สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน
เปลี่ยนแนวจากการฟังเพลงมาเป็นการอ่านบทกลอนไพเราะกันบ้างครับ
ที่จะแนะนำคือ กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า ซึ่งในสมัยมัธยมผมได้เคยศึกษาบางส่วนมาครับ
สมัยนั้นหลักสูตรจะคัดบางส่วน(มีทั้งสิ้น 33 บทครับ)มาให้นักเรียนได้อ่านและวิจารณ์
กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า
ผู้แต่ง: พระยาอุปกิตศิลปสาร (แปลจาก An Elegy Written in a Country Churchyard ของ Thomas Gray)
อำมาตย์เอก พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) เกิดวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2422 ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 เป็นนักเขียน ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาไทย ท่านใช้นามปากกาหลาย นาม ที่รู้จักกันแพร่หลาย คือ "อ.น.ก.", "อุนิกา", "อนึก คำชูชีพ"
เป็นผู้ริเริ่มคำทักทายคำว่า "สวัสดี" และยังเป็นผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษาทางการแพทย์หรือที่เรียกว่าอาจารย์ใหญ่ เป็นท่านแรกของประเทศไทย โดยกล่าวว่า "ฉันเป็นครู ตายแล้วขอเป็นครูต่อไป"
โทมัส เกรย์ (Thomas Gray) กวีชาวอังกฤษ เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1716 ในครอบครัวชนชั้นกลาง เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่เคมบริดจ์ บทกวีที่มีชื่อเสียงที่มากสุดของเกรย์ คือ “An Elegy Written in a Country Churchyard” (ปี ค.ศ. 1751)
เกรย์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ในความเป็นกวีเอก ของตน ความคิดเห็นของเขาต่อความเศร้าสะเทือนใจในวิถีชีวิตและวิธีการประพันธ์มี ความสมบูรณ์แบบเป็นที่สุดสำหรับความเป็นจริงของมนุษย์
เกรย์ปฏิเสธไม่รับรางวัลกวียอดเยี่ยมในปี ค.ศ. 1757 เขาเสียชีวิตในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1771

1
The Curfeu tolls the Knell of parting Day,
The lowing Herd winds slowly o'er the Lea,
The Plow-man homeward plods his weary Way,
And leaves the World to Darkness and to me.
๑.
วังเอ๋ยวังเวง
หง่างเหง่ง! ย่ำค่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล
ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ
ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล
และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียว เอย.
2
Now fades the glimmering Landscape on the Sight,
and all the Air a solemn Stillness holds,
Save where the Beetle wheels his droning Flight,
and drowsy Tinklings lull the distant Folds;
๒.
ยามเอ๋ยยามนี้
ปถพีมืดมัวทั่วสถาน
อากาศเย็นเยือกหนาวคราววิกาล
สงัดปานป่าใหญ่ไร้สำเนียง
มีก็แต่เสียงจังหรีดกระกรีดกริ่ง!
เรไรหริ่ง! ร้องขรมระงมเสียง
คอกควายวัวรัวเกราะเปาะแปะ ! เพียง
รู้ว่าเสียงเกราะแว่วแผ่วแผ่ว เอย.
3
Save that from yonder ivy-mantled Tow'r
The moping Owl does to the Moon complain
Of such as, wand'ring near her secret Bow'r,
Molest her ancient solitary Reign.
๓.
นกเอ๋ยนกแสก
จับจ้องร้องแจ๊กเพียงแถกขวัญ
อยู่บนยอดหอระฆังบังแสงจันทร์
มีเถาวัลย์รุงรังถึงหลังคา
เหมือนมันฟ้องดวงจันทร์ให้ผันดู
คนมาสู่ซ่องพักมันรักษา
ถือเป็นที่รโหฐานนมนานมา
ให้เสื่อมผาสุกสันต์ของมัน เอย.
4
Beneath those rugged Elms, that Yew-Tree's Shade,
Where heaves the Turf in many a mold'ring Heap,
Each in his narrow Cell for ever laid,
the rude Forefathers of the Hamlet sleep.
๔.
ต้นเอ๋ยต้นไทร
สูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้า
และต้นโพธิ์พุ่มแจ้แผ่ฉายา
มีเนินหญ้าใต้ต้นเกลื่อนกล่นไป
ล้วนร่างคนในเขตประเทศนี้
ดุษณีนอนราย ณ ภายใต้
แห่งหลุมลึกลานสลดระทดใจ
เรายิ่งใกล้หลุมนั้นทุกวัน เอย.
