หมอวรวิทย์ 22 ปีที่ รพ.อุ้มผาง

กระทู้สนทนา
164 กิโลเมตร ระยะทางจาก อ.แม่สอด สู่ อ.อุ้มผาง จ.ตาก ใช้เวลาเดินทางถึง 4 ชั่วโมง เนื่องจากถนนเลาะเลียบไปตามไหล่เขาผ่านโค้งถึง 1,219 โค้ง จนได้ชื่อว่า "เส้นทางลอยฟ้า" แม้การเดินทางลำบาก ทว่าอำเภอแห่งนี้เป็นเป้าหมายของแพทย์หนุ่มชาวแปดริ้วเมื่อ 22 ปีก่อน เพียงเพราะคิดว่าอยู่แค่ปีเดียวก็ขอย้ายได้ แต่จวบจนวันนี้ "นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์" วัย 46 ปี ยังคงทำงานในตำแหน่ง "ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง"
               นพ.วรวิทย์ เล่าว่า หลังสำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว) รุ่น 1 เมื่อปี 2534 เลือกใช้ทุนที่ รพ.อุ้มผาง เพราะคิดว่าครบ 1 ปีขอย้ายไปประจำที่โรงพยาบาลอื่นได้ ไม่มีใครอยากอยู่แบบนี้ ไม่ใช่บ้านเรา ต้องปรับตัว ช่วง 3 เดือนแรกทุกข์มาก ที่นี่เงียบ และเหงา ต้องใช้เวลา 3-6 เดือน ในการปรับตัว เคยนั่งมองชาวบ้านที่หามกันมาโรงพยาบาลแล้วเสียชีวิต เขาแย่กว่าเราเยอะ ทำให้อยู่ที่นี่มาเรื่อยๆ จนพบว่า รพ.อุ้มผาง มีงานวิศวกรรมที่ชอบให้ทำ
               "ผมไม่ใช่คนมีอุดมการณ์ ไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ได้เสียสละ ไม่ได้คิดอยากจะมาช่วยคนในพื้นที่ และผมก็ไม่เชื่อว่าใครจะมี แต่ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ที่ไหนแล้วทำงานด้วยความสุขใจมากกว่า" นพ.วรวิทย์กล่าว
               22 ปีที่ รพ.อุ้มผาง "นพ.วรวิทย์" มิได้ทำหน้าที่เพียงรักษาคนป่วยเท่านั้น หากยังทำหน้าที่ให้ความรู้และช่วยเหลือชาวบ้านด้านกฎหมาย ด้วยการจัดตั้ง "คลินิกกฎหมาย" ซึ่ง นพ.วรวิทย์ ย้ำว่า การให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย เพื่อให้เขามีสถานะสมควรที่เขาจะเป็น ไม่ใช่ทำให้เขาเป็นคนไทยทั้งหมด แต่ทำให้เขาไม่ไร้รัฐ แสดงการมีตัวตนบนโลก
               และด้วยข้อจำกัดของการจัดสรรงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ที่จะให้ตามประชากรคนไทย ขณะที่ รพ.อุ้มผาง ต้องให้การรักษาพยาบาลฟรีแก่ผู้ป่วยที่เป็นชาวต่างชาติและมีฐานะยากจนด้วย ทำให้ รพ.อุ้มผางประสบปัญหาทางการเงิน แต่แก้ไขด้วยการประหยัดงบประมาณ เช่น ทำไบโอดีเซลใช้กับรถของโรงพยาบาลและรถอีต๊อกของชาวบ้าน, ทำแก๊สชีวภาพใช้ในโรงอาหารของโรงพยาบาล และนำกลีเซอรีนที่ได้มาผสมทำเป็นน้ำยาขัดห้องน้ำ ฯลฯ
               นพ.วรวิทย์ บอกว่า ช่วงชีวิตการทำงานพบกรณีผู้ป่วยไข้กาฬหลังแอ่น เครียดมาก คิดกลัวว่าชาวบ้านจะเสียชีวิตจำนวนมาก เพราะว่าป่วยเร็วมาก รู้สึกว่าแย่แน่ๆ แต่เมื่อได้วัคซีน ยาและอื่นๆ มาช่วยสถานการณ์ดีขึ้น และกรณีอหิวาตกโรคระบาดในปี 2539 มีคนป่วยกว่า 550 ราย เสียชีวิต 80 กว่าราย น่ากลัวจริงๆ ทำให้เข้าใจพระเจ้าอู่ทองที่ต้องย้ายเมืองหนีโรคระบาด ช่วงโรคระบาดต้องเข้าถึงต้นตอเพื่อกำจัดแหล่งที่มาซึ่งอยู่ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนั้นทหาร 2 ฝ่ายที่สู้รบกันอยู่มาเข้าแถวเพื่อรับยา ทำให้คิดว่า "บางครั้งงานสาธารณสุขก็สร้างสันติภาพได้"
