"พุทธศาสนามหานิยม" ในสังคม"หลังพุทธศาสนา"

กระทู้ข่าว
โดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ madpitch@yahoo.com


ช่วงนี้เรื่องราวของพุทธศาสนา ดูจะเป็นหนึ่งในข่าวหน้าหนึ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะอยากจะเน้นย้ำเรื่องราวที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ล้วนแล้วแต่สะท้อนพลวัตของพุทธศาสนาในสังคมไทยได้เป็นอย่างดี

อย่างน้อยสักสองประเด็น

หนึ่ง คือเรื่องของการลาสิขา ของพระอาจารย์ชื่อดังที่เป็นชาวต่างชาติ ที่ภาพในการรับรู้ของเราก็คือแม้ว่าท่านจะเป็นหนึ่งในสายของพระป่า แต่ภาพที่เรารู้จักท่านก็คือภาพของการที่ท่านเผยแผ่ศาสนาด้วยสื่อสมัยใหม่ ที่เรียบง่ายและเป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่ๆ และจากการนำเสนอข่าวในเรื่องนี้ทำให้รู้สึกถึงความอาลัยรักต่อตัวของท่านเป็นอย่างมาก และดูเหมือนกับว่าหนึ่งในเรื่องของความขัดแย้งระหว่างตัวของท่านกับญาติโยมรอบตัวในแง่ของการบริหารกิจการของวัดนั้นจะกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนสนใจมิใช่น้อย

สอง คือเรื่องของการพยายามติดตามตรวจสอบเรื่องของความฟุ้งเฟ้อ รวมไปถึง "ความแท้" ของพระอาจารย์ชื่อดังในภาคอีสานอีกรูปหนึ่ง ทั้งในกรณีของเครื่องบินเจ็ต คำสอน และการใช้ของราคาแพง ซึ่งในขณะนี้เรื่องราวก็ยังไม่คืบหน้าเท่าไหร่ เพราะว่าตัวของท่านนั้นยังไม่ได้กลับมาเมืองไทย

กล่าวเพิ่มอีกหน่อยก็ว่า เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาในวันนี้มีเรื่องราวมากมาย ซึ่งอาจจะรวมไปถึงข่าวความสนใจต่อสุขภาพและความขัดแย้งกับการบริหารวัดของพระเกจิทางอีสานที่เป็นที่นับถือของคนทั้งประเทศ รวมไปถึงความนิยมต่อพระอาจารย์บางรูปในสื่อสมัยใหม่ถึงกับถูกนับเป็นหนึ่งในสิบของเฟซบุ๊กสมัยนี้ และยอดขายสื่อธรรมะก็เป็นที่นิยมมากที่สุดในร้านหนังสือสมัยใหม่ (ไม่นับการที่ท่านก็ถูกวิจารณ์ขนาดหนักในสังคมเช่นกัน) หรือกระทั่งจะเห็นว่าทั้งสื่อและองค์กรต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับพุทธธุรกิจมากมาย เช่น การหล่อพระ เช่าพระ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งความนิยมในการแสวงบุญต่างประเทศของเหล่าคนดังเป็นต้น

เท่าที่เขียนมานี้ต้องการจะชี้ให้เห็นว่า หากจะเขียนเรื่องราวของพุทธศาสนาในสังคมไทยในวันนี้ ก็คงจะมีเรื่องราวให้เขียนถึงได้มิใช่น้อย ซึ่งน่าจะทำให้เราเริ่มตระหนักได้ว่า อาจเป็นไปได้ที่การมองว่า (พุทธ) ศาสนานั้นเสื่อมถอยจริงหรือไม่ในสังคม (ไทย) สมัยใหม่นั้นต้องถูกตั้งคำถามอย่างพินิจพิเคราะห์ยิ่ง

ในขณะที่ผมขอเสนอให้มองพุทธศาสนาในประเทศไทยว่า เป็นลักษณะที่เรียกว่า "พุทธศาสนามหานิยม" ในสังคม "หลังพุทธศาสนา"

คําว่า "พุทธศาสนามหานิยม" นี้ผมประดิษฐ์ขึ้นมาจากคำว่า Popular Buddhism (ที่มีการพูดกันอยู่แล้ว) หรือถ้าจะประดิษฐ์แบบจัดเต็มก็คงต้องกล่าวถึง "พุทธศาสนามหานิยมแบบไทยๆ" (Thai Popular Buddhism) ที่คนจำนวนไม่น้อยอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ "ไม่ใช่พุทธแท้" กล่าวคือ ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ตัวคำสอนจากพระคัมภีร์ และบางทีอาจไม่ได้รับการยอมรับจากกฎระเบียบในการกำกับดูแลพุทธศาสนา โดยเฉพาะจากรัฐบาลและจากการปกครองกันเองในหมู่สงฆ์ (อาทิ ตกลงมีวัดไหม/จะสร้างวัดไหม? บวชจริงไหม?)

