ยางรถยนต์ เป็นอุปกรณ์ที่มีสำคัญส่วนหนึ่งของรถยนต์
ให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ขับเคลื่อนไปในทิศทางต่าง ๆ
ด้วยความนุ่มนวลในการขับขี่ ยางรถยนต์ได้รับการพัฒนามาโดยตลอดด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย
เพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพ ประสิทธิภาพ สมรรถนะสูงควบคู่ไปกับเทคโลโลยียานยนต์สมัยใหม่
เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้อย่างสูดสุด
1.ยางรถยนต์ ที่ใช้อยู่ควรจะเติมลมกี่ปอนด์ ?
การเติมลมยางรถยนต์ให้ได้อัตราที่ถูกต้อง คือสิ่งสำคัญ และจำเป็นที่สุดของการดูแลรักษายางรถยนต์ ยางรถยนต์ที่ใช้อยู่ควรสูบลมให้ได้ตามอัตราสูบลมที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ได้กำหนดไว้ โดยปกติแล้วอัตราเติมลมที่ถูกต้อง และเหมาะสมสำหรับรถแต่ละชนิด ที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้นั้น จะระบุไว้ในแผ่นโลหะ หรือสติ๊กเกอร์ที่ติดไว้บริเวณสันประตู หรือเสากลางข้างตัวรถ หรือติดไว้ในช่องเก็บของภายในรถ นอกจากนั้น ยังมีระบุไว้ในหนังสือคู่มือการใช้รถอีกด้วย
แต่หากท่านมิได้ใช้ยางรถยนต์ขนาดเดียวกันกับยางที่ติดรถมา ท่านควรขอคำแนะนำเกี่ยวกับอัตราสูบลมยางที่เหมาะสมจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ หรือร้านจำหน่ายยางรถยนต์ที่ได้มาตราฐาน
ยางอะไหล่ ท่านควรเติมลมไว้ให้มากกว่ามาตราฐาน 3-4 ปอนด์ และลดลงให้กลับสู่อัตราปกติ เมื่อนำไปใช้
2. การใช้ลมอ่อนเกินไป จะมีผลอย่างไรต่อยางรถยนต์ที่ใช้อยู่ ?
การใช้ยางรถยนต์ที่สูบลมไว้ต่ำกว่าอัตราที่เหมาะสมถูกต้อง หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า ลมอ่อนเกินไปนั้น นับเป็นศัตรูตัวสำคัญต่ออายุการใช้งานของยางทีเดียว อีกทั้งยังจะส่งผลเสียอย่างมากต่อยางที่ใช้อยู่ กล่าวคือ ในขณะรถวิ่ง ยางรถยนต์จะเกิดความร้อนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมากกว่าที่ควรจะเป็น ความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักจะลดน้อยลงกว่ามาตราฐาน และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
3. ควรตรวจเช็คลมยางรถยนต์เมื่อไร ?
ท่านควรตรวจเช็คลมยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอประมาณอาทิตย์ละครั้ง หรือทุกครั้งก่อนเดินทางในขณะที่ยางรถยนต์ยังเย็นอยู่ กล่าวคือวิ่งมาไม่เกิน 1.5 – 2.0 กิโลเมตร เพราะขณะที่รถวิ่งนั้น ความดันลมในยางรถยนต์จะเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ หากท่านทำการตรวจเช็คอัตราลมในขณะนั้น ก็จะได้ค่าที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงควรตรวจเช็คอัตราลมในขณะที่ยางรถยนต์ยังไม่ร้อน หรือประมาณ 2-3 ชั่วโมงหลังการใช้งาน
ท่านไม่ควรใช้วิธีสังเกตด้วยตาว่า ลมยางรถยนต์ของท่านอ่อนเกินไปหรือยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยางรถยนต์ที่ท่านกำลังใช้อยู่เป็นยางเรเดียยล ท่านควรตรวจเช็คลมโดยให้เกจ์วัดลมที่ได้มาตราฐาน ซึ่งสามารถหาซื้อได้จากห้างสรรพสินค้า หรือตามร้านจำหน่ายยางที่ได้มาตราฐาน
4. ทำไมถึงต้องมีการสลับยางรถยนต์
วัตถุประสงค์หลักของการสลับยางรถยนต์ ก็เพื่อให้ยางรถยนต์ทุกเส้นมีการสึกที่เท่ากัน ดังนั้นท่านควรศึกษาคู่มือการใช้รถเกี่ยวกับคำแนะนำในการสลับยางรถยนต์ ซึ่งโดยปกติแล้ว ท่านควรสลับยางรถยนต์ทุกๆ 9,000 – 13,000 กิโลเมตร หากรถของท่านเป็นรถใหม่ ท่านควรจะสลับยางรถยนต์ในทันทีที่ท่านใช้รถครบ 10,000 กิโลเมตรแรก
หากยางรถยนต์เกิดการสึกที่ไม่สม่ำเสมอ ท่านควรรีบปรึกษากับร้านผู้ชำนาญงาน เพื่อตรวจเช็คศูนย์ล้อ ถ่วงล้อ ตลอดจนระบบช่วงล่างโดยทันที
โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ มักจะแนะนำให้เติมลมยางรถยนต์ล้อหน้า และล้อหลังต่างกัน ดังนั้นเมื่อสลับยางรถยนต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านก็ต้องปรับระดับความดันลมของยางรถยนต์ล้อหน้า และล้อหลังให้ถูกต้อง
5. ทำไมต้องมีการถ่วงล้อ
หากเกิดการกระจายน้ำหนักไม่ถูกต้องของยางรถยนต์ และกะทะล้อ จะก่อให้เกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นขณะที่รถวิ่ง อันจะมีผลเสียต่ออายุการใช้งานของยางรถยนต์ ระบบช่วงล่างของรถ ตลอดจนความสะดวกสบายในการขับขี่ การถ่วงล้อจะช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักที่ถูกต้องของยางรถยนต์ และกะทะล้อ ซึ่งการถ่วงล้อก็สามารถกระทำได้ โดยเพิ่มน้ำหนักลงไป ณ จุดใดจุดหนึ่งที่ขอบกะทะล้อ
6. เมื่อไรจึงควรจะถ่วงล้อ
ยางและกะทะล้อควรส่งเข้ารับการบริการถ่วงล้อในทันทีที่ เมื่อมีการเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ เมื่อมีการสลับยางรถยนต์ สลับกะทะล้อ เมื่อนำยางรถยนต์ที่ใช้แล้วมาใส่กะทะล้อที่ใช้อยู่ เมื่อยางรถยนต์แตก และได้รับการปะยางเป็นที่เรียบร้อย เมื่อมีการถอดยางออกจากกะทะล้อ หรือใส่ยางกลับเข้ากะทะล้อ เมื่อเกิดการสั่นสะท้านขณะที่รถวิ่ง เมื่อเกิดการสึกไม่สม่ำเสมอ ท่านควรส่งรถเข้ารับบริการถ่วงล้อจากร้านยางรถยนต์ที่ได้มาตราฐานเท่านั้น
7.ทำไมต้องมีการปรับตั้งศูนย์ล้อ
เพราะการที่รถมีศูนย์ล้อที่ไม่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้ยางรถยนต์เกิดการสึกที่ผิดปกติแล้ว ยังมีผลต่อระบบควบคุมบังคับทิศทางของรถด้วย ดังนั้น หากรถของท่านที่มีอาการผิดปกติในการควบคุมบังคับทิศทางของรถ หรือท่านสังเกตุเห็นว่ายางรถยนต์ที่ใช้อยู่มีลักษณะสึกที่ไม่สม่ำเสมอ หรือผิดปกติ ก็สามารถบ่งชี้ได้ว่าศูนย์ล้อรถของท่านจำเป็นต้องได้รับการตรวจเช็ค และปรับตั้งศูนย์ล้อแล้ว และแม้ท่านจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนี้ แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ท่านจะต้องใช้ในการซื้อยางชุดใหม่ ซ่อมแซมช่วงล่าง และที่สำคัญคืออันตราย อันอาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพย์สิน และชีวิตของท่าน
การเลือกใช้ยางรถยนต์
1. ควรเลือกใช้ขนาดของยาง ชนิดโครงสร้างยาง ลักษณะดอกยางและความลึกของร่องดอกยางให้เหมาะสมกับ
สภาพการใช้งาน
2. ควรเลือกขนาดความกว้างของกระทะล้อ ให้เหมาะสมกับยางขนาดนั้น ๆ (ประมาณ 70 – 75 % ของความกว้างยาง)
สัญลักษณ์บนยางรถยนต์ อะไรได้บ้าง
- ตำแหน่งวัดการสึกหรอของดอกยาง
- ชื่อผู้ผลิต
- ความกว้างของหน้ายาง
- อัตราความสูงของแก้มยางต่อความกว้างของหน้ายาง (ซีรีส์) มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์
- เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ (หน่วยเป็นนิ้ว)
- ดัชนีการรับน้ำหนัก (Load Index)
- สัญลักษณ์ความเร็ซ (Speed Symblo)
- ชื่อรุ่นยางของผู้ผลิต
::
http://www.nvyangyont.com/
::
https://www.facebook.com/NVYANGYONT1/
การดูแล ยางรถยนต์ การเลือกใช้ยางรถยนต์
ให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ขับเคลื่อนไปในทิศทางต่าง ๆ
ด้วยความนุ่มนวลในการขับขี่ ยางรถยนต์ได้รับการพัฒนามาโดยตลอดด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย
เพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพ ประสิทธิภาพ สมรรถนะสูงควบคู่ไปกับเทคโลโลยียานยนต์สมัยใหม่
เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้อย่างสูดสุด
1.ยางรถยนต์ ที่ใช้อยู่ควรจะเติมลมกี่ปอนด์ ?
