“สวัสดีครับท่านผู้โดยสาร ผมกัปตัน...” เสียงของกัปตันประกาศก้องเพื่อต้อนรับผู้โดยสารบนเจ้านกยักษ์ลำนี้ และไม่นานเสียงกัปตันก็จบลง พร้อมกับจังหวะการเต้นหัวใจของผมที่เบาลงจนเกือบเป็นปกติ และเหมือนเสียงนั้นตอกย้ำว่า...ผมมาทันเวลานะเว้ยเฮ้ย หยดน้ำบนใบหน้าที่ผุดพรายขึ้นมาตามจังหวะการวิ่งร้อยเมตรเมื่อสิบนาทีก่อนได้แห้งหายไปบ้าง เหลือเพียงความชื้นเล็กน้อยที่แผ่ความเย็นไปทั่วใบหน้า ผมเก็บเอกสารที่อยู่ในมือ ก่อนรับผ้าร้อนจากนางฟ้าคนสวยมาเช็ดแขนและต้นคอ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง จนแน่ใจว่าร่างกายทุกส่วนกลับคืนสู่สภาวะเดิมเป็นที่เรียบร้อย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเดินทางไปต่างประเทศ แต่ครั้งนี้เป็นการเดินทางที่มาพร้อมกับภาระอันยิ่งใหญ่ที่รออยู่เบื้องหน้า การเดินทางครั้งนี้...ไม่ใช่การท่องเที่ยว ไม่ใช่ไปเรียนต่อ แต่เป็นการทำงานที่มีมูลค่านับพันล้านบาท ไม่แปลกนักที่ผมจะรู้สึกตื่นเต้นมากไปกว่าทุกครั้ง
แต่...เฮ้อ...ยังไม่ทันได้เริ่มต้น ผมก็เกือบทำพังไปเสียแล้ว
ท้องฟ้าในยามเที่ยงคืนเศษย่อมมืดมิดเป็นธรรมดา...ผมคิดเช่นนั้น สายตายังไม่อาจละไปจากความมืดภายนอก ผมชอบเวลายามค่ำคืน ผมชอบความมืด ไม่รู้สิ...ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ว่าความมืดที่อยู่รอบตัว ทำให้เรามองเห็นตัวเองได้ดีขึ้น เมื่อความมืดย่างกรายโอบล้อมรอบตัวเรา ทำให้ผมรู้ว่าต้องเข้มแข็งและใช้ความอดทนแค่ไหนในการผ่านช่วงเวลาเหล่านั้น วัฏจักรชีวิตของมนุษย์ก็มีอยู่แค่นี้ วันนี้มืด พรุ่งนี้เช้าสว่าง...
แต่ไม่ใช่เพียงท้องฟ้าด้านนอกเท่านั้นหรอกนะที่มืดมิด เพราะหลังจากการรับประทานอาหารเสร็จสิ้นลง ไฟทุกดวงในห้องผู้โดยสารก็ดับลงเช่นกัน ผมหยิบรีโมตข้างตัวขึ้นมาเปิดไฟ พร้อมกับหยิบแฟ้มตารางงานทั้งหมดที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้มาทบทวนอีกครั้งเพื่อป้องกันความผิดพลาด
อดคิดไปไม่ได้ว่า ถ้าก่อนหน้านี้ผมตกเครื่อง...จะทำให้งานนี้เสียหายมากแค่ไหนกัน
‘เวรแล้วไหมล่ะ!’ ผมระบายความหงุดหงิดไปตามเสียงบ่นของตัวเองเบาๆ หลังจากรับรู้ว่า เวลาอันมีค่าหมดไปเกือบ 20 นาทีกับเรื่องที่เรียกได้ว่า ‘โคตรจะไร้สาระ’ ผมตะโกนดังกว่าเสียงกระซิบไม่ได้ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของผมเองทั้งนั้น
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ผมยืนบ่นตาแก่ชาวเอเชียไร้เหตุผลคนหนึ่ง ซึ่งกำลังส่งเสียงโวยวายใส่พนักงานสนามบินตรงจุดตรวจสัมภาระผู้โดยสาร โวยวายดังลั่นชนิดที่เรียกได้ว่า อยากให้เสียงนั้นดังไปถึงรัฐบาลไทยเลยทีเดียว ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากถอดรองเท้า ใช่แล้วล่ะ...เรื่องที่ทำให้ผมอับอายจนอยากเขกกะโหลกตัวเองสักสิบตลบนั้นก็คือ การเข้าแถวตรวจสัมภาระผิด
