วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

กระทู้สนทนา
1

            วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เป็นวัดโบราณในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดสะแก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และขุดคลองรอบพระอาราม แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ ซึ่งแปลว่า ชำระพระเกศา เนื่องจากเคยประทับทำพิธีพระกระยาสนาน ( อาบน้ำ ) เมื่อเสด็จกรีธาทัพกลับจากกัมพูชามาปราบจลาจลในกรุงธนบุรี และเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติใน พ.ศ. 2325   วัดสระเกศจึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และราชวงศ์จักรี
       ก่อนที่เราจะเดินขึ้นไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุบนภูเขาทอง เราเข้าไปชมพระอุโบสถ พระวิหาร และ หลวงพ่อดำ ด้านล่างก่อนนะครับ

2 พระอุโบสถ
      พระอุโบสถประดิษฐานบนลานกระเบื้องสีเหลืองนวล รอบพระอุโบสถมี ซุ้มพัทธสีมาตั้งรายรอบอยู่ ๘ ทิศ พัทธสีมาคู่ประดิษฐานในซุ้มทรงกูบช้างที่ประดับกระเบื้องลายวิจิตร ผีมือช่างจากเมืองจีน ซุ้มพัทธสีมาแห่งนี้ได้รับคำชมว่างามแปลกตามาก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า องค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)ทรงสรรเสริญว่า “ซุ้มพัทธสีมาวัดสระเกศ วิจิตสวยงามมาก ควรถือเป็นแบบอย่างได้”
3
4
5
    ภายในพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระประธานปางสมาธิ ซึ่งเป็นพระปูนปั้นปิดทองปางสมาธิที่ใหญ่โต พร้อมด้วยความงามสมพุทธลักษณะองค์หนึ่งในกรุงเทพมหานคร พระประธานองค์ปัจจุบันถูกปั้นหุ้มพระประธานองค์เดิมของวัดซึ่งดูเล็กเกินไปไม่สมกับความใหญ่โตของพระอุโบสถ ด้วยเหตุนี้รัชกาลที่ ๑ จึงไม่พระราชทานชื่อพระประธานประจำพระอุโบสถเพราะเป็นพระที่มีมาแต่เดิมซ้อนอยู่ คนทั่วไปจึงเรียกพระประธานประจำพระอุโบสถว่า พระประธาน
6
    ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๓ แล้วมาทำการปฏิสังขรณ์เขียนใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ที่ฝาผนังด้านในสองด้านเบื้องล่างเป็นภาพทศชาติ ด้านบนเป็นภาพเทวดาและท้าวจตุโลกบาล ด้านหน้าเป็นภาพมารวิชัย ส่วนด้านหลังพระประธานเป็นภาพไตรภูมิ คือสวรรค์ มนุษย์ และนรก
7
พระระเบียงรอบพระอุโบสถ มีพระเจดีย์รายรอบ ภายในพระระเบียงมีพระพุทธรูปปูนปั้นประดับทองคำเปลวที่รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้อัญเชิญมาจากหัวเมือง ประดิษฐานเรียงกันอยู่เต็มพระระเบียงทั้งสี่ด้าน มีจำนวนทั้งหมด ๑๖๓ องค์
8

   พระวิหาร
9 ภาพด้านหลัง
      พระวิหารหลังสูงใหญ่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบ มีช่อฟ้าใบระกา หน้าบันทั้งสองด้านประดับกระจกสี พระวิหารหลังนี้เป้นทีประดิษฐานพระ อัฏฐารส เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ เชิญมาประดิษฐานไว้ในสมัยรัชกาลที่ ๓ บ่ายหน้าไปสู่ทิศเหนือ  เหตุที่สร้างพระวิหารบ่ายหน้าสู่ทิศเหนือนี้มีเรื่องเล่าว่า เมื่อรัชกาลที่ ๓ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระกฐินนี่วัดสระเกศนี้ ย่อมเสด็จมาโดยทางชลมารคผ่านคลองมหานาค เสด็จขึ้นวัดสระเกศทางทิศเหนือ เดิมมีศาลาอยู่ริมคลองมหานาคด้วย ทรงจุดธูปเทียนถวายสักการะพระอัฏฐารสก่อนแล้วจึงเสด็จเข้าพระอุโบสถ
10

