สอบ 3 ครั้งแรก ในส่วน Reading ผมไม่เคยทำทันเลย เหลือ 25 ข้อทุกรอบ
แต่ครั้งล่าสุด ผมมาฝึกทำอีกเทคนิค ทำได้ครบเกือบทุกข้อ เหลือ 14 ข้อกับเวลา 1 นาที ผมฝนตามกรุ๊ปเลือดผมเลย B ยาวโหลด
ผมขอแชร์เทคนิคสไตล์ผมนะครับ
Part Listening
(ฟัง ฟัง ฟัง แล้วก็ฟัง) อันไหนฟังไม่ออก ให้ดู Script ตามนะครับ ฟังหลายๆ รอบ ส่วนใหญ่คนไทยที่ฟังไม่ออก ผมเข้าใจว่าภาษาพูดมันเป็นแบบ Linking การเชื่อมเสียงต่อท้าย
เช่น
I 'll อ่านเป็น อาว คืออ่านควบไปเลย ไม่ได้อ่าน ไอ วิล
Turn Off อ่านเป็น เทิร์น นอฟ
Part ฟัง ต้องยอมรับครับว่า ถ้าคุณพ่อหรือคุณแม่ไม่ได้เป็นฝรั่ง หรือไปอยู่เมืองนอกตอนอายุ 9-10 ขวบ หรือ เข้าโรงเรียนอินเตอร์ตั้งแต่แรก
สำหรับคนไทย ที่ท่อง เฮดชุ่ มาตั้งแต่ประถม คงเป็นเรื่องยากพอสมควร
Part ฟังไม่มีใครช่วยเราได้ครับ มันคือ ทักษะ ที่เราต้องฝึกฝนเองเป็นประจำ
Part 1
เป็นรูป 10 ข้อ พอผู้คุม บอกให้เอาดินสอสอดเปิดกระดาษข้อสอบ
จะมีเสียงอ่านคำถามตัวอย่างให้เราฟัง 1 ข้อ จังหวะนี้แหละครับ
ให้ไปเปิดดูรูป ดูผ่านๆ 10 ข้อ ว่าแต่ละรูป โฟกัสที่อะไร ใช้ดินสอวงไว้ครับ มันจะมีลักษณะเด่นขอแต่ละรูปอยู่ กำลังทำอะไร ที่ไหน
อันนี้น่าจะกินหมู
Part 2
อันนี้ต้องใช่ทักษะการฟังจริงๆ (พาทนี้ผมอ่อน)
แต่ถ้าฟังไม่รู้เรื่อง Key word อยู่ที่ เสียงคำถามคำแรก
เช่น How many/much/about สันนิษฐานได้ว่า ถามเกี่ยวกับจำนวนตัวเลข ฟังข้อที่บอกเกี่ยวกับตัวเลขไว้เลยครับ
นอกนั้นก็เป็น What When Where Who Whose Which(อันไหน) Why(ถามหาเหตุผล ส่วนใหญ่คำตอบจะเป็นประโยคบอกเล่าอธิบาย)
คำถามที่ต้องตอบ Yes/No จะขึ้นต้นคำถามด้วย Will Would Can Could Must May Might Should Have
ถ้าคำตอบมี Yes/No ข้อเดียวกินหมู แต่ถ้ามีมากกว่า 1 อันนี้ต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัวที่ได้ฝึกฝนมาบ่อย
ทริคใน Part นี้
- คำตอบออกเสียงคล้ายคำถาม ส่วนใหญ่มักจะผิด สับขาหลอก
- ระวังตัวเลือกผิดคน ถาม They แต่คำตอบเป็น He อันนี้ผิดเลย
พาทนี้ใช้ทักษะการฟังพอสมควร ต้องฝึกบ่อยๆ คือประมาณว่า ถ้าฝึกจนถึงขั้นสมองกลับเหมือนฟังภาษาไทย โดยที่สมองไม่ต้องแปลซ้ำเลยอันนี้ เทคนิคที่กล่าวมาไม่จำเป็นเลย
Part 3-4
เทคนิตคล้ายกัน
จังหวะที่มีเสียงเริ่มอ่าน Direction จังหวะนี้แหละ ให้อ่านคำถามคำตอบโดยเร็ว เรื่องหนึ่งจะมี 3 ข้อ
