นิยายรักอิงประวัติศาสตร์ รอยระมิงค์ ตอนที่ 4

กระทู้สนทนา
4

พระเจ้ากาลิวะผู้ครองนครรัตนติงสาอภินวบุรีเชียงใหม่นั่งเป็นประมุขภายในหอคำหลวงพร้อมด้วย เจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ์ เจ้าบุรีรัตน์ และเจ้าราชบุตร รวมถึงเหล่าเสนามาตย์ที่มาประชุมหารืองานบ้านงานเมืองคับคั่ง

“หลังจากขับไล่พวกม่านออกจากเชียงแสนได้ เฮาจึงหันว่าเป็นโอกาสดีที่จักไปเจรจาปราศรัยกับเชียงตุงหื้ออพยพย้ายครัวมาอยู่ที่นคร
เชียงใหม่ พวกเจ้าหันควรว่าจะไดพ่อง”

“เฮาหันพ้องกับเจ้าหลวง เชียงตุงเป็นเมืองปี้เมืองน้องมาตั้งแต่สมัยพญามังราย ถึงเวลาแล้วที่ควรปิ๊กมาเช่นดังเดิม” เจ้าอุปราชธรรมลังกาน้อง
ชายคนรองผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการศึกสงครามแสดงความเห็น

“ถ้าเช่นนั้น ท้าวแก่นคำจงแต่งรี้พลสามร้อยคนขึ้นไปเจรจาปราศรัยเกลี้ยกล่อมหื้อเจ้าหอคำเชียงตุงหื้อมาสวามิภักดิ์ และนำเหล่าเสนามาตย์มา
รับราชการที่พระนครนี้เถิด จงแสดงหื้อหันถึงความจริงใจ๋ของนครเชียงใหม่ จงจำไว้การไปในครั้งนี้ต้องหื้อเกรียติเจ้าหอคำเชียงตุงเพราะถือเป็น
เชื้อสายพ่อขุนมังรายเช่นเดียวกัน อย่าหื้อเขากิ๊ดว่ามาเป็นเชลยศึกโดยเด็ดขาด”

“เจ้าหลวง เฮาจักรีบทำการและกลับมาก่อนฤดูทำนาหื้อจงได้” ท้าวแก่นคำรับบัญชาทันที

“ว่าด้วยฤดูทำนาใกล้จักมาถึง เรื่องส่วยหางข้าวนี้ก็สำคัญ อย่าเก็บหื้อเกินสมควร ชาวนาจักเดือดร้อนได้ อนึ่ง เจ้าขุนมูลนายทั้งหลาย
เป็ขุนนางกินบ้านกินเมือง บ่ควรเบียดเบียนข้ายามทำไร่ ไพร่ยามทำนา จงปล่อยให้ไปทำนาเสียเถิด คำสอนของพ่อขุนมังรายกล่าวว่า ชีวิตไพร่
มีค่ายิ่งนัก อย่าไปเบียดเบียนให้ทุกข์ยาก ไพร่ทั้งหลายที่เข้ามาเป็นข้าสีมานครนี้ จงดูแลพวกเขาหื้อเหมือนลูก หื้อเขาอยู่เย็นเป็นสุข บ่ทุกข์บ่
ร้อน” เจ้าหลวงผู้ตั่งมั่นด้วยอปริหานิยธรรมทั้งเจ็ดประการกล่าวด้วยท่าทีเกรงขาม

พระเจ้ากาวิละถือเป็นวีรบุรุษสำคัญที่มีส่วนช่วยในการปลดแอกล้านนาจากพม่าโดยได้รับความช่วยเหลือจากสยามมาตั้งแต่ครั้นกรุงธนบุรี เจ้า
หลวงผู้นี้ใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตในการขับเคี่ยวสงครามขยายอาณาเขตและปกครองบริหารประเทศโดยหวังจะให้ล้านนากลับมารุ่งเรืองเหมือน
ครั้งสมัยราชวงศ์มังรายให้จงได้


“ว่าแต่เจ้าหนานมหาวงศ์ งานที่เฮาหื้อไปดูแลเป็นจะไดพ่อง” พระเจ้ากาวิละหันไปถามโอรสที่นั่งอยู่ไม่ห่าง เจ้าหนานมหาวงศ์ผู้นี้เป็นโอรสองค์รองและถือว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีความกล้าหาญและมีฝีมือในการรบโดดเด่นเหนือกว่าชายในรุ่นเดียวกัน