   พระอัฏฐารส
11
   พระอัฏฐารส มีพระนามเต็มว่า พระอัฏฐารส ศรีสุคต ทศพลญาณบพิตร ศิลปะสกุลช่างสมัยสุโขทัยตอนต้น อายุ ๗๐๐ ปี เป็นประพุทธรูปยืนที่มีความสูงที่สุด ในกรุงเทพมหานคร มีความสูงถึง ๕ วา ๑ ศอก ๑๐ นิ้ว (๒๑ ศอก ๑ นิ้ว) หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ โดยไม่มีการเชื่อมต่อ นับว่าเป็นการหล่อพระพุทธรูปด้วยโลหะ ที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชนชาติไทย เดิมประดิษฐานอยู่วัดวิหารทองเมืองพิษณุโลก วัดประจำพระราชวังจันทน์ ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่พระวิหาร วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร
พระวิหารพระอัฏฐารส ยังใช้เป็นสถานที่ ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ บทมหาสมัยสูตร เพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชน สืบเนื่องมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ จนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๑๗๐ ปี
12 พระพุทธรูปยืนภายในพระวิหาร
   ภายในพระวิหารแบ่งเป็นสองห้อง ห้องใหญ่ประดิษฐาน พระอัฏฐารส ส่วนห้องเล็กด้านหลังพระอัฏฐารสประดิษฐานพระหลวงพ่อดุสิต
13 หลวงพ่อดุสิต
    หลวงพ่อดุสิต มีประวัติว่าเป็นพระประธานประจำพระอุโบสถวัดดุสิตมาก่อน วัดดุสิตนั้น เดิมตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานพระราชวังสวนดุสิต อยู่ใกล้กันกับวัดแหลมหรือวัดเบญจมบพิตร เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชวังดุสิตและสวนดุสิต จำต้องขยายบริเวณเกินเนื้อที่วัดทั้งสองวัด จึงทรงพระราชปรารภสร้างวัดชดใช้วัดทั้งสองขึ้นวัดหนึ่ง คือวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม แล้วจึงได้โปรดให้อัญเชิญพระประธานในพระอุโบสถวัดดุสิตไปประดิษฐานอยู่ในห้องด้านหลังพระวิหารพระอัฏฐารสซึ่งว่างอยู่ ภายหลังเรียกกันว่า “หลวงพ่อดุสิต”ประดิษฐานอยู่ตลอดมาจนทุกวันนี้
14 พระอัครสาวกอยู่ข้างละ ๑ องค์
   ออกจากพระวิหารเดินกลับมาจะผ่านหอพระไตรปิฏก
15 หอพระไตรปิฏก
16
17
   หอพระไตรปิฏก ตั้งอยู่ที่คณะ ๑๐ ด้านใต้ของบรมบรรพต เป็นที่เก็บคัมภีร์พระพุทธศาสนา เป็นหอสมุดประจำวัด สร้างตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เป็นเรือนไม้ มีเฉลียง รอบหลังคามีช่อฟ้า ใบระกา ฝาและบานประตูหน้าต่างแกะลายจำหลัก ฝีมือสร้างแสดงถึงความประณีตวิจิตรบรรจง  เดิมปลูกกลางสระน้ำ แต่ปัจจุบันนี้ถมสระเทพื้นเป็นปูนซีเมนต์แทน เคยได้รับการบูรณะมาครั้งหนึ่งสมัยรัชกาลที่ ๓
   หลังจากชมพระอุโบสถ พระวิหาร และ หอพระไตรปิฏก ด้านล่างแล้ว เราจะเดินกลับไปที่วิหารหลวงพ่อดำที่อยู่ด้านข้างก่อนทางขึ้นภูเขาทองกันนะครับ
18 หลวงพ่อดำ
   หลวงพ่อดำประดิษฐานอยู่ในวิหารหลวงพ่อดำด้านข้างภูเขาทอง ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ หลวงพ่อดำ” เล่ากันว่าแต่เดิมลงรักสีดำไว้ แต่ไม่ได้ปิดทอง หลวงพ่อดำเป็นพระปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย หน้าตักว้าง ๔ ศอก ฝีมือปั้นสันนิษฐานว่าเป็นยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปที่คู่กับบรมบรรพตมาแต่ต้น สร้างไว้ให้เพื่อเจ้านายและพุทธบริษัททั่วไปที่ไม่สามารถขึ้นไปบูชาบนองค์บรมบรรพต ได้บูชาที่พระพุทธรูปองค์นี้