หลังจากเช็คอินเรียบร้อย ผมเหลือเวลาเพียงแค่ 35 นาทีเท่านั้น ในการตรวจสัมภาระ ตรวจพาสปอร์ต และเส้นทางไปขึ้นเครื่องอีกยาวไกล ไม่แปลกนักที่ผมแทบไม่ดูป้ายอะไรเลย จนต้องเสียเวลาอีก 20 นาทีในการเข้าแถวตรวจสัมภาระ...สำหรับชาวต่างชาติ นี่แหละหนาที่เขาว่ากันว่า ‘สติไม่มา ปัญญาก็ไม่เกิด’
ผมเก็บรองเท้าที่ถอดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ เดินหิ้วออกไปเข้าแถวด้านขวาอีกแถวหนึ่งพร้อมกับเสียงบ่นของตัวเองเบาๆ ตลอดทาง...ไอ้เซ่อเอ๊ย เมื่อผ่านตรงจุดตรวจสัมภาระผู้โดยสารมาได้ ผมจึงเหลือบไปมองแถวตรงกลางนั้นอีกรอบอย่างหมายมาดว่า อย่าได้หวังว่าคนอย่างไอ้ปอจะพลาดเป็นครั้งที่สอง
หลังจากตรวจสัมภาระและพาสปอร์ตเสร็จแล้ว เหลือเวลาไม่ถึง 10 นาทีกับอีกระยะทางประมาณ 300 เมตรจนถึงเกท นาทีนั้น ผมไม่สนใจอะไรแล้ว กระชับกระเป๋าเป้แน่นขึ้น เหวี่ยงเสื้อโค้ททับไปอีกชั้น ที่เหลือก็เป็นเรื่องของความเร็ว และใจของกัปตันแล้วล่ะ ว่าจะรอผู้โดยสารคนสำคัญคนนี้ได้หรือไม่
และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องนั่งหายใจกระหืดกระหอบอยู่บนเครื่องเป็นเวลาเกือบสิบนาที แต่ตอนนี้ทุกอย่างสงบลงแล้ว เอาเวลาที่เหลือไปคิดเรื่องงานที่ผมได้รับมอบหมายจะดีกว่า
เวลาผ่านไปห้าชั่วโมงอย่างไม่เร็วนัก เจ้านกยักษ์ลำนี้ก็ลงจอดที่สนามบินอินชอนตอนเช้าตรู่ของวันอาทิตย์โดยสวัสดิภาพ ใช่แล้วล่ะครับ...เกาหลีใต้ ประเทศที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้มา และถ้าถามว่าที่ไหนในโลกนี้ที่อยากไปน้อยที่สุด ผมก็คงตอบแบบไม่ต้องคิดว่าที่นี่ อย่าถามนะครับว่าทำไม เพราะมันจะเป็นคำถามที่ผมไม่อยากตอบเป็นอย่างยิ่ง เรียกว่าคำตอบอยู่ภายใต้จิตสำนึก...และเจ็บลึกๆ มาเนิ่นนานเลยทีเดียว
จากสนามบินอินชอน ผมนั่งแท็กซี่ต่อไปยังโรงแรมระดับสี่ดาว ซึ่งอยู่ในย่านคังนัมใจกลางกรุงโซลเมืองหลวงของที่นี่นั่นเอง และโรงแรมก็ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากออฟฟิศที่จะต้องไปประชุมกับผู้รับเหมาและลูกค้าอีกด้วย คังนัมนับว่าเป็นย่านของมหาเศรษฐีในประเทศนี้เลยก็ว่าได้...รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งเลยครับ
อุณหภูมิภายนอกตอนแปดโมงเช้าอยู่ที่ประมาณ 2 องศาเซลเซียส ทำให้ผมหายใจออกมาเป็นไอน้ำเหมือนพระเอกในซีรีย์เกาหลี โธ่เอ๊ย...ให้ตายสิ ผมลืมไปได้อย่างไรว่าสิ่งที่ทำให้ผมมีอคติกับที่นี่ ส่วนหนึ่งก็เพราะความโด่งดังของซีรีย์เกาหลีในบ้านเรานี่แหละ แต่ต่อให้ไม่ชอบอย่างไร ก็ได้โปรดเชื่อเถอะว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของซีรีย์เกาหลีทั้งหมด ผ่านตาผมมาแล้วทั้งนั้น