-เทคนิคการอ่านให้เร็ว คืออย่าไปอ่านเก็บรายละเอียดทุกคำ ใช้วิธีอ่านผ่านปรื้ดดด.....เดียว ใช้ลูกกะตาของเราเลิ่กลั่กไปมาเอาครับอันนี้เร็วกว่าเอานิ้วหรือดินสอชี้ตาม เพราะสมองคนเราเมื่ออ่านช้าๆ ทีละคำจะอ่านไม่เห็นภาพรวมของประโยค (อันนี้ต้องฝึกครับ) วิธีผมคืออ่านในใจเป็นภาษาอังกฤษ แต่สำเนียงไทย มันเป็นสไตล์ผมเข้าใจว่าเขากำลังจะถามเรื่องอะไร
- คำถามกับเนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะเรียงลำดับมา
- เมื่อเริ่มบทสนทนา หรืออ่านเนื้อเรื่องตั้งใจฟัง ลูกกะตาจับจ้องอยู่ที่คำถามและคำตอบ จับประเด็นให้ได้นะครับ
- พอได้คำตอบแล้วอย่าเพิ่งฝนลงกระดาษคำตอบ มันเสียเวลา ไป Mark ข้อที่เราจะตอบในกระดาษคำถามไว้ก่อนครับ เราได้ครบ 3 ข้อแล้ว
คำถามข้อแรกจะถูกอ่าน จังหวะนี้แหละครับ ไล่ฝนข้อที่เรา Mark ไว้
- จากนั้นไปอ่าน 3 ข้อถัดไป โดยใช้วิธีเดียวกัน แบบนี้เราจะมีเวลามากขึ้น
Part Reading
ผมใช้เทคนิคคือ ไปทำข้อ 181-200 ก่อน จากนั้นย้อนกับมาทำข้อ 153-180 แล้วย้อนมาทำข้อ 1-152
Part 7
ข้อ 181-200 (2 Paragraph)
ใช้วิธีอ่านคำถามคำตอบแล้วย้อนไปหาคำตอบในเนื้อเรื่อง อันนี้ตรงประเด็นเร็วกว่าที่จะมาอ่านเนื้อเรื่องก่อน
ข้อ 153-180 (1 Paragraph)
อันนี้เนื้อเรื่องสั้นจะเร็วหน่อย ไปอ่านคำตอบตำถามก่อนตอบหรือจะอ่านเนื้อหาก่อนก็ได้ แล้วแต่ถนัด
เหตุผลที่ไปทำข้างหลังก่อน มันเยอะกินเวลามาก
Part 5-6 คล้ายๆ กัน
แกรมม่า จะทำได้เร็วหน่อย อันนี้แล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง ใครฝึกทำมาเยอะ อ่านมาเยอะ เดาบ้างไรบ้างก็ว่ากันไป
ในกรณีที่ทำไม่ทันเวลา เลือกฝนข้อใดข้อหนึ่งลากยาวมาเลยครับ อย่างน้อยมันต้องโดนมั่ง ดีกว่าไม่ได้ฝนอะไรเลย
ที่กล่าวมาต้องฝึกทำแล้วจับเวลาเหมือนเราสอบจริง ถึงจะค่อยๆ มีประสบการณ์ เวลาไปสอบจริงจะได้ไม่ตื่นมาก
ส่วนตัวผมมองว่าการไปเรียนเสียค่าใช้จ่ายตามสถาบันที่มีการรับประกันคะแนน 700 900 ผมว่าถ้าได้ขนาดนั้น มันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลมากกว่า
เพราะพื้นฐานภาษาแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ผมใช้ 2 เล่มนี้หัดทำข้อสอบ
ส่วนตัวขอแค่ 600 เองครับ จะได้เรียนจบซะที
เวลาสอบใช้เครดิตมหาลัย ค่าสอบเลยเหลือ 1,000 บาท