การเติมลมยางรถยนต์ให้ได้อัตราที่ถูกต้อง คือสิ่งสำคัญ และจำเป็นที่สุดของการดูแลรักษายางรถยนต์ ยางรถยนต์ที่ใช้อยู่ควรสูบลมให้ได้ตามอัตราสูบลมที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ได้กำหนดไว้ โดยปกติแล้วอัตราเติมลมที่ถูกต้อง และเหมาะสมสำหรับรถแต่ละชนิด ที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้นั้น จะระบุไว้ในแผ่นโลหะ หรือสติ๊กเกอร์ที่ติดไว้บริเวณสันประตู หรือเสากลางข้างตัวรถ หรือติดไว้ในช่องเก็บของภายในรถ นอกจากนั้น ยังมีระบุไว้ในหนังสือคู่มือการใช้รถอีกด้วย
แต่หากท่านมิได้ใช้ยางรถยนต์ขนาดเดียวกันกับยางที่ติดรถมา ท่านควรขอคำแนะนำเกี่ยวกับอัตราสูบลมยางที่เหมาะสมจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ หรือร้านจำหน่ายยางรถยนต์ที่ได้มาตราฐาน
ยางอะไหล่ ท่านควรเติมลมไว้ให้มากกว่ามาตราฐาน 3-4 ปอนด์ และลดลงให้กลับสู่อัตราปกติ เมื่อนำไปใช้
2. การใช้ลมอ่อนเกินไป จะมีผลอย่างไรต่อยางรถยนต์ที่ใช้อยู่ ?
การใช้ยางรถยนต์ที่สูบลมไว้ต่ำกว่าอัตราที่เหมาะสมถูกต้อง หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า ลมอ่อนเกินไปนั้น นับเป็นศัตรูตัวสำคัญต่ออายุการใช้งานของยางทีเดียว อีกทั้งยังจะส่งผลเสียอย่างมากต่อยางที่ใช้อยู่ กล่าวคือ ในขณะรถวิ่ง ยางรถยนต์จะเกิดความร้อนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมากกว่าที่ควรจะเป็น ความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักจะลดน้อยลงกว่ามาตราฐาน และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
3. ควรตรวจเช็คลมยางรถยนต์เมื่อไร ?
ท่านควรตรวจเช็คลมยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอประมาณอาทิตย์ละครั้ง หรือทุกครั้งก่อนเดินทางในขณะที่ยางรถยนต์ยังเย็นอยู่ กล่าวคือวิ่งมาไม่เกิน 1.5 – 2.0 กิโลเมตร เพราะขณะที่รถวิ่งนั้น ความดันลมในยางรถยนต์จะเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ หากท่านทำการตรวจเช็คอัตราลมในขณะนั้น ก็จะได้ค่าที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงควรตรวจเช็คอัตราลมในขณะที่ยางรถยนต์ยังไม่ร้อน หรือประมาณ 2-3 ชั่วโมงหลังการใช้งาน
ท่านไม่ควรใช้วิธีสังเกตด้วยตาว่า ลมยางรถยนต์ของท่านอ่อนเกินไปหรือยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยางรถยนต์ที่ท่านกำลังใช้อยู่เป็นยางเรเดียยล ท่านควรตรวจเช็คลมโดยให้เกจ์วัดลมที่ได้มาตราฐาน ซึ่งสามารถหาซื้อได้จากห้างสรรพสินค้า หรือตามร้านจำหน่ายยางที่ได้มาตราฐาน
4. ทำไมถึงต้องมีการสลับยางรถยนต์
วัตถุประสงค์หลักของการสลับยางรถยนต์ ก็เพื่อให้ยางรถยนต์ทุกเส้นมีการสึกที่เท่ากัน ดังนั้นท่านควรศึกษาคู่มือการใช้รถเกี่ยวกับคำแนะนำในการสลับยางรถยนต์ ซึ่งโดยปกติแล้ว ท่านควรสลับยางรถยนต์ทุกๆ 9,000 – 13,000 กิโลเมตร หากรถของท่านเป็นรถใหม่ ท่านควรจะสลับยางรถยนต์ในทันทีที่ท่านใช้รถครบ 10,000 กิโลเมตรแรก
หากยางรถยนต์เกิดการสึกที่ไม่สม่ำเสมอ ท่านควรรีบปรึกษากับร้านผู้ชำนาญงาน เพื่อตรวจเช็คศูนย์ล้อ ถ่วงล้อ ตลอดจนระบบช่วงล่างโดยทันที
โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ มักจะแนะนำให้เติมลมยางรถยนต์ล้อหน้า และล้อหลังต่างกัน ดังนั้นเมื่อสลับยางรถยนต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านก็ต้องปรับระดับความดันลมของยางรถยนต์ล้อหน้า และล้อหลังให้ถูกต้อง
5. ทำไมต้องมีการถ่วงล้อ
หากเกิดการกระจายน้ำหนักไม่ถูกต้องของยางรถยนต์ และกะทะล้อ จะก่อให้เกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นขณะที่รถวิ่ง อันจะมีผลเสียต่ออายุการใช้งานของยางรถยนต์ ระบบช่วงล่างของรถ ตลอดจนความสะดวกสบายในการขับขี่ การถ่วงล้อจะช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักที่ถูกต้องของยางรถยนต์ และกะทะล้อ ซึ่งการถ่วงล้อก็สามารถกระทำได้ โดยเพิ่มน้ำหนักลงไป ณ จุดใดจุดหนึ่งที่ขอบกะทะล้อ
6. เมื่อไรจึงควรจะถ่วงล้อ
ยางและกะทะล้อควรส่งเข้ารับการบริการถ่วงล้อในทันทีที่ เมื่อมีการเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ เมื่อมีการสลับยางรถยนต์ สลับกะทะล้อ เมื่อนำยางรถยนต์ที่ใช้แล้วมาใส่กะทะล้อที่ใช้อยู่ เมื่อยางรถยนต์แตก และได้รับการปะยางเป็นที่เรียบร้อย เมื่อมีการถอดยางออกจากกะทะล้อ หรือใส่ยางกลับเข้ากะทะล้อ เมื่อเกิดการสั่นสะท้านขณะที่รถวิ่ง เมื่อเกิดการสึกไม่สม่ำเสมอ ท่านควรส่งรถเข้ารับบริการถ่วงล้อจากร้านยางรถยนต์ที่ได้มาตราฐานเท่านั้น
7.ทำไมต้องมีการปรับตั้งศูนย์ล้อ
เพราะการที่รถมีศูนย์ล้อที่ไม่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้ยางรถยนต์เกิดการสึกที่ผิดปกติแล้ว ยังมีผลต่อระบบควบคุมบังคับทิศทางของรถด้วย ดังนั้น หากรถของท่านที่มีอาการผิดปกติในการควบคุมบังคับทิศทางของรถ หรือท่านสังเกตุเห็นว่ายางรถยนต์ที่ใช้อยู่มีลักษณะสึกที่ไม่สม่ำเสมอ หรือผิดปกติ ก็สามารถบ่งชี้ได้ว่าศูนย์ล้อรถของท่านจำเป็นต้องได้รับการตรวจเช็ค และปรับตั้งศูนย์ล้อแล้ว และแม้ท่านจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนี้ แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ท่านจะต้องใช้ในการซื้อยางชุดใหม่ ซ่อมแซมช่วงล่าง และที่สำคัญคืออันตราย อันอาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพย์สิน และชีวิตของท่าน
การเลือกใช้ยางรถยนต์
1. ควรเลือกใช้ขนาดของยาง ชนิดโครงสร้างยาง ลักษณะดอกยางและความลึกของร่องดอกยางให้เหมาะสมกับ
สภาพการใช้งาน
2. ควรเลือกขนาดความกว้างของกระทะล้อ ให้เหมาะสมกับยางขนาดนั้น ๆ (ประมาณ 70 – 75 % ของความกว้างยาง)
สัญลักษณ์บนยางรถยนต์ อะไรได้บ้าง
- ตำแหน่งวัดการสึกหรอของดอกยาง
- ชื่อผู้ผลิต
- ความกว้างของหน้ายาง
- อัตราความสูงของแก้มยางต่อความกว้างของหน้ายาง (ซีรีส์) มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์
- เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ (หน่วยเป็นนิ้ว)
- ดัชนีการรับน้ำหนัก (Load Index)
- สัญลักษณ์ความเร็ซ (Speed Symblo)
- ชื่อรุ่นยางของผู้ผลิต
:: http://www.nvyangyont.com/
:: https://www.facebook.com/NVYANGYONT1/