ไม่ทราบมีคนโพสหรือยัง ขออนุญาตคุณบรรยงไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ที่มา
https://www.facebook.com/banyong.pongpanich/posts/133690040167637
หุ้นตกหนัก มีคนบ่นว่าไอ้ฝรั่งมันขายตั้ง 33,000ล้านบาทตั้งแต่ต้นปีผมบอกว่าเค้าซื้อตั้ง1,200,000ล้านแน่ะ (แต่ขาย 1,530,000ล้าน)
คนชอบคิดว่าฝรั่งเป็นคนเดียวกัน ทำอะไรเหมือนๆกัน พร้อมๆกันเล่นเป็นรอบๆเหมือนคนไทย เลยจะขอเล่าถึงโครงสร้างตลาดหุ้นไทย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่รักจะเป็นนักเสี่ยงโชคบ้าง
ตลาดไทยมีขนาดรวม13ล้านล้านบาท (ที่ระดับราคาปัจจุบัน). เป็นส่วนFreeFloat ประมาณ6ล้านล้าน ซึ่งจะอยู่ในมือของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ(ที่เราเรียกรวมว่าฝรั่ง) 60% (ประมาณ3.6ล้านล้านหรือ$120billion) โดยจะมีลักษณะและพฤติกรรมดังนี้
-ส่วนใหญ่เป็นlong term invester. มีHedgefundน้อยในตลาดไทย
-มีรวมประมาณ120ผู้จัดการกองทุน
-บลจ.ใหญ่ๆ เช่น Genesis , Templeton, Capital, Fidelity, Aberdeen แต่ละบริษัทมีหุ้นไทยอยู่มากกว่า 5$billion (150,000ล้านบาท)
-ลงทุนโดยใช้fundamentalเป็นหลัก
->95%ของเงินลงทุนอยู่ในSET100(แต่ไม่ใช่ทุกตัวนะ)
-turnoverประมาณ 1.5ปีต่อรอบ(เช่น ถ้าport 100,000ล้าน ก็จะซื้อขายแค่70,000ล้านในหนึ่งปี
-พิจารณาการลงทุนโดยเทียบกับตลาดและบริษัททั่วโลก
กลุ่มที่2 เป็นนักลงทุนสถาบันไทย ซึ่งถือครองอยู่ประมาณ18% (1.1ล้านๆ) อันได้แก่กองทุนรวม กบข. ประกันสังคม สำรองเลี้ยงชีพ ประกันชีวิต ฯลฯ (ไม่นับรวมวายุภักษ์เพราะผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร สงสัยเป็นนกมั๊ง). พวกนี้จะมีพฤติกรรมเหมือนกับพวกฝรั่งเกือบทุกอย่างยกเว้นข้อสุดท้ายแม้คุณภาพจะด้อยกว่าบ้าง(นอกจากบลจ. เล็กๆหวือหวาไม่กี่แห่ง)
กลุ่มที่3คือนักลงทุนบุคคลไทยซึ่งถือหุ้นอยู่ประมาณ 20% (1.2ล้านๆ) ซึ่งแบ่งได้เป็นสองพวกคือพวกที่ไม่ได้ซื้อขายมากกับนักเล่นหุ้นที่ซื้อขายบ่อยทุกสัปดาห์และส่วนใหญ่มีleverage สูงซึ่งผมประมาณว่ามีสัดส่วนถือครอง60:40(ตรงนี้เป็นguesstimate ไม่เหมือนตัวเลขอื่นที่เป็นfact). พวกหลังส่วนใหญ่ซื้อขายมากกว่าปีละ10รอบ และมักไม่มีศักยภาพพอที่จะลงทุนแบบfundamentalจริงจังได้แต่"ตามๆเขาไป" มีบัญชีอยู่กว่า500,000บัญชี กลุ่มนี้ทำวอลุ่มซื้อขาย60%. ทั้งๆที่ถือครองแค่ไม่ถึง10%
กลุ่มสุดท้ายคือport ของบล. ซึ่งถืออยู่2-3% มีหลายประเภทแต่ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เหมือนHedgeFund
หันมาทางด้านSupplyบ้าง เรามีบ.จดทะเบียนกว่า600บริษัท แต่SET100 มีขนาดรวมกัน 87%. ในอดีต5-6ปีที่แล้ว หุ้นSET100 ซื้อขายกันแค่65% ของวอลุ่มทั้งหมด แล้วก็ปรับปรุงขึ้นจนเป็น 75%ในปี 2011 อย่างที่บอกแล้วว่านักลงทุนสถาบันเขาไม่ลงทุนนอกSET100. ดังนั้นมีแต่รายย่อยลงทุนซึ่งสักพักเขาก็เริ่มเรียนรู้ว่าการ"ตามเสี่ย ตามเจ๊" มักจะหมดตัวเลยหันไปตามฝรั่ง แต่ในสองไตรมาศหลังวอลุ่มหุ้นนอกSET100เพิ่มเป็นเกือบ40% อีกแล้ว แปลว่าเริ่มกลับไป"ตามเสี่ย ตามเจ๊" ซึ่งไปเปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น"วี ไอ". ตลท. ภูมิใจว่าตลาดไทยมีสภาพคล่องเพราะนักลงทุนบุคคลซื้อขาย2/3 แถมหุ้นเล็กมีสภาพคล่อง แต่ผมว่าน่าเป็นห่วงเพราะมีแค่ 2 ตลาดในโลกเองที่บุคคลซื้อขาย>สถาบัน แถมที่ว่ามีสภาพคล่องก็ทีละไม่เกิน20หุ้นจากหุ้นเล็กกว่า500 (เฉพาะที่เขากำลัง"ทำ")
เล่ามายืดยาวขอสรุปเลยดีกว่า
1) ตลาดไทยมี2ตลาด. คือหุ้นใหญ่ที่leadโดยนักลงทุนสถาบันคุณภาพ เป็นfundamental led กับglobalize. กับหุ้นเล็กที่leadโดย"นักทำ"เป็น?
