
เรื่องราวของ The Mist นั้นเป็นเรื่องราวของพ่อลูกคู่หนึ่งที่ออกมาซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเตรียมตุนเอาไว้รับมือพายุที่กำลังจะมา แต่ทว่าสิ่งที่มานั้นไม่ใช่พายุแต่หมอกสีเทาที่เข้าปกคลุมเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ไปจนทั่วจนเมืองไม่เห็นอะไรด้านนอกเลย ผู้คนต่างเข้ามาหลบกันอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตกันมากมายจนกระทั่งมีบางอย่างเกิดขึ้นด้านนอก เมื่อมีสัตวืประหลาดที่พวกเขาไม่เคยเห็นพุ่งชนกระจกซุปเปอร์เพื่อจะเข้ามาในนี้ ท่ามกลางความสับสนของผู้คนในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เริ่มคลั่งสติแตกกันไปทีล่ะน้อย

คนในห้างก็เหมือนเม่าแบบผมนี่แหละ แค่จำไมได้ว่ายืนตรงไหน มองออกไปข้างนอกก็เหมือนดูพอร์ต ที่แดงลงๆ

แล้วจะมีหญิงบ้าคนนึง พูดพร่ำ เรื่องสิ้นโลก ซาตาน แล้วทุกคนหาว่าบ้า จนเมื่อ คนโดนกินไปเรื่อยๆ ทุกคนกลับเสียสติ คำพูดหญิงบ้า พร้อมทั้งยกเอาคำสอนจากคัมภีร์ไบเบิ้ลมากล่าวถึงเพื่อเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้เข้ากับสถานการณ์ที่พวกเขาประสบอยู่ ไม่ว่าจะยังไง หลายๆคนก็ต้องเริ่มคล้อยตาม และหลงเชื่อในที่สุด และในทันทีที่คุณป้าบ้าศาสนาได้ก่อตั้งลัทธิใหม่ขึ้นมา แล้วหลายคนก็นับถือเธอ ทำทุกอย่าง แม้กระทั่งที่เธอบอกว่า ให้เอาชีวิตคนบูชายัญให้กับซาตาน แล้วจะปลอดภัย
เอาล่ะนั่นมันหนัง
เรื่องจริง
เมื่อไม่เกินเดือน มีคนนึงบอกว่า หุ้นจะตกไป 1380 จุด มีหลายคนบอกบ้า พูดลอยๆ มีหลักฐานมั้ย สรุป วันนี้ ก็ลงไปจริงๆ ทำเอามือใหม่ไม่เคยเล่นหุ้นอย่างผม ก็เหมือน คนที่อยู่ในที่อยู่ในห้าง แรกๆ ก็ไม่เชื่อ แต่พอมันเป็นคำพูดจริงๆ ความเชื่อมั่นถูกทำลาย มันก็กระวนกระวาย ไม่รู้ว่าหมอกนั้น มันจะหายไปเมื่อไหร่ cut loss ก็เหมือนหนีออกจากห้างนั้น กลัวที่ออกไปแล้ว จะคิดผิด กอดหุ้นไว้ การที่แดงลงทุกวันๆ มันก็เหมือน อยู่ในห้าง คนรอบข้างที่ตายไปทีละคนๆ จากการโดนสิ่งประหลาดสังหาร เริ่มเสียสติ (ไม่ถึงขั้นบ้าน่ะ) ก็มันจะจางไปเมื่อใด ตอนนี้ ต่อให้เรา ยังเชื่อมั่นตัวเองแค่ไหน จากการอ่านหนังสือหุ้นมา หลายๆตำรา แต่เชื่อเหอะ เราเป็นมนุษย์ ความ panic มัน ก็คือสัญชาติญาณ ของสิ่งมีชีวิต
เมื่อ วันที่เราบอกตัวเองว่า จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว เชื่อเหอะ ลึกๆเราก็มีความกลัว มันไม่รู้จะเอาไรมาเชื่อดี ทั้งข่าวลือ กราฟ บทความ มั่วไปหมด
แต่ ถ้ามองข้อดี มันเป็นบทเรียนราคาแพงให้กับผม ผมว่าดีน่ะ ที่มันตกตอนที่ผมเริ่มเล่น ทำให้ ผมระมัดระวังมากขึ้น ไม่หลงระเริงด้านเดียวว่า ตลาดมันสวยงามอยู่เสมอ ไม่เอาเงินเก็บทั้งหมดใส่กับมัน (เอาเงินที่เหลือ ไปทำธุรกิจ ที่เราถนัดมากกว่าการลงทุนในหุ้นแล้วกัน)
ว่าแล้วก็นึกถึงเพลงนี้