TOEIC 600+ คะแนน มาแชร์ทริคกันหน่อยครับ
แต่ครั้งล่าสุด ผมมาฝึกทำอีกเทคนิค ทำได้ครบเกือบทุกข้อ เหลือ 14 ข้อกับเวลา 1 นาที ผมฝนตามกรุ๊ปเลือดผมเลย B ยาวโหลด
ผมขอแชร์เทคนิคสไตล์ผมนะครับ
Part Listening
(ฟัง ฟัง ฟัง แล้วก็ฟัง) อันไหนฟังไม่ออก ให้ดู Script ตามนะครับ ฟังหลายๆ รอบ ส่วนใหญ่คนไทยที่ฟังไม่ออก ผมเข้าใจว่าภาษาพูดมันเป็นแบบ Linking การเชื่อมเสียงต่อท้าย
เช่น
I 'll อ่านเป็น อาว คืออ่านควบไปเลย ไม่ได้อ่าน ไอ วิล
Turn Off อ่านเป็น เทิร์น นอฟ
Part ฟัง ต้องยอมรับครับว่า ถ้าคุณพ่อหรือคุณแม่ไม่ได้เป็นฝรั่ง หรือไปอยู่เมืองนอกตอนอายุ 9-10 ขวบ หรือ เข้าโรงเรียนอินเตอร์ตั้งแต่แรก
สำหรับคนไทย ที่ท่อง เฮดชุ่ มาตั้งแต่ประถม คงเป็นเรื่องยากพอสมควร
Part ฟังไม่มีใครช่วยเราได้ครับ มันคือ ทักษะ ที่เราต้องฝึกฝนเองเป็นประจำ
Part 1
เป็นรูป 10 ข้อ พอผู้คุม บอกให้เอาดินสอสอดเปิดกระดาษข้อสอบ
จะมีเสียงอ่านคำถามตัวอย่างให้เราฟัง 1 ข้อ จังหวะนี้แหละครับ
ให้ไปเปิดดูรูป ดูผ่านๆ 10 ข้อ ว่าแต่ละรูป โฟกัสที่อะไร ใช้ดินสอวงไว้ครับ มันจะมีลักษณะเด่นขอแต่ละรูปอยู่ กำลังทำอะไร ที่ไหน
อันนี้น่าจะกินหมู
Part 2
อันนี้ต้องใช่ทักษะการฟังจริงๆ (พาทนี้ผมอ่อน)
แต่ถ้าฟังไม่รู้เรื่อง Key word อยู่ที่ เสียงคำถามคำแรก
เช่น How many/much/about สันนิษฐานได้ว่า ถามเกี่ยวกับจำนวนตัวเลข ฟังข้อที่บอกเกี่ยวกับตัวเลขไว้เลยครับ
นอกนั้นก็เป็น What When Where Who Whose Which(อันไหน) Why(ถามหาเหตุผล ส่วนใหญ่คำตอบจะเป็นประโยคบอกเล่าอธิบาย)
คำถามที่ต้องตอบ Yes/No จะขึ้นต้นคำถามด้วย Will Would Can Could Must May Might Should Have
ถ้าคำตอบมี Yes/No ข้อเดียวกินหมู แต่ถ้ามีมากกว่า 1 อันนี้ต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัวที่ได้ฝึกฝนมาบ่อย
ทริคใน Part นี้
- คำตอบออกเสียงคล้ายคำถาม ส่วนใหญ่มักจะผิด สับขาหลอก
- ระวังตัวเลือกผิดคน ถาม They แต่คำตอบเป็น He อันนี้ผิดเลย
พาทนี้ใช้ทักษะการฟังพอสมควร ต้องฝึกบ่อยๆ คือประมาณว่า ถ้าฝึกจนถึงขั้นสมองกลับเหมือนฟังภาษาไทย โดยที่สมองไม่ต้องแปลซ้ำเลยอันนี้ เทคนิคที่กล่าวมาไม่จำเป็นเลย
Part 3-4
เทคนิตคล้ายกัน
จังหวะที่มีเสียงเริ่มอ่าน Direction จังหวะนี้แหละ ให้อ่านคำถามคำตอบโดยเร็ว เรื่องหนึ่งจะมี 3 ข้อ
