ตั้งกระทู้นี้เพื่อเตือนตนเอง และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเหล่าผู้รู้ในห้องศาสนานี้บ้าง
ตลอดจนถึง ผู้อ่านท่านอื่นที่อาจเชื่อไปตามความเห็นของบุคคลเหล่านั้น
(ไม่ขอระบุเป็นรายบุคคลนะครับ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับกระทู้)
เพราะเชื่อได้ว่า เขา/เธอ เหล่านั้น ก็ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ที่ผิดบ้างถูกบ้าง
และยังอาจตีความเข้าข้างทิฏฐิตนได้อยู่เสมอ
ขอยกพระสูตรหนึ่งว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"....[๑๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๔ ประการนี้พึงรู้ด้วยฐานะ ๔ ฐานะ ๔ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน และศีลนั้นพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย
มนสิการอยู่จึงจะรู้ ไม่มนสิการอยู่หารู้ไม่
คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่
ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ และความสะอาดนั้นพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย
มนสิการอยู่จึงจะรู้ ไม่มนสิการหารู้ไม่ คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่
กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย และกำลังใจนั้นแล พึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย
มนสิการจึงจะรู้ ไม่มนสิการหารู้ไม่ คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่
ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนาและปัญญานั้นแลพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย
มนสิการจึงจะรู้ ไม่มนสิการหารู้ไม่ คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ฯ ..."
ที่มา
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=21&A=5042&Z=5119
เหตุที่ต้องยกพระสูตรนี้ขึ้นมาด้วยว่า
1.
บางคนด่าว่าพระบางรูป หรือแสดงความเห็นที่เหมือนจะเป็นกลาง (แต่ก็ค้านอยู่ในที)
เพราะหากติดตามอ่าน หรือสืบค้นกันยาวเป็นสิบๆ ปี
บุคคลเหล่านั้น ก็เห็นโต้แย้ง ไม่เชื่อกันมาตั้งแต่เมื่อ 10-20 ปีก่อนแล้ว
บางคนก็ตามอวยกันยาวจนถึงทุกวันนี้ ไม่ละทิ้งความเชื่อความเห็น(ที่ผิด)แต่เดิมของตน
ยิ่งให้ซาบซึ้งกับพุทธพจน์ "กัลยาณมิตร เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อุปัฑฒสูตร
ความเป็นผู้มีมิตรดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้น
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=19&A=26&Z=51
2.
เหล่าผู้รู้ นักปฏิบัติ ในห้องศาสนา (ที่ยังเป็นปุถุชนเหล่านี้)
บางกลุ่มยึดตำรา (แต่ยังคงตีความเข้าข้างทิฏฐิตน)
บางกลุ่มก็ยึดแนวปฏิบัติ (แบบที่ตนว่าถูกเท่านั้น แบบอื่นผิดหมด)
แต่ที่ห่างเหิน และเห็นชัดคือ เมื่อมีความเห็นที่ไม่ถูกต้อง (ในแบบที่ตนเชื่อ)
กลับแสดงอาการปกป้องทิฏฐิตน ด่วนเข้ามาตอบอย่างทันควัน
ซึ่งบางคนโพสต์แสดงความเห็น ที่หากอ่านผ่านๆ ก็สุภาพ มีหลักการ
แต่พิจารณาแล้ว เห็นชัดถึงมานะอัตตาของตัวเองแบบเต็มๆ
ทำนองว่า "...เนี่ย เมื่อก่อน ผมเคยคุยกับพระท่านนั้น ท่านนี้มาแล้ว รู้เลยว่าต้องมีวันนี้ซักวัน ..."
บ้างก็ว่า ".. อ่านตำราหน้านี้แล้ว รู้เลยว่าไม่ใช่ ..."