5
The breezy Call of incense-breathing Morn,
the Swallow twitt'ring from the Straw-built Shed,
The Cock's shrill Clarion, or the echoing Horn,
No more shall rouse them from their lowly Bed.
๕.
หมดเอ๋ยหมดห่วง
หมดดวงวิญญาณลาญสลาย
ถึงลมเช้าชวยชื่นรื่นสบาย
เตือนนกแอ่นลมผายแผดสำเนียง
อยู่ตามโรงมุงฟางข้างข้างนั้น
ทั้งไก่ขันแข่งดุเหว่าระเร้าเสียง
โอ้เหมือนปลุกร่างกายนอนรายเรียง
พ้นสำเนียงที่จะปลุกให้ลุก เอย.
6
For them no more the blazing Hearth shall burn,
Or busy Housewife ply her Evening Care'
No Children run to lisp their Sire's Return,
Or climb his Knees the envied Kiss to share
๖.
ทอดเอ๋ยทอดทิ้ง
ยามหนาวผิงไฟล้อมอยู่พร้อมหน้า
ทิ้งเพื่อนยากแม่เหย้าหาข้าวปลา
ทุกเวลาเช้าเย็นเป็นนิรันดร์
ทิ้งทั้งหนูน้อยน้อยร่อยร่อยรับ
เห็นพ่อกลับปลื้มเปรมเกษมสันต์
เข้ากอดคอฉอเลาะเสนาะกรรณ
สารพันทอดทิ้งทุกสิ่ง เอย.
7
Oft did the Harvest to their sickle yield,
Their Furrow oft the stubborn Glebe has broke;
How jocund did they drive their Team afield!
How bow'd the Woods beneath their sturdy Stroke!
๗.
กองเอ๋ยกองข้าว
กองสูงราวโรงนายิ่งน่าใคร่
เกิดเพราะการเก็บเกี่ยวด้วยเคียวใคร
ใครเล่าไถคราดพื้นฟื้นแผ่นดิน
เช้าก็ขับโคกระบือถือคันไถ
สำราญใจตามเขตประเทศถิ่น
ยึดหางยามยักไปตามใจจินต์
หางยามผินตามใจเพราะใคร เอย.
8
Let not Ambition mock their useful Toil,
Their homely Joys, and Destiny obscure;
Nor Grandeur hear with a disdainful Smile,
The short and simple Annals of the Poor.
๘.
ตัวเอ๋ยตัวทะยาน
อย่าบันดาลดลใจให้ใฝ่ฝัน
ดูถูกกิจชาวนาสารพัน
และความครอบครองกันอันชื่นบาน
เขาเป็นสุขเรียบเรียบเงียบสงัด
มีปวัตติ์เป็นไปไม่วิตถาร
ขออย่าได้เย้ยเยาะพูดเราะราน
ดูหมิ่นการเป็นอยู่เพื่อนตู เอย.
9
The boast of Heraldry, the Pomp of Pow'r,
And all that Beauty, all that Wealth e'er gave,
Awaits alike th'inevitable hour.
The Paths of glory lead but to the Grave.
๙.
สกุลเอ๋ยสกุลสูง
ชักจูงจิตฟูชูศักดิ์ศรี
อำนาจนำความสง่าอ่าอินทรีย์
ความงามนำให้มีไมตรีกัน
ความร่ำรวยอวยสุขให้ทุกอย่าง
เหล่านี้ต่างรอตายทำลายขันธ์
วิถีแห่งเกียรติยศทั้งหมดนั้น
แต่ล้วนผันมาประจบหลุมศพ เอย.
10
Nor you, ye Proud, impute to these the Fault,
If Mem'ry o'er their Tomb no Trophies raise,
Where thro' the long-drawn aisle and fretted Vault
The pealing Anthem swells the Note of Praise.
๑๐.
ตัวเอ๋ยตัวหยิ่ง
เจ้าอย่าชิงติซากว่ายากไร้
เห็นจมดินน่าสลดระทดใจ
ที่ระลึกสิ่งไรก็ไม่มี
ไม่เหมือนอย่างบางศพญาติตบแต่ง
เครื่องแสดงเกียรติยศเลิศประเสริฐศรี
สร้างสานการบุญหนุนพลี
เป็นอนุสาวรีย์สง่า เอย.