ส่วนในเรื่องของคำว่า "หลังพุทธศาสนา" ผมก็ประดิษฐ์มาจากคำว่า "Post-Buddhist Society" เพื่อนำเสนอว่า แทนที่เราจะมองแต่ว่าสังคมเรานั้นเป็นสังคมพุทธ "จริงหรือเปล่า?" นำมาสู่การตั้งคำถามว่า เรากำลังเดินทางออกจากสังคมพุทธจริงไหม? หรือว่าเราเองก็ไม่เคยเดินทางพ้นไปจากความเป็นพุทธแบบของเรานี่แหละครับ และเราควรจะสนใจความสลับซับซ้อนของสังคมพุทธแบบของเรา ที่ในบางเรื่องเราไม่คิดว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นพุทธ ‚ แต่บางทีก็เป็นพุทธจนไม่น่าเชื่อ หรือนึกไม่ถึง

จากสองคำที่พยายามประดิษฐ์ขึ้นนี้ ผมพยายามจะชี้ว่าอย่าเพิ่งรู้สึกไปว่าศาสนาพุทธจะเสื่อมถอยลง แต่ต้องเข้าใจความสลับซับซ้อนและการผสมปนเปกันของเรื่องราวที่หลากหลายในสังคมที่ยังไม่มีทางเลิกเป็นพุทธได้ง่ายๆ แบบบ้านเรานั่นแหละครับ

และอาจจะต้องเข้าใจความเป็นมหานิยมของพุทธศาสนาในบ้านเราจากหลายๆ มิติ หลายๆ เสียง และหลายๆ มุม โดยอย่าเพิ่งไปมองว่ามีความถูกต้องหนึ่งเดียว

ยิ่งในสังคมประชาธิปไตยแล้ว เรื่องนี้ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าหนึ่งในรากฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตยนั้นก็คือเรื่องราวของเสรีภาพในการแสดงออกในความคิดเห็น ซึ่งทำให้เราต้องมาคิดให้รอบคอบว่าการพยายามจะกำกับดูแลพุทธศาสนา (และศาสนาอื่นๆ) ท่ามกลางความหลากหลายของท้องถิ่นและการตีความเองนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน

ไม่นับว่าหากเราจะย้อนมาพิจารณาว่า พุทธศาสนานั้นไม่ใช่สิ่งที่สะท้อนและถูกก่อตัวมาจากสังคม แต่ยังถูกหล่อหลอมขึ้นจากพัฒนาการของอำนาจรัฐและเศรษฐกิจเช่นกัน เราก็จะยิ่งมองเห็นความซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องของการที่หน่วยงานรัฐจำนวนมากก็หาทุนด้วยการสร้างวัตถุมงคล หรือการตั้งคำถามกับการจัดความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา กับความรุ่งเรืองกับเศรษฐกิจ เพราะในอีกด้านหนึ่ง ศาสนาก็ต้องการการอุปถัมภ์จากเศรษฐกิจเช่นกัน

การเข้าใจพุทธศาสนามหานิยมนั้นจึงต้องเข้าใจถึงความหลากหลายและพลวัตของความคิดและการปฏิบัติที่ดูเหมือนกับอาจจะผิดฝาผิดตัว ไม่เป็นไปตามคาดหวังของผู้คนในบางกลุ่ม ทั้งที่เป็นเรื่องจริงที่ไม่ไกลตัวของเรา

อาทิ ความเชื่อที่ว่าศาสนานั้นเสื่อมถอย หรือมีพื้นที่ลดลง รวมทั้งเชื่อว่าศาสนานั้นอยู่ในวัด ตามการพยายามจะเสนอเรื่องของสามเสาหลักของสถาบันสังคมที่จะหลอมรวมให้เราอยู่ด้วยกัน ได้แก่ "บ้าน วัด และโรงเรียน (บวร)" ทั้งที่ศาสนาอาจจะอยู่ที่ร้านหนังสือ ที่ศูนย์การค้า ที่ไปรษณีย์ หรืออยู่ในอินเตอร์เน็ตมากกว่า

