ROMEO [To JULIET.] :
If I profane with my unworthiest hand (a)
This holy shrine, the gentle sin is this: (b)
My lips, two blushing pilgrims, ready stand (a)
To smooth that rough touch with a tender kiss. (b)
JULIET :
Good pilgrim, you do wrong your hand
too much, (c)
Which mannerly devotion shows in
this; (d)
For saints have hands that pilgrims' hands
do touch, (c)
And palm to palm is holy palmers'
kiss. (d)
ROMEO :
Have not saints lips, and holy palmers too? (e)
JULIET :
Ay, pilgrim, lips that they must use in
prayer. (f)
ROMEO :
O, then, dear saint, let lips do what hands do; (e)
They pray grant thou, lest faith turn to despair. (f)
JULIET :
Saints do not move, though grant for prayers'
sake. (g)
ROMEO :
Then move not, while my prayer's effect I take. (g)
[Kisses her.]
Thus from my lips, by yours, my sin is purged.
JULIET :
Then have my lips the sin that they have took.
ROMEO
Sin from thy lips? O trespass sweetly urged !!!!
Give me my sin again.
[Kisses her.]
JULIET :
You kiss by th' book.
ฉาก wooing scene คือ ฉากที่โรเมโอ มาเจอกับ จูเลียต ครั้งแรกในงานเต้นรำของบ้านคอปปูเล็ต
บท Sonnet ของ Shakespeare เริ่มจาก โรมิโอ พูดกับจูเลียต จนกระทั่งได้จูบแรก ถือว่าเป็นโคลงประพันธ์
ที่สวยงามและเฉียบคม ผู้อ่านต้องอมยิ้ม และวาบหวิว เพลินไปกับตัวละคร

การอ่านบทกวี โดยเฉพาะกวีฝรั่ง Sonnet 14 บรรทัด มีฉันทลักษณ์ รูปแบบสัมผัสที่เคร่งครัดและมีโครงสร้างพิเศษ
แต่ละบรรทัดประกอบด้วย 10 พยางค์ (หรืออาจเป็น 9-11 พยางค์ก็ได้)
ลักษณะสัมผัสท้ายประโยคเป็นดังนี้ a-b-a-b / c-d-c-d / e-f-e-f / g-g
ขอบอกว่า เวลาอ่าน ซอนเน็ต ให้อ่านผ่านๆ เอาเสียงของคำ ไม่ต้องไปสนใจแปลทุกคำ (เพราะแปลไม่ได้ แปลยาก
มันจะมีคำแปลกๆ / สลับตำแหน่งกันก็มี เป็น rhyme scheme และยังมีกำหนด meter อีก )
ผู้เขียนโคลงซอนเน็ต มีคำเรียกเฉพาะว่า "sonneteer" งานกวีนิพนธ์แบบซอนเน็ตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ ซอนเน็ต
ของเชกสเปียร์ โดยเฉพาะ Sonnet 73 William Shakespeare
That time of year thou mayst in me behold
When yellow leaves, or none, or few, do hang
Upon those boughs which shake against the cold,
Bare ruin'd choirs, where late the sweet birds sang,
In me thou see'st the twilight of such day
As after sunset fadeth in the west,
Which by and by black night doth take away,
Death's second self, that seals up all in rest.
In me thou see'st the glowing of such fire
That on the ashes of bis youth doth lie,
As the death-bed whereon it must expire
Consumed with that which it was nourish'd by.
This thou perceivest, which makes thy love more strong,
To love that well which thou must leave ere long.
หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี (ท่านจันทร์ ท่านเป็นหนึ่งในประธาน สถาบันมิ่งหลี หน้ามหาวิทยาลัยศิลปากร)
ได้พระนิพนธ์ แปล เป็นกาพย์ยานี ๑๑
"เริ่มช่วงใบร่วงฤดู คือพี่ผู้ผ่านกลางวัย
ใบเหลืองไม่กี่ใบ บนต้นไม้ยังไม่ร่วง
เหลือติดอยู่กับกิ่ง หนาวสั่นยิ่งกว่าหนาวทรวง
นกน้อยเงียบทั้งปวง ว่างวัดวาหามีเสียง
โพล้เพล้เวลาพี่ ใกล้ชีวีจะจบเพียง
ชั่วครู่อยู่ข้างเคียง แต่สูรย์ดับลับเหลี่ยมเขา
ความมืดจะตามมา พรากชีวาพาสู่เงา
ความตายหมายมุ่งเฝ้า ที่จะเอาตัวพี่ไป
ดูเถิดดูตัวพี่ ก่อนชีวินจะสิ้นไฟ
ผ่านพ้นคนกลางวัย ช่วงไฟมอดวอดชีวิต
เมื่อครั้งพลังหนุ่ม คือไฟสุมรุมแรงฤทธิ์
ไฟนั้นเมื่อดับสนิท ชีวินปลิดไปกับไฟ
รักพี่เถิดมากมาก จวนจะพรากจากกันไกล
ไปแล้วจะเลยไป ไม่มีวันหันกลับมา"
ในร้อยกรองไทย กลบท เป็นบทร้อยกรอง ที่มี มีรูปแบบเป็นตำราฉันทลักษณ์แน่นอน มีทั้งโคลงกลบท โคลงกลอักษร
กลอนกลบท กลอนกลอักษร ร่ายกลบท กาพย์กลบท ฉันท์กลบท
ท่านมหากวีเอกของไทย สุนทรภู่ ว่าถึงกลบทไว้ในตอนท้ายของนิราศสุพรรณว่า
โคลงไว้ใช้ชื่ออ้าง ต่างนาม
นาคปริพันธ์ตาม กบเต้น
สระล้วนส่วนอักษรสาม สกัดแคร่ แม่นา
ก้านต่อดอกบอกบ่เว้น ว่าไว้ให้ฟัง
ใครๆ ต่างก็ทราบดีว่า บรมครูกวีสุนทรภู่ ท่านมีชื่อลือเลื่องเป็นเลิศใน กระบวนกลอน กลอนแปดแบบสุนทรภู่ถือเป็นกลอนครู
มาจนถึงปัจจุบัน แต่ในบรรดาผลงานของท่าน มีนิราศสุพรรณที่แต่งโดยใช้ฉันทลักษณ์เป็นโคลงสี่สุภาพ
แต่ผลงานชั้นครู โคลงสี่สุภาพธรรมดานั้นคงไม่เป็นที่กล่าวถึง โคลงของท่านสุนทรภู่ จึงมีเอกลักษณ์บางประการที่แตกต่าง
จากแบบแผนโคลงสี่สุภาพที่เขียนกันมา
โคลงกลบทนาคบริพันธ์ จากนิราศสุพรรณ
สาวเอยเคยอ่อนหนุ้ม อุ้มสนอม
ออมสนิทชิดกลิ่นหอม กล่อมให้
ไกลห่างว่างอกตรอม ออมตรึก รฦกเอย
เลยอื่นขึ้นครองไว้ ใคร่หว้าหน้าสวน
นักวรรณกรรมหลายท่านยังมีแนวคิดว่า โคลง นั้นท่านสุนทรภู่ ไม่น่าจะมีความสามารถในทางประพันธ์ แต่อาจสร้างเป็น
"ทางโคลง" แบบใหม่ขึ้นมา เพราะ ในโคลงเก่าๆ (กว่ายุคสุนทรภู่) ก็มีการใช้ สัมผัสใน แพรวพราวอยู่แล้ว
เพียงแต่นิยมใช้สัมผัสอักษรเป็นหลัก และไม่ยึดตำแหน่งตายตัวแบบโคลงสุนทรภู่
เช่นบทนี้จากนิราศนรินทร์ ของนายนรินทร์ธิเบศร์ (ก่อนสุนทรภู่เล็กน้อย)
โอ้ศรีเสาวลักษณ์ล้ำ แลโลม โลกเอย
