 เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เนื่องจากตระกูลผมกับตระกูลของมาเรียมใกล้ชิดกัน เป็นญาติๆ กัน คุณพ่อของมาเรียมกับคุณพ่อผมเป็นญาติกัน บ้านของเราอยู่ใกล้ๆ กันที่หนองจอก มีความสนิทสนมกันพอสมควรตั้งแต่เด็กๆ เพราะลูกๆ ทั้ง 2 ตระกูลเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ มาเรียมอายุน้อยกว่าผม ผมสนิทกับพี่ชายของมาเรียมมากด้วย

ผมกับมาเรียมตกลงใจว่า เป็นแฟนกันก็ตอนผมอายุเกือบๆ 30 แล้ว มาเรียมตอนนั้น ก็อายุ 20 ต้นๆ เราสองคนสนิทสนมกันมาก รู้สึกผูกพันกันมาก จนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว เริ่มรักกันหรือชอบกันจริงๆ ตอนไหนแน่ ผมแต่งงานกับมาเรียมเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2526 ยังจำได้แม่นยำเลย



**มีลูกกี่คน?

ผมกับมาเรียมมีลูกชายด้วยกัน 2 คน คนโตคือ นายสุรวุฒิ มะกูดี หรือ "น้องป้อง" ตอนนี้อายุ 23 ปี จบมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา จบปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระดับเกียรตินิยม ตอนนี้ไปเรียนปริญญาโทคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาเคมี ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ลูกคนนี้ไม่ชอบเล่นฟุตบอล แต่ชอบว่ายน้ำ ชอบอ่านหนังสือ

อีกคน...คนเล็กคือ นายศศินทร์ มะกูดี หรือ "น้องปอม" ปัจจุบันอายุ 18 ปี จบมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ไม่ชอบเล่นฟุตบอลเหมือนกัน แต่ชอบดูกีฬา และอ่านหนังสือ



**ทำงานฟุตบอลต้องเดินทางบ่อยๆ มีเวลาให้ครอบครัวไหม?

ปกติเวลาผมเดินทาง ส่วนใหญ่จะให้คุณมาเรียมไปด้วย เพราะตามระเบียบของฟีฟ่า อนุญาตให้นำภรรยาไปด้วย โดยได้สิทธิเท่าเทียมกับผม ส่วนช่วงผมเดินทางจะได้พี่สาวและพี่เลี้ยงมาดูแลลูกๆ ให้ แต่ความจริงแล้วไม่ได้เดินทางนานอะไร ที่จะไปนานๆ คือการไปดูแลการแข่งขัน ส่วนการแข่งขันฟุตบอลโลกส่วนใหญ่ ผมจะเอาครอบครัวไปด้วย ซึ่งเป็นช่วงที่ยาวนานที่สุด ลูกๆ ก็จะได้รับอนุญาตจากโรงเรียนให้ติดตามผมไปได้ 1 สัปดาห์ประมาณนั้น



**กิจกรรมยามว่างที่ทำร่วมกันในครอบครัว?

ปกติเวลาว่างๆ จากการทำงานผมจะอยู่กับครอบครัวอย่างเต็มที่ กิจกรรมที่ทำร่วมกันกับครอบครัวคือ การไปเที่ยวร่วมกันต่างสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะถ้ามีโอกาสไปต่างประเทศ ก็จะพาไปดูสถานที่ประวัติศาสตร์ เพราะลูกผมทั้ง 2 คนชอบศึกษาความเป็นมาเป็นไปของสถานที่ต่างๆ ราชวงศ์ต่างๆ ในทวีปยุโรป หรือเอเชีย



0 วางแผนอนาคตให้ลูกๆ อย่างไรบ้าง?

ตั้งแต่เด็กๆ ผมไม่ชอบบังคับลูกๆ ว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จะแนะนำให้แบบอย่างเขาหลายๆ อย่าง ให้เขาเลือกแบบอย่างที่เขาชอบ คือลูกผมสมัยเด็กๆ ผมเคยบอกว่า ถ้าลูกอยากจะไปโรงเรียนก็ไป หรือถ้าวันไหนไม่อยากไป อยากจะอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน หรือทำกิจกรรมอะไรอยู่กับบ้านก็แล้วแต่ ตอนเด็กๆ ผมจะบอกเสมอว่าจะให้อิสระในความคิด ให้ตัดสินใจเอง สิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด พอโตขึ้นมาจะเห็นได้เลยว่า ลูกๆ ผมเขาจะเป็นคนที่มุ่งมั่นเรื่องการเรียนอย่างมาก หลังจากที่เราให้อิสระในความคิดเขา เขาจะตั้งใจ เขาจะบริหารตัวเองเป็น ซึ่งผมก็ถือว่านี่คือเคล็ดลับอย่างหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญมักจะให้คำแนะนำลักษณะนี้เช่นกัน



**กิจการหลักของครอบครัวมีอะไรบ้าง?

ปัจจุบันผมมีกิจการหลักๆ คือ บริษัท เบนซ์ เมืองมีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับกิจการรถยนต์ครบวงจร โดยมีภรรยาเป็นคนบริหารงาน ส่วนตัวผมเองก็เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทต่างๆ อยู่อีก 3 บริษัท แต่ไม่ขอเปิดเผยชื่อบริษัท ด้านต่างประเทศผมก็เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทในแถบตะวันออกกลาง



**ครอบครัวให้กำลังใจทำงานอย่างไร?

ครอบครัวผมไม่เคยสร้างปัญหาให้ผมหนักใจในเรื่องการทำงานในวงการฟุตบอล เพราะทุกคนรู้ว่า ผมรักกีฬาฟุตบอล ในทางกลับกันเขาจะให้การสนับสนุนอยู่ตลอดๆ ภรรยา และลูกๆ ให้กำลังใจอย่างตลอด ครอบครัวคือกำลังใจที่ดีที่สุด เวลาที่รู้สึกเหนื่อยๆ ได้กลับบ้าน ได้อยู่กันพร้อมหน้าครอบครัวก็จะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งในทันที



**เกี่ยวกับศูนย์ฝึกฟุตบอลและโรงเรียนสอน?

ผมได้อุทิศที่ในเขตหนองจอกแปลงหนึ่งประมาณ 20 ไร่ เพื่อเสนอแผนงานขอทำโครงการไปยังฟีฟ่า ก็เลยออกมาในรูปศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ เพื่อฝึกซ้อมและเก็บตัวของทีมชาติไทยชุดต่างๆ ในปัจจุบัน ในส่วนของโรงเรียน ส่วนตัวผมให้ทุนการศึกษานักเรียนมาประมาณ 5-6 ปีแล้ว ด้วยวิธีการคัดเลือกนักฟุตบอลบริเวณใกล้เคียง (หนองจอก) ให้เข้ามาเรียนในสังกัดที่โรงเรียนหนองจอกวิทยานุสรณ์ จัดให้เรียนฟรี มีการสอนกีฬา มีสถานที่พักฟรี ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา นักเรียนที่อยู่ในโครงการจบการศึกษาไปแล้ว มีประมาณ 3 รุ่น รวมทั้งสิ้น 120 คน ในปี 2550 ผมจะสนับสนุนเป็นกรณีพิเศษด้วยการตั้งเป็น สถาบัน "สร้างนักฟุตบอลอัจฉริยะ" โดยเราจะคัดเด็กที่เก่งๆ ทั่วประเทศเอามาเข้าโครงการนี้ โดยเด็กที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับสิทธิต่างๆ ประกอบด้วย 1.ที่พัก 2.การเรียนการศึกษา 3.อาหาร 4.ทุนการศึกษา



**กับโครงการสานฝันบอลไทยไปบอลโลกล่ะ?

ความมุ่งมั่นของนักบริหารย่อมมีความมุ่งมั่นคล้ายๆ กัน ตอนนี้ผมเป็นผู้บริหารสูงสุดของวงการฟุตบอล ผมก็อยากจะพัฒนาฟุตบอลไทยให้ก้าวไปสู่แถวหน้าของเอเชีย แล้วจึงก้าวต่อไปสู่ระดับโอลิมปิค หรือระดับโลก ตรงนี้เป็นความปรารถนาซึ่งผมคิดว่าถ้าผมมีโอกาสมีเวลาพอสมควร ผมจะพยายามทำให้ฟุตบอลไทยไปสู่ระดับสูงสุดให้ได้ ในโอลิมปิคเกมส์ หรือฟุตบอลโลก แต่ความสำเร็จของกีฬาประเภททีมอย่างฟุตบอลนั้น ไม่มีสูตรสำเร็จ ตายตัว เราต้องพยายามทุกๆ วิถีทางพร้อมกัน เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จให้ได้

การทำงานใหญ่ๆ แบบนี้ ต้องทำกันเป็นทีม ต้องระดมสมองและทุกอย่างจากหลายคน ทั้งภาครัฐ ทั้งภาคเอกชนต้องร่วมสนับสนุนด้วย

ผมก็อยากนำฟุตบอลให้ก้าวไกลสู่ระดับโลก แต่ว่าฟุตบอลเราไม่สามารถที่จะทำให้คว้าชัยชนะได้ทุกครั้ง แต่ที่ผมคิดทำ เพื่อสังคม ทำเพื่อชาติได้ ในการดึงดูดความสนใจ สร้างแรงจูงใจให้เยาวชน ผมคิดว่าตรงนี้ผมชนะในเบื้องต้นแล้ว



**โครงการใหม่ๆ เพื่อยกระดับฟุตบอลไทย?

ผมมีอยู่ 1 โครงการซึ่งกำลังสร้างฐานและขยายฐานออกไปสู่ภูมิภาค คือ "โครงการธนาคารฟุตบอล" เงื่อนไขของผมไม่มีอะไรมาก เด็ก 5 คนเขียนชื่อ นามสกุล มาก็สามารถเบิกลูกฟุตบอลไปเล่น ไปฝึกซ้อมได้แล้ว เราจะใช้ศูนย์ทั่วประเทศอยู่ 8 ศูนย์กลาง ประกอบด้วย กรุงเทพฯ, ชลบุรี, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, เชียงใหม่, สุโขทัย, ตรัง และภูเก็ต สมาคมฟุตบอลฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำ มีการว่าจ้างทำงานอย่างเต็มเวลา คนที่จะไปทำงานอาจจะเป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติ หรือครูพลศึกษา มีการส่งผู้ฝึกสอนที่มีความรู้ความสามารถไปฝึกสอนเป็นช่วงๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่