หรือความเชื่อที่ว่า พระสงฆ์นั้นอาจจะแบ่งเป็น พระบ้าน พระป่า และพระเกจิ (magic monk) ในความหมายที่ว่า พระบ้านเน้นตัวบท พระป่าเน้นสมาธิ แล้วพระเกจิในบางความหมายนั้นคือ พระที่เล่นกับไสยศาสตร์และอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยลืมไปว่าสำหรับพุทธศาสนานั้น มีความเป็นมหานิยมทั้งสิ้น และก็ผสมปนเปกันไป เพราะด้วยเงื่อนไขความสัมพันธ์กับรัฐและเศรษฐกิจนั้น จะให้เรามองว่ามีการแตกตัวออกไปจากพุทธศาสนานั้นเป็นไปได้ยาก และพระบางรูปก็มีส่วนผสมของทั้งสามอย่างนั่นแหละครับ หลวงพ่อก็มีสมณศักดิ์ และการบำเพ็ญเพียรก็ทำให้พระบางรูปได้รับความนิยมไปในเรื่องที่พ้นไปจากสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นคำสอนหลักของพุทธศาสนานั่นแหละครับ (อย่าลืมว่าคำสอนหลักหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับอำนาจของรัฐในการรับรองและสนับสนุนกระบวนการสังคายนาเช่นกัน)

ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคนี้ การผสมปนเป (hybridization) และความเป็นมหานิยมของพุทธศาสนานั้นก็ควรจะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เราต้องย้อนตระหนักถึงปฏิกิริยาในการผูกขาดความรู้-อำนาจ และการเหมาอ้างซึ่งความแท้และความชอบธรรมของการตีความและการปฏิบัติในแบบอื่นๆ โดยเฉพาะจากคนที่เราอาจรู้สึกว่าด้อยกว่า เช่น ขาดการศึกษา ยากจน อยู่ห่างไกล

จากที่เคยปกครองเขามานาน ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และค่านิยม

ทั้งที่ในความเป็นจริงเราคงต้องตั้งคำถามว่ากระแสที่ออกไปเหอะอะไรที่พ้นไปจากพระบ้านนั้นก็ล้วนแล้วแต่ผู้มีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และค่านิยมใช่หรือไม่ (เพราะถ้าไม่ใช่ก็คงต้องย้อนไปดูกรณีอย่างพระครูบาศรีวิชัย เป็นต้น)

ดังนั้น พุทธศาสนาแบบมหานิยมในสังคมแบบหลังพุทธศาสนา (คือตกลงพ้นหรือยังไม่รู้ รู้ว่าไม่น่าใช่ แต่ก็เหมือนจะใช่ จะหลอกจะหลอนจะผลุบจะโผล่ตลอดเวลา) นั้นก็จะผสมปนเปไปในหลายพื้นที่ ที่ไม่ได้ถูกจับวางง่ายๆ ระหว่าง "หนึ่งเดียว" หรือ "ผู้ (เป็น) อื่น" ที่ไม่ได้ปะทะกันจนนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง และก็ยังอยู่ในกรอบของการไม่ได้ปฏิเสธทั้งอำนาจรัฐ และอำนาจเงิน และไม่ได้บ่งชี้ถึงความขัดแย้งสุดขั้วของ เมือง-ชนบท หรือ รวย-จน หรือแม้กระทั่ง พุทธ (แท้) -ไม่ใช่พุทธ นั่นแหละครับ

หมายเหตุ - นอกจากงานชิ้นนี้จะเขียนสะท้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้แล้ว งานชิ้นนี้ยังเขียนขึ้นเพื่อรำลึกถึง ดร.พัฒนา กิติอาษา ผู้ล่วงลับ สำหรับผม อาจารย์พัฒนา เป็นนักวิชาการร่วมสมัยที่เอาจริงเอาจังและอุทิศชีวิตให้กับการศึกษาเรื่องราวของชาวอีสานทั้งในบ้านเรา และชาวอีสานข้ามชาติ ความคิดหลายอย่างในงานชิ้นนี้ได้รับอิทธิพลจากงานรวมเล่มของอาจารย์ที่ชื่อว่า "Mediums, Monks, & Amulets: Thai Popular Buddhism Today" พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Silkworm แห่งนครล้านนา ร่วมกับ University of Washington นครซีแอตเทิล ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่อาจารย์จบมาด้วยครับ

หน้า 6 มติชนรายวัน ฉบับวันอังคารที่ 25 มิถุนายน 2556
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ศาสนาพุทธ ศาสนา
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่