แม้ว่ามีกิ่งโพยม ยื่นหล้า
แขวนขวัญนุชชูโฉม แมกเมฆ ไว้แม่
กีดบ่มีกิ่งฟ้า ฝากน้องนางเดียว
บางคนถึงกับวิจารณ์ว่าสุนทรภู่แต่งโคลงไม่เป็น เลยทำให้นึกถึง โคลงคำผวนที่แต่งโดยท่านบรมครูกวี สุนทร (ภู่)
เฉน็งไอมาเวิ้งเว่า วู่กา
รูกับกาวเมิงแต่ยา มู่ไร้
ปิดเซ็นจะมูซ่า เคราทู่
เฉะแต่จะตอบให้ ชีพม้วย มังระนอ
สุนทรภู่ปรมาจารย์ด้านกลอนของไทยได้แต่งโคลงคำผวนโต้ตอบ ผู้ที่สบประมาทกล่าวหาว่าท่านแต่งได้แต่กลอนเท่านั้น
โคลงแต่งไม่ได้ สุนทรภู่จึงแต่งโคลงเป็นคำผวนด่าผู้สบประมาทดังกล่าว

ขอบคุณที่มา
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=183349038390433&set=a.183557315036272.48338.125741587484512&type=1&theater
ขอบคุณ โคลงแบบสุนทรภู่ เรือนไทย.วิชาการ.คอม
ขอบคุณ
http://vaaaan.exteen.com/20091110/romeo-juliet
ขอบคุณ รายการแฟนพันธ์แท้ สุนทรภู่
ขอน้อมรำลึกวันที่ ๒๖ มิถุนายน ของทุกปี คือ "วันสุนทรภู่" วันมหากวีแห่งรัตนโกสินทร์

~o~o~O รสก O~o~o~ ... _ _ _ Sonnet กวีฝรั่ง กลบท โคลงไทย _ _ _ ... ~o~o~O รสก O~o~o~
If I profane with my unworthiest hand (a)
This holy shrine, the gentle sin is this: (b)
My lips, two blushing pilgrims, ready stand (a)
To smooth that rough touch with a tender kiss. (b)
JULIET :
Good pilgrim, you do wrong your hand too much, (c)
Which mannerly devotion shows in this; (d)
For saints have hands that pilgrims' hands do touch, (c)
And palm to palm is holy palmers' kiss. (d)
ROMEO :
Have not saints lips, and holy palmers too? (e)
JULIET :
Ay, pilgrim, lips that they must use in prayer. (f)
ROMEO :
O, then, dear saint, let lips do what hands do; (e)
They pray grant thou, lest faith turn to despair. (f)
JULIET :
Saints do not move, though grant for prayers' sake. (g)
ROMEO :
Then move not, while my prayer's effect I take. (g)
[Kisses her.]
Thus from my lips, by yours, my sin is purged.
JULIET :
Then have my lips the sin that they have took.
ROMEO
Sin from thy lips? O trespass sweetly urged !!!!
Give me my sin again.
[Kisses her.]
JULIET :
You kiss by th' book.