กำหนดการของทริปนี้มีระยะเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ งานทั้งหมดต้องจัดการให้เสร็จภายใน 40 ชั่วโมง เมื่อบวกกับเวลาช่วงโอทีอีกวันละ 2 ชั่วโมงไม่รวมวันศุกร์ซึ่งไม่มีใครเขาทำงานในช่วงเย็นกัน รวมแล้วคือ 48 ชั่วโมงสำหรับงานทั้งหมด เรียกว่าไหนๆ ก็มาแล้วใช้งานเสียให้คุ้ม ตรวจพิมพ์เขียวที่ออกแบบโดยผู้รับเหมา ประชุมกับลูกค้า ประชุมกับผู้รับเหมา ต้องร่วมแสดงความคิดเห็นในการประชุมรีวิวโมเดลสามมิติ และที่สำคัญทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยความพอใจของทุกฝ่าย เรียกว่างานช้างล่ะครับ โดยเฉพาะภารกิจสุดท้าย...สร้างความพอใจให้กับทุกคน
ในวงการธุรกิจก่อสร้าง แม้ความถูกต้องและความปลอดภัยจะมาก่อนสิ่งอื่นเสมอ แต่คำว่าธุรกิจผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงไม่น้อยไปกว่า และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องมาที่นี่ การเปลี่ยนแบบในแต่ละครั้งส่งผลกับเม็ดเงินเป็นหลักสิบหรือหลักร้อยล้านบาท ข้อตกลงจึงต้องมาจากการพิจารณาอย่างถ้วนถี่ของทุกๆ ฝ่าย มีการบันทึกข้อตกลงระหว่างการประชุมเป็นลายลักษณ์อักษร
ในช่วงระยะเวลาอันสั้นหรือเวลาที่จำกัดนี้ การทำงานจึงต้องมีกำหนดการแน่ชัด และมันก็อยู่ในมือผมเป็นที่เรียบร้อย ไม่ใช่สิ...มันอยู่ในหัวผมจนท่องได้ขึ้นใจต่างหาก
วันจันทร์ต้องตรวจแบบพิมพ์เขียวให้เสร็จสิ้นทั้งหมด...ตรวจดูว่าผู้รับเหมาออกแบบตามความต้องการของลูกค้าหรือไม่ เป็นไปตามข้อสัญญาที่เคยตกลงกันไว้ก่อนที่พวกเขารับงานนี้หรือเปล่า เป็นไปตามมาตรฐานของลูกค้าและมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับไหม และที่สำคัญการออกแบบต้องไม่ขัดกับบทบัญญัติในกฎหมายด้วย
วันอังคารต้องประชุมกับลูกค้า เพื่อรายงานการตรวจแบบทั้งหมด รวมถึงการเสนอวิธีการเจรจาหาทางออกสำหรับแบบที่มีปัญหา และรับมือกับเหตุผลการเปลี่ยนแบบของผู้รับเหมา...ที่มักมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่ลดลงของพวกเขาเสมอ อย่างไรก็ตามผู้รับเหมามีสิทธิยื่นข้อเสนอตราบใดที่ยังอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง ขึ้นอยู่กับว่าทางฝั่งลูกค้าจะยอมรับข้อเสนอนั้นได้มากน้อยแค่ไหนกัน
วันพุธต้องเข้าร่วมประชุมรีวิวโมเดลสามมิติทั้งวัน ข้อคิดเห็นในแบบหรือที่เรียกว่า tag comment จะถูกเก็บไว้ประชุมกับลูกค้าและผู้รับเหมาในวันพฤหัสฯ...คงถูกดูดพลังงานไปน่าดูสำหรับสองวันนี้
และวันศุกร์วันสุดท้าย ประชุมสรุปข้อตกลงทั้งหมด รวมถึงงานเลี้ยงปิดการประชุมโมเดลรีวิวที่กินเวลายาวนานมาเกือบสามอาทิตย์ ก่อนที่ผมจะมาเสียอีก...แค่ตารางงาน ‘คร่าวๆ’ ก็ทำให้ผมเหงื่อตกเสียแล้ว