“ชาวเชียงแสนที่ถูกเทครัวมายังเมืองเชียงใหม่ ที่บ้านฮ่อม บ้านเมืองสารท และบ้านเชียงแสน นั้นอยู่สุขสบายดี ด้วยเพราะอพยพมากันทั้งบ้าน
จึงบ่ได้พลัดพราก อีกทั้งไพร่ส่วนใหญ่มีฝีมือในเชิงช่าง น่าจักเป็นประโยชน์ได้ในภายภาคหน้า” เจ้าหนานมหาวงศ์ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้า
หลวงให้ปลอมตัวเป็นสามัญชนไปดูความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่ถูกเทครัวมาตอบไปตามความเป็นจริง ในสภาพชาวบ้านทำให้ชายหนุ่มได้
สัมผัสถึงชีวิตของชาวบ้านอย่างแท้จริงโชคดีที่ชาวเชียงแสนกับชาวเชียงใหม่นั้นก็เหมือนเชื้อสายเดียวกันมาแต่เดิมจึงไม่ได้ก่อให้เกิดความ
แตกต่างมากมาย

“ดีแล้ว หากมีขุนนางทำร้ายข่มเหงชาวบ้าน รีบมารายงานทันที ว่าแต่ชายชาวสยามผู้นั้นล่ะเป็นจะไดพ่อง”

ชายชาวสยามผู้ที่ถูกกล่าวถึงในหอคำหลวงนั้นนอนไม่ได้สติในเรือนรับรองของคุ้มเจ้าหนานมหาวงศ์มาเกือบสามวันสามคืนแล้ว หมอที่มาดู
อาการถึงกับแปลกใจที่ชายหนุ่มนั้นรอดมาได้จากการเสียเลือดมากขนาดนี้

อาจจะเป็นปาฏิหาริย์ หรือเป็นความบังเอิญ หรือจะเป็นสิ่งที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้วกันแน่

ร่างบนเตียงนอนนิ่งด้วยความเจ็บปวด ความเจ็บปวดมักจะเป็นแบบนี้เองหรือ ยาวนานเหมือนสายฝนที่ไม่มีทีท่าจะหยุดตก ไม่สิ้นสุดเหมือนริ้ว
คลื่นที่ซัดสู่หาด เลือนรางคล้ายเมฆายามเคลื่อนบังบุหลัน และอันธกาลยิ่งกว่าเงาของความมืด

ไม่ทันที่ความเจ็บปวดจะจางคลาย สติก็เข้ามาแทนที่ น่าแปลกที่ความเจ็บปวดที่สัมผัสได้ในครั้งนี้ถูกเจือด้วยกลิ่นมธุรสหอมอวลละเมียดฟุ้ง
เย็นเหมือนละอองน้ำชื่นใจ เมื่อลืมตาขึ้นเขาก็พบกับที่มาของกลิ่น

“ดอกปีบนี่เอง” เสือพูดเสียงแผ่วเมื่อเห็นดอกปีบสีขาวบริสุทธิ์วางซ้อนเป็นกองเรียงเหมือนปีกนกอยู่ข้างหมอน

“เจ้าอาจจะเรียกว่าดอกปีบแต่ข้าเรียกว่ากาสะลอง” หญิงงามก้าวออกมาจกเงามืด

“รินคำ นั่นเจ้าเองฤา” เสือหรี่ตามอง แสงจันทร์สลัวที่สาดส่องทำให้เสือเห็นเพียงด้านข้างของหญิงสาว แต่เพียงเสี้ยวเดียวของดวงหน้ารูปไข่นี้
ก็เพียงพอแล้วที่ระลึกถึงหญิงผู้นี้ได้

“เจ้าฟื้นก็ดีแล้ว พักผ่อนต่อไปเถิด” รินคำพูดเสร็จก็ตั้งท่าจะเดินจากไป

“เดี๋ยวก่อน รินคำ ตอนนี้ข้าอยู่ที่ใด”

“เรือนรับรองของเจ้าหนานมหาวงศ์ ข้าเป็นบ่าวในเรือนนี้ ข้าขอตัวก่อน”

“รินคำ อย่าเพิ่งไป ข้าอยากกลับบ้าน ช่วยพาข้าไปจากที่นี่เถิด” เสือพยุงร่างตนเองเตรียมจะลุกขึ้นแต่ก็ทรุดลงทันใดเพราะแขนทั้งสองข้างรับ
น้ำหนักตัวไม่ไหว