(เอ่อ.. ขอโทษนะครับ ใครที่พอมีภูมิรู้หรือปฏิบัติมาบ้างซักหน่อย ก็พอทราบได้เช่นกัน
แต่ไม่ได้ถึงขั้นต้องมาเขียนประจาน ความอวดตัวอวดตนให้คนทั้งบอร์ดเห็น
.. แล้วที่แย่กว่านั้น คือคนที่โพสท์เหล่านั้น มักเป็นผู้ที่แสดงภูมิให้ใครต่อใครเห็นเสมอว่าปฏิบัติมาเป็นสิบๆปี
แนวแบบนี้ถูก แนวอื่นๆผิด .. หรือตำราอธิบายแบบนี้ถูก อธิบายแบบอื่นผิด เป็นต้น)
ทั้งนี้เพราะว่า ใครจะใช่หรือไม่ใช่อะไร ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะตัดสิน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้"...ดูกรคฤหบดี ท่านผู้เป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดเสียดบุตร
บริโภคจันทน์แคว้นกาสี ทัดทรงดอกไม้ ของหอมและเครื่องลูบไล้ ยินดีทองและเงินอยู่
พึงรู้ข้อนี้ได้ยากว่า ภิกษุเหล่านี้เป็นพระอรหันต์หรือเป็นผู้บรรลุอรหัตมรรค..."
ที่มา ทารุกัมมิกสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=22&A=9201&Z=9238
และก็ไม่ควรเป็นพวกที่เอาแต่คอยจับผิด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้"...คนพาลทั้งหลายมีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง ๑ ..."
ที่มา พลสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=4583&Z=4590
3.
ส่วนผู้รู้จำพวกที่โพสท์เชิงยุแยง ศีลข้อ 4 ด่างพร้อยนั้น ..คงมองออกได้ไม่ยาก
เห็นปฏิบัติผ่านมาเป็น 10-20 ปี ก็ยังสามารถโพสต์ความเห็น ให้ผิดศีลข้อนี้ได้ตลอด -_-
... แล้วแถต่อได้อีกว่า "เนี่ย เป็นวาสนาของตน ละไม่ได้"
(อืม ..ยังเป็นปุถุชนกันอยู่ ก็หมั่นลดๆบ้างเถอะครับ)
อัธยาศัย-นิสัย-อุปนิสัย-วาสนา โดยสมเด็จพระญาณสังวรฯ
http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/09/Y9650362/Y9650362.html
สรุป
ขอสรุปแต่เพียงว่า อย่าด่วนเชื่อความเห็นใดในห้องนี้ จนกว่า
ท่านจะสามารถรู้ด้วยตนเองว่า
"...ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ ..."
ที่มา เกสปุตตสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=20&A=4930&Z=5092
และขอฝากให้ผู้รู้/นักปฏิบัติ แถวนี้ เพิ่มอีกนิดว่า
.. ถ้าสิ่งที่คุณท่องจำ ที่คุณเข้าใจ ที่คุณปฏิบัติมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว
แต่ทุกข์ไม่น้อยลง กิเลสไม่ลด ศีลธรรมไม่ได้เจริญ มานะอัตตายังเต็มล้นอยู่
ก็โปรดเข้าใจเถอะว่า
มาผิดทางแล้ว
เพราะธรรมแท้ของพระพุทธเจ้านั้น ย่อมเห็นผลเร็ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้"... ดูกรอนุรุทธะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงตรึกมหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ นี้ว่า
ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้ชอบใจในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า ผู้ยินดีในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า
มิใช่ของบุคคลผู้ชอบใจในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า ผู้ยินดีในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า..."