วันแรกของการทำงานที่นี่ได้เริ่มต้นแล้วสินะ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอาความหนาวเหน็บเข้าสู่ปอด ให้มันชินชากับอากาศหนาวๆ อย่างเต็มที่ ก่อนจะเข้าสู่สมรภูมิรบอันร้อนระอุในห้องประชุมนั่น...ว่าอย่างไรปอ นายพร้อมหรือไม่
ของฝากจากกรุงโซล (Soul in Seoul)
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเดินทางไปต่างประเทศ แต่ครั้งนี้เป็นการเดินทางที่มาพร้อมกับภาระอันยิ่งใหญ่ที่รออยู่เบื้องหน้า การเดินทางครั้งนี้...ไม่ใช่การท่องเที่ยว ไม่ใช่ไปเรียนต่อ แต่เป็นการทำงานที่มีมูลค่านับพันล้านบาท ไม่แปลกนักที่ผมจะรู้สึกตื่นเต้นมากไปกว่าทุกครั้ง
แต่...เฮ้อ...ยังไม่ทันได้เริ่มต้น ผมก็เกือบทำพังไปเสียแล้ว
ท้องฟ้าในยามเที่ยงคืนเศษย่อมมืดมิดเป็นธรรมดา...ผมคิดเช่นนั้น สายตายังไม่อาจละไปจากความมืดภายนอก ผมชอบเวลายามค่ำคืน ผมชอบความมืด ไม่รู้สิ...ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ว่าความมืดที่อยู่รอบตัว ทำให้เรามองเห็นตัวเองได้ดีขึ้น เมื่อความมืดย่างกรายโอบล้อมรอบตัวเรา ทำให้ผมรู้ว่าต้องเข้มแข็งและใช้ความอดทนแค่ไหนในการผ่านช่วงเวลาเหล่านั้น วัฏจักรชีวิตของมนุษย์ก็มีอยู่แค่นี้ วันนี้มืด พรุ่งนี้เช้าสว่าง...
แต่ไม่ใช่เพียงท้องฟ้าด้านนอกเท่านั้นหรอกนะที่มืดมิด เพราะหลังจากการรับประทานอาหารเสร็จสิ้นลง ไฟทุกดวงในห้องผู้โดยสารก็ดับลงเช่นกัน ผมหยิบรีโมตข้างตัวขึ้นมาเปิดไฟ พร้อมกับหยิบแฟ้มตารางงานทั้งหมดที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้มาทบทวนอีกครั้งเพื่อป้องกันความผิดพลาด
อดคิดไปไม่ได้ว่า ถ้าก่อนหน้านี้ผมตกเครื่อง...จะทำให้งานนี้เสียหายมากแค่ไหนกัน
‘เวรแล้วไหมล่ะ!’ ผมระบายความหงุดหงิดไปตามเสียงบ่นของตัวเองเบาๆ หลังจากรับรู้ว่า เวลาอันมีค่าหมดไปเกือบ 20 นาทีกับเรื่องที่เรียกได้ว่า ‘โคตรจะไร้สาระ’ ผมตะโกนดังกว่าเสียงกระซิบไม่ได้ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของผมเองทั้งนั้น
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ผมยืนบ่นตาแก่ชาวเอเชียไร้เหตุผลคนหนึ่ง ซึ่งกำลังส่งเสียงโวยวายใส่พนักงานสนามบินตรงจุดตรวจสัมภาระผู้โดยสาร โวยวายดังลั่นชนิดที่เรียกได้ว่า อยากให้เสียงนั้นดังไปถึงรัฐบาลไทยเลยทีเดียว ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากถอดรองเท้า ใช่แล้วล่ะ...เรื่องที่ทำให้ผมอับอายจนอยากเขกกะโหลกตัวเองสักสิบตลบนั้นก็คือ การเข้าแถวตรวจสัมภาระผิด
หลังจากเช็คอินเรียบร้อย ผมเหลือเวลาเพียงแค่ 35 นาทีเท่านั้น ในการตรวจสัมภาระ ตรวจพาสปอร์ต และเส้นทางไปขึ้นเครื่องอีกยาวไกล ไม่แปลกนักที่ผมแทบไม่ดูป้ายอะไรเลย จนต้องเสียเวลาอีก 20 นาทีในการเข้าแถวตรวจสัมภาระ...สำหรับชาวต่างชาติ นี่แหละหนาที่เขาว่ากันว่า ‘สติไม่มา ปัญญาก็ไม่เกิด’