“เจ้าอย่าเพิ่งลุกสิ เจ้ายังไม่หายดี” รินคำปราดเข้ามาดูอาการ

“น่าแปลกที่ข้ายังไม่ตาย” เสือนึกขันกับโชคชะตาของเขาไม่ได้ เพียงจากบ้านมาครั้งแรกเขาได้เจอเรื่องเฉียดตายติดต่อกันถึงสองครั้งสอง
ครา จังหวะนี้เองที่เสือได้มองหญิงสาวอย่างเต็มตา รินคำในชุดผ้าแถบพาดด้วยผ้าคล้องคอสีขาว นุ่งซิ่น แม้การแต่งกายจะเหมือนบ่าวไพร่แต่
ก็มิอาจปิดบังความผุดผาดเกินหญิงทั่วไปได้

“ เจ้าจักไปที่ใดมิได้” รินคำพูดเสียงเฉียบ

“เจ้านี่ยังชอบออกคำสั่งแบบนี้เสมอฤา” เสืออดถามขึ้นไม่ได้

“เรื่องของข้า”

“แต่ข้าอยากจะกลับบ้าน” เสือยังยืนคำเดิมแม้กำลังกายจะอ่อนแรง

“ถ้ากลับตอนนี้ก็เหมือนไปตาย เจ้าอยากกลับก็เชิญ” รินคำพูดเหมือนไม่ใส่ใจ

เสือยังไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มกระเถิบตัวลุกขึ้นนั่งจนได้แต่ก็รู้สึกหน้ามืดจนซวนเซเล็กน้อย

“เห็นไหม เอาเป็นว่าข้าจักเขียนหนังสือไปให้พ่อแม่เจ้าที่กรุงเทพ ดีไหม”

“บ่าวเยี่ยงเจ้า เขียนหนังสือเป็นด้วยฤา” เสือหยั่งเชิงถาม

“นายข้าสอน ข้าเป็นบ่าวในเรือนเจ้ามิใช้บ่าวในเรือนขุนนางทั่วไป”

“ขอบใจนะแม่”

“เข้าใจแล้วจงนอนพักเสีย อีกเรื่องการที่ข้ามาหาเจ้าในคืนนี้ อย่าได้แพร่งพรายบอกใครเป็นอันเด็ดขาด หากใครรู้เข้า ข้าจักโดนโทษได้ ข้าขอ
ตัว”  รินคำเน้นเสียงก่อนจะสะบัดตัวเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ

“รินคำ อย่าเพิ่งไป”

แต่ไม่ทันเสียแล้ว รินคำหายไปราวกลับล่องหนได้ เสือถอนหายใจยาว เขาต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานเท่าใดกัน เสือหลับตาลงด้วยความอ่อนล้าเขา
สูดกลิ่นหอมอวลจากกลิ่นดอกปีบอีกครั้งก่อนจะเข้าสู่นิทรา

จากคืนเป็นวัน เสือมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนตะวันเกือบตกดิน เขาเห็นว่าบนพื้นนั้นมีถาดอาหารและจัดวางอยู่อย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มประคับ
ประคองตัวเองให้ขึ้นมานั่งได้อย่างยากลำยาก เขารู้สึกเสียวแวบบริเวณช่วงไหล่ขวาร้าวไปถึงหลัง เสือใช้มือซ้ายที่ยังพอมีแรงยกน้ำขึ้นดื่ม
อย่างกระหายก่อนจะลุกขึ้นสำรวจในห้องอย่างละเอียด

“นี่คือเรือนของเจ้าหนานมหาวงศ์ แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เสือครุ่นคิด แต่ไม่ทันจะได้เปิดประตูห้อง รินคำก็เป็นฝ่ายเข้ามาเสียเอง

“เจ้าจักไปที่ใด ที่นี่เป็นเวียงแก้ว เจ้าจักมาเดินสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ไม่ได้ ถ้าใครเห็นจักถูกลงโทษได้” รินคำพูดเสียงเข้ม เสือจ้องมองไปในตาสีนิล
คู่นั้นก็รู้ว่าเธอไม่ได้แค่พูดขู่

“รินคำ เจ้าเป็นใครกันแน่”

“ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้าเป็นบ่าวในเรือนนี้ เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าเลยขอให้เจ้าหนานมหาวงศ์พาหมอมารักษาเจ้า”

“ถ้าเช่นนั้นข้าจักไปขอบคุณเจ้าหนานมหาวงศ์”

“ไม่ได้ เจ้าต้องพักให้หายก่อน ข้าเอายามาให้เจ้าทำแผล หมอบอกว่าแขนขวาเจ้าอาจจะยังใช้งานไม่ได้ดี”

“แล้วเมื่อใดข้าจักหาย” เสือพูดอย่างสลดใจ หากมือข้างนี้ถือดาบไม่ได้เขาคงไม่สามารถกลับไปเป็นทหารได้ดังเดิม

“หมอบอกว่าถ้าเจ้ากินยาและพักผ่อนให้มาก อย่าฝืนใช้กำลัง อีกไม่กี่เดือนคงดีขึ้น” รินคำพูดแล้วเดินมานั่งพับเพียบลงกับพื้น

“แต่....”