สรุปคือ ถึงเราคิดว่าตัวเองพร้อม แต่มันยังไม่พอ ผมคงทำการบ้านเยอะกว่านี้ โลกของหุ้น ไม่มีคำว่าเมตตา เพราะหากเพลี่ยงพล้ำ ก็คือเหยื่อ ถามว่าเข็ดมั้ย ไม่ครับ ศึกนี้ หากแม้นมิกำชัย ก็ขอตายในสนามรบแล้วกัน(ตังที่ลงหมด) แต่จะรบอย่างมีสติครับ ไม่ระห่ำเพราะบางครั้ง ชนะศึก แต่แพ้สงครามครับ
ถ้าอ่านที่ผมบ่นจบ ก็ขอบคุณครับ
หุ้นตกแบบนี้นึกถึงหนังเรื่อง THE MIST หมอกมรณะ [สปอยหนังนิดๆ]
เรื่องราวของ The Mist นั้นเป็นเรื่องราวของพ่อลูกคู่หนึ่งที่ออกมาซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเตรียมตุนเอาไว้รับมือพายุที่กำลังจะมา แต่ทว่าสิ่งที่มานั้นไม่ใช่พายุแต่หมอกสีเทาที่เข้าปกคลุมเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ไปจนทั่วจนเมืองไม่เห็นอะไรด้านนอกเลย ผู้คนต่างเข้ามาหลบกันอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตกันมากมายจนกระทั่งมีบางอย่างเกิดขึ้นด้านนอก เมื่อมีสัตวืประหลาดที่พวกเขาไม่เคยเห็นพุ่งชนกระจกซุปเปอร์เพื่อจะเข้ามาในนี้ ท่ามกลางความสับสนของผู้คนในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เริ่มคลั่งสติแตกกันไปทีล่ะน้อย
คนในห้างก็เหมือนเม่าแบบผมนี่แหละ แค่จำไมได้ว่ายืนตรงไหน มองออกไปข้างนอกก็เหมือนดูพอร์ต ที่แดงลงๆ
แล้วจะมีหญิงบ้าคนนึง พูดพร่ำ เรื่องสิ้นโลก ซาตาน แล้วทุกคนหาว่าบ้า จนเมื่อ คนโดนกินไปเรื่อยๆ ทุกคนกลับเสียสติ คำพูดหญิงบ้า พร้อมทั้งยกเอาคำสอนจากคัมภีร์ไบเบิ้ลมากล่าวถึงเพื่อเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้เข้ากับสถานการณ์ที่พวกเขาประสบอยู่ ไม่ว่าจะยังไง หลายๆคนก็ต้องเริ่มคล้อยตาม และหลงเชื่อในที่สุด และในทันทีที่คุณป้าบ้าศาสนาได้ก่อตั้งลัทธิใหม่ขึ้นมา แล้วหลายคนก็นับถือเธอ ทำทุกอย่าง แม้กระทั่งที่เธอบอกว่า ให้เอาชีวิตคนบูชายัญให้กับซาตาน แล้วจะปลอดภัย
เอาล่ะนั่นมันหนัง
เรื่องจริง
เมื่อไม่เกินเดือน มีคนนึงบอกว่า หุ้นจะตกไป 1380 จุด มีหลายคนบอกบ้า พูดลอยๆ มีหลักฐานมั้ย สรุป วันนี้ ก็ลงไปจริงๆ ทำเอามือใหม่ไม่เคยเล่นหุ้นอย่างผม ก็เหมือน คนที่อยู่ในที่อยู่ในห้าง แรกๆ ก็ไม่เชื่อ แต่พอมันเป็นคำพูดจริงๆ ความเชื่อมั่นถูกทำลาย มันก็กระวนกระวาย ไม่รู้ว่าหมอกนั้น มันจะหายไปเมื่อไหร่ cut loss ก็เหมือนหนีออกจากห้างนั้น กลัวที่ออกไปแล้ว จะคิดผิด กอดหุ้นไว้ การที่แดงลงทุกวันๆ มันก็เหมือน อยู่ในห้าง คนรอบข้างที่ตายไปทีละคนๆ จากการโดนสิ่งประหลาดสังหาร เริ่มเสียสติ (ไม่ถึงขั้นบ้าน่ะ) ก็มันจะจางไปเมื่อใด ตอนนี้ ต่อให้เรา ยังเชื่อมั่นตัวเองแค่ไหน จากการอ่านหนังสือหุ้นมา หลายๆตำรา แต่เชื่อเหอะ เราเป็นมนุษย์ ความ panic มัน ก็คือสัญชาติญาณ ของสิ่งมีชีวิต
เมื่อ วันที่เราบอกตัวเองว่า จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว เชื่อเหอะ ลึกๆเราก็มีความกลัว มันไม่รู้จะเอาไรมาเชื่อดี ทั้งข่าวลือ กราฟ บทความ มั่วไปหมด
แต่ ถ้ามองข้อดี มันเป็นบทเรียนราคาแพงให้กับผม ผมว่าดีน่ะ ที่มันตกตอนที่ผมเริ่มเล่น ทำให้ ผมระมัดระวังมากขึ้น ไม่หลงระเริงด้านเดียวว่า ตลาดมันสวยงามอยู่เสมอ ไม่เอาเงินเก็บทั้งหมดใส่กับมัน (เอาเงินที่เหลือ ไปทำธุรกิจ ที่เราถนัดมากกว่าการลงทุนในหุ้นแล้วกัน)
ว่าแล้วก็นึกถึงเพลงนี้
สรุปคือ ถึงเราคิดว่าตัวเองพร้อม แต่มันยังไม่พอ ผมคงทำการบ้านเยอะกว่านี้ โลกของหุ้น ไม่มีคำว่าเมตตา เพราะหากเพลี่ยงพล้ำ ก็คือเหยื่อ ถามว่าเข็ดมั้ย ไม่ครับ ศึกนี้ หากแม้นมิกำชัย ก็ขอตายในสนามรบแล้วกัน(ตังที่ลงหมด) แต่จะรบอย่างมีสติครับ ไม่ระห่ำเพราะบางครั้ง ชนะศึก แต่แพ้สงครามครับ
ถ้าอ่านที่ผมบ่นจบ ก็ขอบคุณครับ