ผมเก็บรองเท้าที่ถอดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ เดินหิ้วออกไปเข้าแถวด้านขวาอีกแถวหนึ่งพร้อมกับเสียงบ่นของตัวเองเบาๆ ตลอดทาง...ไอ้เซ่อเอ๊ย เมื่อผ่านตรงจุดตรวจสัมภาระผู้โดยสารมาได้ ผมจึงเหลือบไปมองแถวตรงกลางนั้นอีกรอบอย่างหมายมาดว่า อย่าได้หวังว่าคนอย่างไอ้ปอจะพลาดเป็นครั้งที่สอง
หลังจากตรวจสัมภาระและพาสปอร์ตเสร็จแล้ว เหลือเวลาไม่ถึง 10 นาทีกับอีกระยะทางประมาณ 300 เมตรจนถึงเกท นาทีนั้น ผมไม่สนใจอะไรแล้ว กระชับกระเป๋าเป้แน่นขึ้น เหวี่ยงเสื้อโค้ททับไปอีกชั้น ที่เหลือก็เป็นเรื่องของความเร็ว และใจของกัปตันแล้วล่ะ ว่าจะรอผู้โดยสารคนสำคัญคนนี้ได้หรือไม่
และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องนั่งหายใจกระหืดกระหอบอยู่บนเครื่องเป็นเวลาเกือบสิบนาที แต่ตอนนี้ทุกอย่างสงบลงแล้ว เอาเวลาที่เหลือไปคิดเรื่องงานที่ผมได้รับมอบหมายจะดีกว่า
เวลาผ่านไปห้าชั่วโมงอย่างไม่เร็วนัก เจ้านกยักษ์ลำนี้ก็ลงจอดที่สนามบินอินชอนตอนเช้าตรู่ของวันอาทิตย์โดยสวัสดิภาพ ใช่แล้วล่ะครับ...เกาหลีใต้ ประเทศที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้มา และถ้าถามว่าที่ไหนในโลกนี้ที่อยากไปน้อยที่สุด ผมก็คงตอบแบบไม่ต้องคิดว่าที่นี่ อย่าถามนะครับว่าทำไม เพราะมันจะเป็นคำถามที่ผมไม่อยากตอบเป็นอย่างยิ่ง เรียกว่าคำตอบอยู่ภายใต้จิตสำนึก...และเจ็บลึกๆ มาเนิ่นนานเลยทีเดียว
จากสนามบินอินชอน ผมนั่งแท็กซี่ต่อไปยังโรงแรมระดับสี่ดาว ซึ่งอยู่ในย่านคังนัมใจกลางกรุงโซลเมืองหลวงของที่นี่นั่นเอง และโรงแรมก็ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากออฟฟิศที่จะต้องไปประชุมกับผู้รับเหมาและลูกค้าอีกด้วย คังนัมนับว่าเป็นย่านของมหาเศรษฐีในประเทศนี้เลยก็ว่าได้...รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งเลยครับ
อุณหภูมิภายนอกตอนแปดโมงเช้าอยู่ที่ประมาณ 2 องศาเซลเซียส ทำให้ผมหายใจออกมาเป็นไอน้ำเหมือนพระเอกในซีรีย์เกาหลี โธ่เอ๊ย...ให้ตายสิ ผมลืมไปได้อย่างไรว่าสิ่งที่ทำให้ผมมีอคติกับที่นี่ ส่วนหนึ่งก็เพราะความโด่งดังของซีรีย์เกาหลีในบ้านเรานี่แหละ แต่ต่อให้ไม่ชอบอย่างไร ก็ได้โปรดเชื่อเถอะว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของซีรีย์เกาหลีทั้งหมด ผ่านตาผมมาแล้วทั้งนั้น