2)ภาวะตลาดไทยผูกติดกับภาวะตลาดโลกอย่างๆไม่มีทางจะแยกได้แล้ว แต่ไม่ต้องกลัวเพราะว่าถ้าฝรั่งขายเกิน10% (360,000ล้าน). เราก็จะเห็นIndex 600 แล้วมันก็จะหยุดขายไปเอง
3)ในภาวะที่ตลาดขึ้นต่อเนื่องอย่าง2ปีที่ผ่านมา ทุกคนจะรู้สึกว่าตัวเอง"โคตรเก่ง" ลงอะไรก็รวย(เขาเรียกว่ายุค"ปาลูกดอก")และนักทำทั้งหลายก็จะออกอาละวาด
4)ในชีวิต36ปีในตลากหุ้นของผม. ไม่เคยเห็น"การปั่นหุ้นการกุศล". มีแต่ปั่นไปเพื่อเชือดเท่านั้นถ้าอยากเล่นหุ้นปั่นต้องถือคติ"เกาะถูก โดดทัน" กับสวดมนต์ลูกเดียว
5)ตั้งแต่ผมหมดตัวเมื่อยุค"ราชาเงินทุน" 34 ปีที่แล้วก็ไม่เคยเล่นหุ้นอีกเลย แต่เอาเงินไปให้ Asset Management จัดการแล้วก็รวยดีมาจนทุกวันนี้
ขอให้ทุกท่านโชคดี รำ่รวยกันทั่วหน้า แต่ถ้าอยากชัวร์ก็รีบมาเปิดบัญชีกับ บล.ภัทตะครุบ
ว่าด้วยเรื่อง การขายของฝรั่ง หรือสถาบันต่างชาติ โดย Banyong Pongpanich
ที่มา https://www.facebook.com/banyong.pongpanich/posts/133690040167637
หุ้นตกหนัก มีคนบ่นว่าไอ้ฝรั่งมันขายตั้ง 33,000ล้านบาทตั้งแต่ต้นปีผมบอกว่าเค้าซื้อตั้ง1,200,000ล้านแน่ะ (แต่ขาย 1,530,000ล้าน)
คนชอบคิดว่าฝรั่งเป็นคนเดียวกัน ทำอะไรเหมือนๆกัน พร้อมๆกันเล่นเป็นรอบๆเหมือนคนไทย เลยจะขอเล่าถึงโครงสร้างตลาดหุ้นไทย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่รักจะเป็นนักเสี่ยงโชคบ้าง
ตลาดไทยมีขนาดรวม13ล้านล้านบาท (ที่ระดับราคาปัจจุบัน). เป็นส่วนFreeFloat ประมาณ6ล้านล้าน ซึ่งจะอยู่ในมือของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ(ที่เราเรียกรวมว่าฝรั่ง) 60% (ประมาณ3.6ล้านล้านหรือ$120billion) โดยจะมีลักษณะและพฤติกรรมดังนี้
-ส่วนใหญ่เป็นlong term invester. มีHedgefundน้อยในตลาดไทย
-มีรวมประมาณ120ผู้จัดการกองทุน
-บลจ.ใหญ่ๆ เช่น Genesis , Templeton, Capital, Fidelity, Aberdeen แต่ละบริษัทมีหุ้นไทยอยู่มากกว่า 5$billion (150,000ล้านบาท)
-ลงทุนโดยใช้fundamentalเป็นหลัก
->95%ของเงินลงทุนอยู่ในSET100(แต่ไม่ใช่ทุกตัวนะ)
-turnoverประมาณ 1.5ปีต่อรอบ(เช่น ถ้าport 100,000ล้าน ก็จะซื้อขายแค่70,000ล้านในหนึ่งปี
-พิจารณาการลงทุนโดยเทียบกับตลาดและบริษัททั่วโลก
กลุ่มที่2 เป็นนักลงทุนสถาบันไทย ซึ่งถือครองอยู่ประมาณ18% (1.1ล้านๆ) อันได้แก่กองทุนรวม กบข. ประกันสังคม สำรองเลี้ยงชีพ ประกันชีวิต ฯลฯ (ไม่นับรวมวายุภักษ์เพราะผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร สงสัยเป็นนกมั๊ง). พวกนี้จะมีพฤติกรรมเหมือนกับพวกฝรั่งเกือบทุกอย่างยกเว้นข้อสุดท้ายแม้คุณภาพจะด้อยกว่าบ้าง(นอกจากบลจ. เล็กๆหวือหวาไม่กี่แห่ง)