ชีวิตล้วนเป็นอนิจจังทั้งสิ้น
เปลี่ยนแนวจากการฟังเพลงมาเป็นการอ่านบทกลอนไพเราะกันบ้างครับ
ที่จะแนะนำคือ กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า ซึ่งในสมัยมัธยมผมได้เคยศึกษาบางส่วนมาครับ
สมัยนั้นหลักสูตรจะคัดบางส่วน(มีทั้งสิ้น 33 บทครับ)มาให้นักเรียนได้อ่านและวิจารณ์
กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า
ผู้แต่ง: พระยาอุปกิตศิลปสาร (แปลจาก An Elegy Written in a Country Churchyard ของ Thomas Gray)
อำมาตย์เอก พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) เกิดวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2422 ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 เป็นนักเขียน ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาไทย ท่านใช้นามปากกาหลาย นาม ที่รู้จักกันแพร่หลาย คือ "อ.น.ก.", "อุนิกา", "อนึก คำชูชีพ"
เป็นผู้ริเริ่มคำทักทายคำว่า "สวัสดี" และยังเป็นผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษาทางการแพทย์หรือที่เรียกว่าอาจารย์ใหญ่ เป็นท่านแรกของประเทศไทย โดยกล่าวว่า "ฉันเป็นครู ตายแล้วขอเป็นครูต่อไป"
โทมัส เกรย์ (Thomas Gray) กวีชาวอังกฤษ เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1716 ในครอบครัวชนชั้นกลาง เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่เคมบริดจ์ บทกวีที่มีชื่อเสียงที่มากสุดของเกรย์ คือ “An Elegy Written in a Country Churchyard” (ปี ค.ศ. 1751)
เกรย์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ในความเป็นกวีเอก ของตน ความคิดเห็นของเขาต่อความเศร้าสะเทือนใจในวิถีชีวิตและวิธีการประพันธ์มี ความสมบูรณ์แบบเป็นที่สุดสำหรับความเป็นจริงของมนุษย์
เกรย์ปฏิเสธไม่รับรางวัลกวียอดเยี่ยมในปี ค.ศ. 1757 เขาเสียชีวิตในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1771
1
The Curfeu tolls the Knell of parting Day,
The lowing Herd winds slowly o'er the Lea,
The Plow-man homeward plods his weary Way,
And leaves the World to Darkness and to me.
๑.
วังเอ๋ยวังเวง
หง่างเหง่ง! ย่ำค่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล
ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ
ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล
และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียว เอย.
2
Now fades the glimmering Landscape on the Sight,
and all the Air a solemn Stillness holds,
Save where the Beetle wheels his droning Flight,
and drowsy Tinklings lull the distant Folds;
๒.
ยามเอ๋ยยามนี้
ปถพีมืดมัวทั่วสถาน
อากาศเย็นเยือกหนาวคราววิกาล
สงัดปานป่าใหญ่ไร้สำเนียง
มีก็แต่เสียงจังหรีดกระกรีดกริ่ง!
เรไรหริ่ง! ร้องขรมระงมเสียง
คอกควายวัวรัวเกราะเปาะแปะ ! เพียง
รู้ว่าเสียงเกราะแว่วแผ่วแผ่ว เอย.
3
Save that from yonder ivy-mantled Tow'r
The moping Owl does to the Moon complain
Of such as, wand'ring near her secret Bow'r,
Molest her ancient solitary Reign.
๓.
นกเอ๋ยนกแสก
จับจ้องร้องแจ๊กเพียงแถกขวัญ
อยู่บนยอดหอระฆังบังแสงจันทร์
มีเถาวัลย์รุงรังถึงหลังคา
เหมือนมันฟ้องดวงจันทร์ให้ผันดู
คนมาสู่ซ่องพักมันรักษา
ถือเป็นที่รโหฐานนมนานมา
ให้เสื่อมผาสุกสันต์ของมัน เอย.
4
Beneath those rugged Elms, that Yew-Tree's Shade,
Where heaves the Turf in many a mold'ring Heap,
Each in his narrow Cell for ever laid,
the rude Forefathers of the Hamlet sleep.
๔.
ต้นเอ๋ยต้นไทร
สูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้า
และต้นโพธิ์พุ่มแจ้แผ่ฉายา
มีเนินหญ้าใต้ต้นเกลื่อนกล่นไป
ล้วนร่างคนในเขตประเทศนี้
ดุษณีนอนราย ณ ภายใต้
แห่งหลุมลึกลานสลดระทดใจ
เรายิ่งใกล้หลุมนั้นทุกวัน เอย.