กำหนดการของทริปนี้มีระยะเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ งานทั้งหมดต้องจัดการให้เสร็จภายใน 40 ชั่วโมง เมื่อบวกกับเวลาช่วงโอทีอีกวันละ 2 ชั่วโมงไม่รวมวันศุกร์ซึ่งไม่มีใครเขาทำงานในช่วงเย็นกัน รวมแล้วคือ 48 ชั่วโมงสำหรับงานทั้งหมด เรียกว่าไหนๆ ก็มาแล้วใช้งานเสียให้คุ้ม ตรวจพิมพ์เขียวที่ออกแบบโดยผู้รับเหมา ประชุมกับลูกค้า ประชุมกับผู้รับเหมา ต้องร่วมแสดงความคิดเห็นในการประชุมรีวิวโมเดลสามมิติ และที่สำคัญทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยความพอใจของทุกฝ่าย เรียกว่างานช้างล่ะครับ โดยเฉพาะภารกิจสุดท้าย...สร้างความพอใจให้กับทุกคน
ในวงการธุรกิจก่อสร้าง แม้ความถูกต้องและความปลอดภัยจะมาก่อนสิ่งอื่นเสมอ แต่คำว่าธุรกิจผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงไม่น้อยไปกว่า และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องมาที่นี่ การเปลี่ยนแบบในแต่ละครั้งส่งผลกับเม็ดเงินเป็นหลักสิบหรือหลักร้อยล้านบาท ข้อตกลงจึงต้องมาจากการพิจารณาอย่างถ้วนถี่ของทุกๆ ฝ่าย มีการบันทึกข้อตกลงระหว่างการประชุมเป็นลายลักษณ์อักษร
ในช่วงระยะเวลาอันสั้นหรือเวลาที่จำกัดนี้ การทำงานจึงต้องมีกำหนดการแน่ชัด และมันก็อยู่ในมือผมเป็นที่เรียบร้อย ไม่ใช่สิ...มันอยู่ในหัวผมจนท่องได้ขึ้นใจต่างหาก
วันจันทร์ต้องตรวจแบบพิมพ์เขียวให้เสร็จสิ้นทั้งหมด...ตรวจดูว่าผู้รับเหมาออกแบบตามความต้องการของลูกค้าหรือไม่ เป็นไปตามข้อสัญญาที่เคยตกลงกันไว้ก่อนที่พวกเขารับงานนี้หรือเปล่า เป็นไปตามมาตรฐานของลูกค้าและมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับไหม และที่สำคัญการออกแบบต้องไม่ขัดกับบทบัญญัติในกฎหมายด้วย
วันอังคารต้องประชุมกับลูกค้า เพื่อรายงานการตรวจแบบทั้งหมด รวมถึงการเสนอวิธีการเจรจาหาทางออกสำหรับแบบที่มีปัญหา และรับมือกับเหตุผลการเปลี่ยนแบบของผู้รับเหมา...ที่มักมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่ลดลงของพวกเขาเสมอ อย่างไรก็ตามผู้รับเหมามีสิทธิยื่นข้อเสนอตราบใดที่ยังอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง ขึ้นอยู่กับว่าทางฝั่งลูกค้าจะยอมรับข้อเสนอนั้นได้มากน้อยแค่ไหนกัน
วันพุธต้องเข้าร่วมประชุมรีวิวโมเดลสามมิติทั้งวัน ข้อคิดเห็นในแบบหรือที่เรียกว่า tag comment จะถูกเก็บไว้ประชุมกับลูกค้าและผู้รับเหมาในวันพฤหัสฯ...คงถูกดูดพลังงานไปน่าดูสำหรับสองวันนี้
และวันศุกร์วันสุดท้าย ประชุมสรุปข้อตกลงทั้งหมด รวมถึงงานเลี้ยงปิดการประชุมโมเดลรีวิวที่กินเวลายาวนานมาเกือบสามอาทิตย์ ก่อนที่ผมจะมาเสียอีก...แค่ตารางงาน ‘คร่าวๆ’ ก็ทำให้ผมเหงื่อตกเสียแล้ว
วันแรกของการทำงานที่นี่ได้เริ่มต้นแล้วสินะ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอาความหนาวเหน็บเข้าสู่ปอด ให้มันชินชากับอากาศหนาวๆ อย่างเต็มที่ ก่อนจะเข้าสู่สมรภูมิรบอันร้อนระอุในห้องประชุมนั่น...ว่าอย่างไรปอ นายพร้อมหรือไม่