ฉาก wooing scene คือ ฉากที่โรเมโอ มาเจอกับ จูเลียต ครั้งแรกในงานเต้นรำของบ้านคอปปูเล็ต
บท Sonnet ของ Shakespeare เริ่มจาก โรมิโอ พูดกับจูเลียต จนกระทั่งได้จูบแรก ถือว่าเป็นโคลงประพันธ์
ที่สวยงามและเฉียบคม ผู้อ่านต้องอมยิ้ม และวาบหวิว เพลินไปกับตัวละคร
การอ่านบทกวี โดยเฉพาะกวีฝรั่ง Sonnet 14 บรรทัด มีฉันทลักษณ์ รูปแบบสัมผัสที่เคร่งครัดและมีโครงสร้างพิเศษ
แต่ละบรรทัดประกอบด้วย 10 พยางค์ (หรืออาจเป็น 9-11 พยางค์ก็ได้)
ลักษณะสัมผัสท้ายประโยคเป็นดังนี้ a-b-a-b / c-d-c-d / e-f-e-f / g-g
ขอบอกว่า เวลาอ่าน ซอนเน็ต ให้อ่านผ่านๆ เอาเสียงของคำ ไม่ต้องไปสนใจแปลทุกคำ (เพราะแปลไม่ได้ แปลยาก
มันจะมีคำแปลกๆ / สลับตำแหน่งกันก็มี เป็น rhyme scheme และยังมีกำหนด meter อีก )
ผู้เขียนโคลงซอนเน็ต มีคำเรียกเฉพาะว่า "sonneteer" งานกวีนิพนธ์แบบซอนเน็ตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ ซอนเน็ต
ของเชกสเปียร์ โดยเฉพาะ Sonnet 73 William Shakespeare
That time of year thou mayst in me behold
When yellow leaves, or none, or few, do hang
Upon those boughs which shake against the cold,
Bare ruin'd choirs, where late the sweet birds sang,
In me thou see'st the twilight of such day
As after sunset fadeth in the west,
Which by and by black night doth take away,
Death's second self, that seals up all in rest.
In me thou see'st the glowing of such fire
That on the ashes of bis youth doth lie,
As the death-bed whereon it must expire
Consumed with that which it was nourish'd by.
This thou perceivest, which makes thy love more strong,
To love that well which thou must leave ere long.
หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี (ท่านจันทร์ ท่านเป็นหนึ่งในประธาน สถาบันมิ่งหลี หน้ามหาวิทยาลัยศิลปากร)
ได้พระนิพนธ์ แปล เป็นกาพย์ยานี ๑๑
"เริ่มช่วงใบร่วงฤดู คือพี่ผู้ผ่านกลางวัย
ใบเหลืองไม่กี่ใบ บนต้นไม้ยังไม่ร่วง
เหลือติดอยู่กับกิ่ง หนาวสั่นยิ่งกว่าหนาวทรวง
นกน้อยเงียบทั้งปวง ว่างวัดวาหามีเสียง
โพล้เพล้เวลาพี่ ใกล้ชีวีจะจบเพียง
ชั่วครู่อยู่ข้างเคียง แต่สูรย์ดับลับเหลี่ยมเขา
ความมืดจะตามมา พรากชีวาพาสู่เงา
ความตายหมายมุ่งเฝ้า ที่จะเอาตัวพี่ไป
ดูเถิดดูตัวพี่ ก่อนชีวินจะสิ้นไฟ
ผ่านพ้นคนกลางวัย ช่วงไฟมอดวอดชีวิต
เมื่อครั้งพลังหนุ่ม คือไฟสุมรุมแรงฤทธิ์
ไฟนั้นเมื่อดับสนิท ชีวินปลิดไปกับไฟ