ที่มา อนุรุทธสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=4717&Z=4876
(และขอกรุณาอย่าอ้างว่า กำลังเดินแนวทางโพธิสัตว์อยู่ ยังไม่รีบนิพพานนะครับ)
ปล.1
ไม่หวังจะเปลี่ยนแนวคิด ผู้รู้ นักปฏิบัติแถวนี้ .. เพราะเชื่อกันมาเป็น 10-20 ปีขนาดนั้น คงวางได้ยาก
หวังเพียงให้ท่านผู้อ่านทั้งหลาย โปรดพิจารณาความเห็นต่างๆ ก่อนตัดสินใจเชื่อ หรือก่อนกด "ถูกใจ"
ปล.2
แม้แต่กระทู้นี้ ก็ไม่ควรด่วนเชื่อ ..โปรดพิจารณา
เพราะกระทู้นี้ ก็อาจไม่ต่างจากนิทานเซนเรื่องนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ต่างฝ่ายต่างเงียบ (Learning to be Silent)
พระเซน 4 รูป ตกลงกติกาก่อนนั่งกรรมฐานว่าจะไม่พูดกันเลยตลอด 7 วัน
วันที่หนึ่งผ่านไปด้วยดี พระทุกรูปต่างนั่งกรรมฐานอย่างสงบเงียบ
แต่พอตกดึก ตะเกียงน้ำมันที่จุดไว้หรี่ลง เพราะน้ำมันจวนหมด
พระรูปหนึ่งทนนิ่งต่อไปไม่ได้ จึงตะโกนบอกลูกศิษย์ว่า
"เฮ้ย เติมน้ำมันตะเกียงหน่อย"
พระรูปที่สองจึงร้องเตือนว่า
"ไหนว่าไม่พูดไงล่ะ"
พระรูปที่สามทนไม่ได้ จึงโพล่งออกมาว่า
"พูดทำไม พวกคุณนี่โง่จัง"
พระรูปสุดท้ายกล่าวด้วยความภูมิใจว่า
"คงมีแต่เราคนเดียวที่ไม่พูดเลย"
ที่มา
จากหนังสือเรื่อง "เนื้อติดกระดูก"
แปลโดยเสฐียรพงษ์ จากหนังสือ Zen Flesh, Zen Bones
(ส่วนเนื้อหาข้างล่าง หาจากกูเกิ้ล ได้มาจากเว็บ gunthasith)
ที่กระทู้ถูกตั้งโดยผู้ที่คิดฟุ้งไปนู่นนนน จนถึงกลับต้องมาตั้งกระทู้นี้
ซึ่งโพสท์แบบแบกอัตตามาเต็มๆ เช่นเดียวกัน
[กระทู้เตือนตน] กรณีผู้รู้ห้องศาสนา กับกระทู้ภิกษุช่วงนี้
ตลอดจนถึง ผู้อ่านท่านอื่นที่อาจเชื่อไปตามความเห็นของบุคคลเหล่านั้น
(ไม่ขอระบุเป็นรายบุคคลนะครับ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับกระทู้)
เพราะเชื่อได้ว่า เขา/เธอ เหล่านั้น ก็ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ที่ผิดบ้างถูกบ้าง
และยังอาจตีความเข้าข้างทิฏฐิตนได้อยู่เสมอ
ขอยกพระสูตรหนึ่งว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เหตุที่ต้องยกพระสูตรนี้ขึ้นมาด้วยว่า
1.
บางคนด่าว่าพระบางรูป หรือแสดงความเห็นที่เหมือนจะเป็นกลาง (แต่ก็ค้านอยู่ในที)
เพราะหากติดตามอ่าน หรือสืบค้นกันยาวเป็นสิบๆ ปี
บุคคลเหล่านั้น ก็เห็นโต้แย้ง ไม่เชื่อกันมาตั้งแต่เมื่อ 10-20 ปีก่อนแล้ว
บางคนก็ตามอวยกันยาวจนถึงทุกวันนี้ ไม่ละทิ้งความเชื่อความเห็น(ที่ผิด)แต่เดิมของตน
ยิ่งให้ซาบซึ้งกับพุทธพจน์ "กัลยาณมิตร เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
2.
เหล่าผู้รู้ นักปฏิบัติ ในห้องศาสนา (ที่ยังเป็นปุถุชนเหล่านี้)
บางกลุ่มยึดตำรา (แต่ยังคงตีความเข้าข้างทิฏฐิตน)
บางกลุ่มก็ยึดแนวปฏิบัติ (แบบที่ตนว่าถูกเท่านั้น แบบอื่นผิดหมด)
แต่ที่ห่างเหิน และเห็นชัดคือ เมื่อมีความเห็นที่ไม่ถูกต้อง (ในแบบที่ตนเชื่อ)
กลับแสดงอาการปกป้องทิฏฐิตน ด่วนเข้ามาตอบอย่างทันควัน
ซึ่งบางคนโพสต์แสดงความเห็น ที่หากอ่านผ่านๆ ก็สุภาพ มีหลักการ
แต่พิจารณาแล้ว เห็นชัดถึงมานะอัตตาของตัวเองแบบเต็มๆ
ทำนองว่า "...เนี่ย เมื่อก่อน ผมเคยคุยกับพระท่านนั้น ท่านนี้มาแล้ว รู้เลยว่าต้องมีวันนี้ซักวัน ..."