กลุ่มที่3คือนักลงทุนบุคคลไทยซึ่งถือหุ้นอยู่ประมาณ 20% (1.2ล้านๆ) ซึ่งแบ่งได้เป็นสองพวกคือพวกที่ไม่ได้ซื้อขายมากกับนักเล่นหุ้นที่ซื้อขายบ่อยทุกสัปดาห์และส่วนใหญ่มีleverage สูงซึ่งผมประมาณว่ามีสัดส่วนถือครอง60:40(ตรงนี้เป็นguesstimate ไม่เหมือนตัวเลขอื่นที่เป็นfact). พวกหลังส่วนใหญ่ซื้อขายมากกว่าปีละ10รอบ และมักไม่มีศักยภาพพอที่จะลงทุนแบบfundamentalจริงจังได้แต่"ตามๆเขาไป" มีบัญชีอยู่กว่า500,000บัญชี กลุ่มนี้ทำวอลุ่มซื้อขาย60%. ทั้งๆที่ถือครองแค่ไม่ถึง10%
กลุ่มสุดท้ายคือport ของบล. ซึ่งถืออยู่2-3% มีหลายประเภทแต่ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เหมือนHedgeFund
หันมาทางด้านSupplyบ้าง เรามีบ.จดทะเบียนกว่า600บริษัท แต่SET100 มีขนาดรวมกัน 87%. ในอดีต5-6ปีที่แล้ว หุ้นSET100 ซื้อขายกันแค่65% ของวอลุ่มทั้งหมด แล้วก็ปรับปรุงขึ้นจนเป็น 75%ในปี 2011 อย่างที่บอกแล้วว่านักลงทุนสถาบันเขาไม่ลงทุนนอกSET100. ดังนั้นมีแต่รายย่อยลงทุนซึ่งสักพักเขาก็เริ่มเรียนรู้ว่าการ"ตามเสี่ย ตามเจ๊" มักจะหมดตัวเลยหันไปตามฝรั่ง แต่ในสองไตรมาศหลังวอลุ่มหุ้นนอกSET100เพิ่มเป็นเกือบ40% อีกแล้ว แปลว่าเริ่มกลับไป"ตามเสี่ย ตามเจ๊" ซึ่งไปเปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น"วี ไอ". ตลท. ภูมิใจว่าตลาดไทยมีสภาพคล่องเพราะนักลงทุนบุคคลซื้อขาย2/3 แถมหุ้นเล็กมีสภาพคล่อง แต่ผมว่าน่าเป็นห่วงเพราะมีแค่ 2 ตลาดในโลกเองที่บุคคลซื้อขาย>สถาบัน แถมที่ว่ามีสภาพคล่องก็ทีละไม่เกิน20หุ้นจากหุ้นเล็กกว่า500 (เฉพาะที่เขากำลัง"ทำ")
เล่ามายืดยาวขอสรุปเลยดีกว่า
1) ตลาดไทยมี2ตลาด. คือหุ้นใหญ่ที่leadโดยนักลงทุนสถาบันคุณภาพ เป็นfundamental led กับglobalize. กับหุ้นเล็กที่leadโดย"นักทำ"เป็น?
2)ภาวะตลาดไทยผูกติดกับภาวะตลาดโลกอย่างๆไม่มีทางจะแยกได้แล้ว แต่ไม่ต้องกลัวเพราะว่าถ้าฝรั่งขายเกิน10% (360,000ล้าน). เราก็จะเห็นIndex 600 แล้วมันก็จะหยุดขายไปเอง
3)ในภาวะที่ตลาดขึ้นต่อเนื่องอย่าง2ปีที่ผ่านมา ทุกคนจะรู้สึกว่าตัวเอง"โคตรเก่ง" ลงอะไรก็รวย(เขาเรียกว่ายุค"ปาลูกดอก")และนักทำทั้งหลายก็จะออกอาละวาด
4)ในชีวิต36ปีในตลากหุ้นของผม. ไม่เคยเห็น"การปั่นหุ้นการกุศล". มีแต่ปั่นไปเพื่อเชือดเท่านั้นถ้าอยากเล่นหุ้นปั่นต้องถือคติ"เกาะถูก โดดทัน" กับสวดมนต์ลูกเดียว
5)ตั้งแต่ผมหมดตัวเมื่อยุค"ราชาเงินทุน" 34 ปีที่แล้วก็ไม่เคยเล่นหุ้นอีกเลย แต่เอาเงินไปให้ Asset Management จัดการแล้วก็รวยดีมาจนทุกวันนี้
ขอให้ทุกท่านโชคดี รำ่รวยกันทั่วหน้า แต่ถ้าอยากชัวร์ก็รีบมาเปิดบัญชีกับ บล.ภัทตะครุบ