รักพี่เถิดมากมาก จวนจะพรากจากกันไกล
ไปแล้วจะเลยไป ไม่มีวันหันกลับมา"
ในร้อยกรองไทย กลบท เป็นบทร้อยกรอง ที่มี มีรูปแบบเป็นตำราฉันทลักษณ์แน่นอน มีทั้งโคลงกลบท โคลงกลอักษร
กลอนกลบท กลอนกลอักษร ร่ายกลบท กาพย์กลบท ฉันท์กลบท
ท่านมหากวีเอกของไทย สุนทรภู่ ว่าถึงกลบทไว้ในตอนท้ายของนิราศสุพรรณว่า
โคลงไว้ใช้ชื่ออ้าง ต่างนาม
นาคปริพันธ์ตาม กบเต้น
สระล้วนส่วนอักษรสาม สกัดแคร่ แม่นา
ก้านต่อดอกบอกบ่เว้น ว่าไว้ให้ฟัง
ใครๆ ต่างก็ทราบดีว่า บรมครูกวีสุนทรภู่ ท่านมีชื่อลือเลื่องเป็นเลิศใน กระบวนกลอน กลอนแปดแบบสุนทรภู่ถือเป็นกลอนครู
มาจนถึงปัจจุบัน แต่ในบรรดาผลงานของท่าน มีนิราศสุพรรณที่แต่งโดยใช้ฉันทลักษณ์เป็นโคลงสี่สุภาพ
แต่ผลงานชั้นครู โคลงสี่สุภาพธรรมดานั้นคงไม่เป็นที่กล่าวถึง โคลงของท่านสุนทรภู่ จึงมีเอกลักษณ์บางประการที่แตกต่าง
จากแบบแผนโคลงสี่สุภาพที่เขียนกันมา
โคลงกลบทนาคบริพันธ์ จากนิราศสุพรรณ
สาวเอยเคยอ่อนหนุ้ม อุ้มสนอม
ออมสนิทชิดกลิ่นหอม กล่อมให้
ไกลห่างว่างอกตรอม ออมตรึก รฦกเอย
เลยอื่นขึ้นครองไว้ ใคร่หว้าหน้าสวน
นักวรรณกรรมหลายท่านยังมีแนวคิดว่า โคลง นั้นท่านสุนทรภู่ ไม่น่าจะมีความสามารถในทางประพันธ์ แต่อาจสร้างเป็น
"ทางโคลง" แบบใหม่ขึ้นมา เพราะ ในโคลงเก่าๆ (กว่ายุคสุนทรภู่) ก็มีการใช้ สัมผัสใน แพรวพราวอยู่แล้ว
เพียงแต่นิยมใช้สัมผัสอักษรเป็นหลัก และไม่ยึดตำแหน่งตายตัวแบบโคลงสุนทรภู่
เช่นบทนี้จากนิราศนรินทร์ ของนายนรินทร์ธิเบศร์ (ก่อนสุนทรภู่เล็กน้อย)
โอ้ศรีเสาวลักษณ์ล้ำ แลโลม โลกเอย
แม้ว่ามีกิ่งโพยม ยื่นหล้า
แขวนขวัญนุชชูโฉม แมกเมฆ ไว้แม่
กีดบ่มีกิ่งฟ้า ฝากน้องนางเดียว
บางคนถึงกับวิจารณ์ว่าสุนทรภู่แต่งโคลงไม่เป็น เลยทำให้นึกถึง โคลงคำผวนที่แต่งโดยท่านบรมครูกวี สุนทร (ภู่)
เฉน็งไอมาเวิ้งเว่า วู่กา
รูกับกาวเมิงแต่ยา มู่ไร้
ปิดเซ็นจะมูซ่า เคราทู่
เฉะแต่จะตอบให้ ชีพม้วย มังระนอ
สุนทรภู่ปรมาจารย์ด้านกลอนของไทยได้แต่งโคลงคำผวนโต้ตอบ ผู้ที่สบประมาทกล่าวหาว่าท่านแต่งได้แต่กลอนเท่านั้น
โคลงแต่งไม่ได้ สุนทรภู่จึงแต่งโคลงเป็นคำผวนด่าผู้สบประมาทดังกล่าว
ขอบคุณที่มา http://www.facebook.com/photo.php?fbid=183349038390433&set=a.183557315036272.48338.125741587484512&type=1&theater
ขอบคุณ โคลงแบบสุนทรภู่ เรือนไทย.วิชาการ.คอม
ขอบคุณ http://vaaaan.exteen.com/20091110/romeo-juliet
ขอบคุณ รายการแฟนพันธ์แท้ สุนทรภู่
ขอน้อมรำลึกวันที่ ๒๖ มิถุนายน ของทุกปี คือ "วันสุนทรภู่" วันมหากวีแห่งรัตนโกสินทร์