“นั่งลงสิ ข้าจะทายาให้” รินคำกล่าวประโยคคำสั่งด้วยเสียงราบเรียบ

เสือลังเลแต่ก็ลงมานั่งขัดสมาธิข้างๆหญิงสาว รินคำถอดผ้าพันแผลและทายาใหม่ให้เขาอย่างชำนาญ

“เจ้ามือเบาๆหน่อยสิ” เสือถึงกับสะดุ้งเมื่อรินคำทายาลงบนแผล

“ถ้าข้ามือหนัก เจ้าก็ทำเองเสียสิ”

“เจ้านี่ใจดำเสียจริง” เสือพูดแหย่

“ใช่สิข้าทั้งมือหนักและใจดำ” หญิงสาวโต้ตอบอย่างไม่ลดละ เมื่อทายาเสร็จนางก็ยิ้มวตัวมาด้านหน้าเพื่อพันผ้าผันแผลใหม่ และเป็นจังหวะ
เดียวกับที่เสือหันหน้ามาพอดี ใบหน้าของรินคำอยู่ใกล้จมูกเขาไม่เกินคืบ ดวงตาสีอำพันเหมือนต้องมนต์ยามประสานดวงตาสีนิล

“ข้าขอโทษ” เสือเป็นฝ่ายได้สติก่อน ส่วนรินคำนั้นก้มหน้ากลบเกลื่อนอาการก่อนจะกลับมาพันแผลต่อจนเสร็จ

“เสร็จแล้วข้าขอตัวก่อน” แล้วนี่ข้าเอากระดาษกับพู่กันมาให้ท่านเขียนหนังสือถึงพ่อแม่

“ข้านึกว่าเจ้าจะช่วยเขียนให้ข้า”

“ก็เจ้าหายดีแล้วนี่”

“แต่แขนข้าไม่มีแรง เจ้าช่วยเขียนให้ข้าทีเถิดหนา” เสือวิงวอนสายตากรุ้มกริ่ม

“อย่ามาหาว่าข้าใจดำอีกแล้วกัน” รินคำตอบตกลงและจรดพู่กันลงบนกระดาษตามคำพูดของเสืออย่างรวดเร็ว เสือลอบมองดวงหน้างามตอน
ก้มหน้าด้วยความรู้สึกดีๆ ขนคิ้วเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ ปลายจมูกเชิดเล็กน้อยรับกับริมฝีปากอ่อนแดง ยิ่งพิศก็ยากจะละสายตา

“จ้องข้าอยู่ได้ ทำอย่างกับไม่เคยเห็นคน” รินคำเอ่ยปากขึ้นโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง

“ที่ข้ามองเจ้านั้นเพราะกลัวเจ้าจะเขียนหนังสือผิดต่างหาก” เสือรีบแก้ต่าง

รินคำไม่พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มมุมปาก เมื่อหญิงสาวเขียนเสร็จก็ให้เสือตรวจดูอีกรอบ เสือแปลกใจทีเดียวเมื่อได้เห็นลายมือภาษาไทยที่เขียน
อย่างเป็นระเบียบงดงาม

“เจ้าไปเรียนเขียนแบบนี้มาจากที่ใด”

“อย่าถามมาก เอาเป็นว่าข้าจะฝากหนังสือนี่ไปให้พ่อแม่ท่าน พ่อท่านคือพระรามเดชะทหารวังหน้าแห่งสยามใช่ฤาไม่”

เสือพยักหน้าแต่ยังไม่คลายความสงสัย

“อีกไม่เกินสามเดือนคนในบ้านเจ้าคงทราบข่าวของเจ้า ถ้าสบายใจแล้วก็พักผ่อนต่อไปเถิด”

“ขอบใจมากนะ รินคำ” เสือพูดอย่างซึ้งใจ

รินคำยิ้มบางเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไรก่อนจะลุกลี้ลุกลนรีบเดินออกไปเหมือนกำลังหลบใครบางคน ยิ่งเห็นกิริยาเช่นนั้นก็ทำให้เสือยิ่งสงสัย
มากขึ้น

“เจ้าเป็นใครกันแน่นะ”

เสือชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ก็ตัดสินใจเดินตามรินคำออกไปห่างๆ แม้จะรู้ว่าผิดคำที่ให้ไว้กับรินคำแต่เขาก็พ่ายแพ้กับความสงสัยที่มีมากขึ้นเรื่อยๆเสีย
แล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่