   หลังจากสักการะเสร็จเราเดินขึ้นภูเขาทองหรือพระบรมบรรพตกันนะครับ
19 ทางขึ้น
20
ขณะเดินขึ้นภูเขาทองมีเสียงธรรมะตามสายของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ให้ฟังตลอดทาง
21 พระบรมบรรพต
22
     ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะและสร้าง พระบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง ทรงกำหนดให้เป็นพระปรางค์มีฐานย่อมุมไม้สิบสอง แต่สร้างไม่สำเร็จในรัชกาล เมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ จึงทรงให้เปลี่ยนแบบเป็นภูเขาก่อพระเจดีย์ไว้บนยอด เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ การก่อสร้างแล้วเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระเจดีย์บนยอดพระบรมบรรพตเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุมาแต่ครั้งนั้น
23 พระพุทธรูปวางโดยรอบให้ศาสนิกชนสักการะ
24
   มีทางเดินเข้าไปภายในที่ประดิษฐานพระเจดีย์องค์น้อย ภายในพระเจดีย์องค์น้อยบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
25 พระเจดีย์องค์น้อย
    หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์  ปราโมช ได้เขียนเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุ  ไว้ในคอลัมน์ซอยสวนพลู หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ว่า “ประเทศไทยนี้มีเจดีย์และที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุมากมาย แต่ที่แน่ใจว่าพระบรมสารีริกธาตุองค์จริง  คือ องค์ที่บรรจุที่บรมบรรพต ภูเขาทอง เพราะมีบันทึกเป็นจดหมายเหตุประกอบโดยละเอียดตั้งแต่ขุดพบ จนอัญเชิญจากประเทศอินเดียมาสู่ประเทศไทย ประกอบกับทางประเทศอินเดีย ก็มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย ครั้นคณะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาถึงเมืองสมุทรปราการ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานในวิหาร เกาะพระสมุทรเจดีย์ ทำเพื่อการเฉลิมฉลอง และที่พระสมุทรเจดีย์นี้เอง พระบรมสารีริกธาตุได้เกิดปาฏิหาริย์  ส่องแสงสว่างแวววาวออกจากองค์พระบรมสารีริกธาตุ  เป็นที่อัศจรรย์”
26 มีบันไดทางขึ้นเล็กๆขึ้นไปชั้นบนสุดที่ประดิษฐานพระเจดีย์สีทองที่เราเห็นจากระยะไกล
27 จากด้านบนสุดสามารถมองทัศนียภาพกรุงเทพมหานครได้รอบไกลถึงปลายขอบฟ้า ในสมัยที่ยังไม่มีตึกสูง บนลานพระเจดีย์ยังใช้เป็นที่สังเกตการณ์อัคคีภัยของพระนครด้วย ซึ่งด้านข้างวัดสระเกศมีสถานีดับเพลิงภูเขาทองอยู่ด้วย
   หลังจากสักการะพระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้วเราจะเดินลง ระหว่างทางลงจะผ่านวิหารที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต
28 หน้าวิหารจะมีฆ้องขนาดใหญ่ให้เราตี
29 หลวงพ่อโต
30 หลวงพ่อโตเป็นพระพุทธรูปหล่อ ปิดทอง ในสมัยรัชกาลที่ ๓ หน้าตักกว้าง ๗ ศอก ๑ คืบ ส่วนสูง ๑๐ ศอก นับว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะที่ใหญ่มากองค์หนึ่ง พระพุทธรูปที่ใหญ่ขนาดนี้ส่วนมากปั้นด้วยปูน ชาวบ้านเรียกกันว่า “หลวงพ่อโต” คงจะเนื่องจากเป็นพระพุทธรูปใหญ่นั้นเอง
31
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่