5
The breezy Call of incense-breathing Morn,
the Swallow twitt'ring from the Straw-built Shed,
The Cock's shrill Clarion, or the echoing Horn,
No more shall rouse them from their lowly Bed.
๕.
หมดเอ๋ยหมดห่วง
หมดดวงวิญญาณลาญสลาย
ถึงลมเช้าชวยชื่นรื่นสบาย
เตือนนกแอ่นลมผายแผดสำเนียง
อยู่ตามโรงมุงฟางข้างข้างนั้น
ทั้งไก่ขันแข่งดุเหว่าระเร้าเสียง
โอ้เหมือนปลุกร่างกายนอนรายเรียง
พ้นสำเนียงที่จะปลุกให้ลุก เอย.
6
For them no more the blazing Hearth shall burn,
Or busy Housewife ply her Evening Care'
No Children run to lisp their Sire's Return,
Or climb his Knees the envied Kiss to share
๖.
ทอดเอ๋ยทอดทิ้ง
ยามหนาวผิงไฟล้อมอยู่พร้อมหน้า
ทิ้งเพื่อนยากแม่เหย้าหาข้าวปลา
ทุกเวลาเช้าเย็นเป็นนิรันดร์
ทิ้งทั้งหนูน้อยน้อยร่อยร่อยรับ
เห็นพ่อกลับปลื้มเปรมเกษมสันต์
เข้ากอดคอฉอเลาะเสนาะกรรณ
สารพันทอดทิ้งทุกสิ่ง เอย.
7
Oft did the Harvest to their sickle yield,
Their Furrow oft the stubborn Glebe has broke;
How jocund did they drive their Team afield!
How bow'd the Woods beneath their sturdy Stroke!
๗.
กองเอ๋ยกองข้าว
กองสูงราวโรงนายิ่งน่าใคร่
เกิดเพราะการเก็บเกี่ยวด้วยเคียวใคร
ใครเล่าไถคราดพื้นฟื้นแผ่นดิน
เช้าก็ขับโคกระบือถือคันไถ
สำราญใจตามเขตประเทศถิ่น
ยึดหางยามยักไปตามใจจินต์
หางยามผินตามใจเพราะใคร เอย.
8
Let not Ambition mock their useful Toil,
Their homely Joys, and Destiny obscure;
Nor Grandeur hear with a disdainful Smile,
The short and simple Annals of the Poor.
๘.
ตัวเอ๋ยตัวทะยาน
อย่าบันดาลดลใจให้ใฝ่ฝัน
ดูถูกกิจชาวนาสารพัน
และความครอบครองกันอันชื่นบาน
เขาเป็นสุขเรียบเรียบเงียบสงัด
มีปวัตติ์เป็นไปไม่วิตถาร
ขออย่าได้เย้ยเยาะพูดเราะราน
ดูหมิ่นการเป็นอยู่เพื่อนตู เอย.
9
The boast of Heraldry, the Pomp of Pow'r,
And all that Beauty, all that Wealth e'er gave,
Awaits alike th'inevitable hour.
The Paths of glory lead but to the Grave.
๙.
สกุลเอ๋ยสกุลสูง
ชักจูงจิตฟูชูศักดิ์ศรี
อำนาจนำความสง่าอ่าอินทรีย์
ความงามนำให้มีไมตรีกัน
ความร่ำรวยอวยสุขให้ทุกอย่าง
เหล่านี้ต่างรอตายทำลายขันธ์
วิถีแห่งเกียรติยศทั้งหมดนั้น
แต่ล้วนผันมาประจบหลุมศพ เอย.
10
Nor you, ye Proud, impute to these the Fault,
If Mem'ry o'er their Tomb no Trophies raise,
Where thro' the long-drawn aisle and fretted Vault
The pealing Anthem swells the Note of Praise.
๑๐.
ตัวเอ๋ยตัวหยิ่ง
เจ้าอย่าชิงติซากว่ายากไร้
เห็นจมดินน่าสลดระทดใจ
ที่ระลึกสิ่งไรก็ไม่มี
ไม่เหมือนอย่างบางศพญาติตบแต่ง
เครื่องแสดงเกียรติยศเลิศประเสริฐศรี
สร้างสานการบุญหนุนพลี
เป็นอนุสาวรีย์สง่า เอย.