-เทคนิคการอ่านให้เร็ว คืออย่าไปอ่านเก็บรายละเอียดทุกคำ ใช้วิธีอ่านผ่านปรื้ดดด.....เดียว ใช้ลูกกะตาของเราเลิ่กลั่กไปมาเอาครับอันนี้เร็วกว่าเอานิ้วหรือดินสอชี้ตาม เพราะสมองคนเราเมื่ออ่านช้าๆ ทีละคำจะอ่านไม่เห็นภาพรวมของประโยค (อันนี้ต้องฝึกครับ) วิธีผมคืออ่านในใจเป็นภาษาอังกฤษ แต่สำเนียงไทย มันเป็นสไตล์ผมเข้าใจว่าเขากำลังจะถามเรื่องอะไร
- คำถามกับเนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะเรียงลำดับมา
- เมื่อเริ่มบทสนทนา หรืออ่านเนื้อเรื่องตั้งใจฟัง ลูกกะตาจับจ้องอยู่ที่คำถามและคำตอบ จับประเด็นให้ได้นะครับ
- พอได้คำตอบแล้วอย่าเพิ่งฝนลงกระดาษคำตอบ มันเสียเวลา ไป Mark ข้อที่เราจะตอบในกระดาษคำถามไว้ก่อนครับ เราได้ครบ 3 ข้อแล้ว
คำถามข้อแรกจะถูกอ่าน จังหวะนี้แหละครับ ไล่ฝนข้อที่เรา Mark ไว้
- จากนั้นไปอ่าน 3 ข้อถัดไป โดยใช้วิธีเดียวกัน แบบนี้เราจะมีเวลามากขึ้น
Part Reading
ผมใช้เทคนิคคือ ไปทำข้อ 181-200 ก่อน จากนั้นย้อนกับมาทำข้อ 153-180 แล้วย้อนมาทำข้อ 1-152
Part 7
ข้อ 181-200 (2 Paragraph)
ใช้วิธีอ่านคำถามคำตอบแล้วย้อนไปหาคำตอบในเนื้อเรื่อง อันนี้ตรงประเด็นเร็วกว่าที่จะมาอ่านเนื้อเรื่องก่อน
ข้อ 153-180 (1 Paragraph)
อันนี้เนื้อเรื่องสั้นจะเร็วหน่อย ไปอ่านคำตอบตำถามก่อนตอบหรือจะอ่านเนื้อหาก่อนก็ได้ แล้วแต่ถนัด
เหตุผลที่ไปทำข้างหลังก่อน มันเยอะกินเวลามาก
Part 5-6 คล้ายๆ กัน
แกรมม่า จะทำได้เร็วหน่อย อันนี้แล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง ใครฝึกทำมาเยอะ อ่านมาเยอะ เดาบ้างไรบ้างก็ว่ากันไป
ในกรณีที่ทำไม่ทันเวลา เลือกฝนข้อใดข้อหนึ่งลากยาวมาเลยครับ อย่างน้อยมันต้องโดนมั่ง ดีกว่าไม่ได้ฝนอะไรเลย
ที่กล่าวมาต้องฝึกทำแล้วจับเวลาเหมือนเราสอบจริง ถึงจะค่อยๆ มีประสบการณ์ เวลาไปสอบจริงจะได้ไม่ตื่นมาก
ส่วนตัวผมมองว่าการไปเรียนเสียค่าใช้จ่ายตามสถาบันที่มีการรับประกันคะแนน 700 900 ผมว่าถ้าได้ขนาดนั้น มันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลมากกว่า
เพราะพื้นฐานภาษาแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ผมใช้ 2 เล่มนี้หัดทำข้อสอบ
ส่วนตัวขอแค่ 600 เองครับ จะได้เรียนจบซะที
เวลาสอบใช้เครดิตมหาลัย ค่าสอบเลยเหลือ 1,000 บาท