บ้างก็ว่า ".. อ่านตำราหน้านี้แล้ว รู้เลยว่าไม่ใช่ ..."
(เอ่อ.. ขอโทษนะครับ ใครที่พอมีภูมิรู้หรือปฏิบัติมาบ้างซักหน่อย ก็พอทราบได้เช่นกัน
แต่ไม่ได้ถึงขั้นต้องมาเขียนประจาน ความอวดตัวอวดตนให้คนทั้งบอร์ดเห็น
.. แล้วที่แย่กว่านั้น คือคนที่โพสท์เหล่านั้น มักเป็นผู้ที่แสดงภูมิให้ใครต่อใครเห็นเสมอว่าปฏิบัติมาเป็นสิบๆปี
แนวแบบนี้ถูก แนวอื่นๆผิด .. หรือตำราอธิบายแบบนี้ถูก อธิบายแบบอื่นผิด เป็นต้น)
ทั้งนี้เพราะว่า ใครจะใช่หรือไม่ใช่อะไร ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะตัดสิน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และก็ไม่ควรเป็นพวกที่เอาแต่คอยจับผิด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3.
ส่วนผู้รู้จำพวกที่โพสท์เชิงยุแยง ศีลข้อ 4 ด่างพร้อยนั้น ..คงมองออกได้ไม่ยาก
เห็นปฏิบัติผ่านมาเป็น 10-20 ปี ก็ยังสามารถโพสต์ความเห็น ให้ผิดศีลข้อนี้ได้ตลอด -_-
... แล้วแถต่อได้อีกว่า "เนี่ย เป็นวาสนาของตน ละไม่ได้"
(อืม ..ยังเป็นปุถุชนกันอยู่ ก็หมั่นลดๆบ้างเถอะครับ)
อัธยาศัย-นิสัย-อุปนิสัย-วาสนา โดยสมเด็จพระญาณสังวรฯ
http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/09/Y9650362/Y9650362.html
สรุป
ขอสรุปแต่เพียงว่า อย่าด่วนเชื่อความเห็นใดในห้องนี้ จนกว่าท่านจะสามารถรู้ด้วยตนเองว่า
"...ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ ..."
ที่มา เกสปุตตสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=20&A=4930&Z=5092
และขอฝากให้ผู้รู้/นักปฏิบัติ แถวนี้ เพิ่มอีกนิดว่า
.. ถ้าสิ่งที่คุณท่องจำ ที่คุณเข้าใจ ที่คุณปฏิบัติมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว
แต่ทุกข์ไม่น้อยลง กิเลสไม่ลด ศีลธรรมไม่ได้เจริญ มานะอัตตายังเต็มล้นอยู่
ก็โปรดเข้าใจเถอะว่า มาผิดทางแล้ว
เพราะธรรมแท้ของพระพุทธเจ้านั้น ย่อมเห็นผลเร็ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(และขอกรุณาอย่าอ้างว่า กำลังเดินแนวทางโพธิสัตว์อยู่ ยังไม่รีบนิพพานนะครับ)
ปล.1
ไม่หวังจะเปลี่ยนแนวคิด ผู้รู้ นักปฏิบัติแถวนี้ .. เพราะเชื่อกันมาเป็น 10-20 ปีขนาดนั้น คงวางได้ยาก
หวังเพียงให้ท่านผู้อ่านทั้งหลาย โปรดพิจารณาความเห็นต่างๆ ก่อนตัดสินใจเชื่อ หรือก่อนกด "ถูกใจ"
ปล.2
แม้แต่กระทู้นี้ ก็ไม่ควรด่วนเชื่อ ..โปรดพิจารณา
เพราะกระทู้นี้ ก็อาจไม่ต่างจากนิทานเซนเรื่องนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่กระทู้ถูกตั้งโดยผู้ที่คิดฟุ้งไปนู่นนนน จนถึงกลับต้องมาตั้งกระทู้นี้
ซึ่งโพสท์แบบแบกอัตตามาเต็มๆ เช่นเดียวกัน