               ความเปลี่ยนแปลงของ รพ.อุ้มผาง เมื่อเทียบกับอดีต นพ.วรวิทย์ บอกว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลตอบสนองปัญหาชาวบ้านได้มากขึ้น ในแง่ของการช่วยให้ชาวบ้านเข้าถึงการรักษาโรคต่างๆ โดยที่ชาวบ้านไม่ต้องบอกแต่เรารู้ว่าเขากำลังต้องการสิ่งเหล่านั้น
               หลักในการทำงาน นพ.วรวิทย์ กล่าวว่า สอนน้องๆ นักศึกษาแพทย์ควรยึดหลักพรหมวิหาร 4 คือ ถ้าเห็นคนอื่นแล้วสงสารจะเกิด "เมตตา" หากได้ช่วยเขาให้พ้นทุกข์เป็น "กรุณา" เมื่อเขาหายทุกข์และมีความสุข เรียก "มุทิตา" แต่เมื่อใดที่ช่วยเขาไม่ได้ก็ต้อง ไม่ทุกข์ไม่เจ็บไปด้วย นี่คือ "อุเบกขา" ที่สำคัญการรักษาคนไข้ต้องพิจารณาที่ความต้องการทางการแพทย์ หรือ Medical need ของเขา อย่าพิจารณาสิ่งที่เขาเรียกร้อง เพราะคนที่เรียกร้องอะไรกับเราเยอะๆ จะไม่ชอบแล้วเกิดการต่อต้านในใจและเกลียดเขา อาจทำให้การรักษาไม่ถูกต้อง
               สมมุติเขาเรียกร้องมา 10 อย่าง แต่จำเป็นจริงๆ แค่ 2 อย่าง ถ้าใจแพทย์มีอคติไปแล้ว เขาอาจจะไม่ได้เลยแม้กระทั่ง 2 อย่างนั้น จึงต้องตั้งจิตให้เป็น "อุเบกขา" ต้องดูที่ความต้องการทางการแพทย์ของเขา เพราะเราเป็นแพทย์ เราเป็นผู้เชี่ยวชาญ รู้ว่าเขามีความจำเป็นอะไร อย่าไปคาดหวังว่าจะได้ความสุขจากการทำงานทั้งหมด
                "สิ่งที่ดึงให้อยู่ในพื้นที่ เพราะทำงานแล้วผมสนุกกับงาน ได้คิดทำโน่น ทำนี่ไปเรื่อยๆ นอกจากเป็นแพทย์แล้วผมเคยฝันอยากจะเป็นวิศวกร ที่ รพ.อุ้มผาง ผมได้ทำตามฝัน ได้ตอบโจทย์ในใจที่อยากเป็นวิศวกร แต่ไม่ได้เป็น ทำให้อยู่ในพื้นที่ได้ และอาจจะยังไม่มีภาระอะไร ถ้ามีลูกเล็กๆอาจจะอยู่ไม่ได้แล้ว" นพ.วรวิทย์กล่าว
                สำหรับประเด็นร้อน "พีฟอร์พี" แม้ รพ.อุ้มผาง ได้รับการจ่ายค่าตอบแทนแบบ "เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายอัตราเดิม" เพราะจัดเป็นโรงพยาบาลในพื้นที่เฉพาะ 2 หรือ "ระดับกันดารที่สุด" แต่ นพ.วรวิทย์ ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า ถ้าระบบนี้ทำลายระบบสาธารณสุขจริง โดยการเปลี่ยนจากการใช้ "ใจ" เป็นตัวกลางมาเป็น "เงิน" แทน ซึ่งน่ากลัว เพราะจะฝังรากลึกลงไปในใจคน เท่ากับคนที่เปลี่ยนระบบนี้ทำเวรทำกรรมไว้กับชาติ แต่ถ้าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานจริง ก็เป็นเครื่องมือหนึ่งในการจัดการ ควรทดลองก่อน หากมีปัญหาควรนำมาหารือร่วมกัน ส่วนตัวเงินส่วนหนึ่งจากเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย นำไปตั้งเป็น กองทุนการศึกษา ทำให้ส่งเด็กเรียนหนังสือได้ 10 คน ให้ค่ากินอยู่เดือนละ 4,000 บาท แต่จะให้แพทย์ทุกคนทำแบบนี้คงไม่ได้
               "ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการทำงานแล้วทำให้รู้สึกดี คือ ถ้ามองย้อนกลับไปชีวิตที่ผ่านมาไม่ไร้สาระ ชีวิตเรามีคุณค่า ตัวเรามีประโยชน์ เราไม่ต้องการให้ใครมาชื่นชมอะไร แต่เรารู้สึกตัวเราเองว่าเราทำประโยชน์ได้ ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรมากมาย ซึ่งผมว่าคิดแบบนี้ดีกว่า จะทำงานอยู่ได้นาน อยู่เรื่อยๆ ง่วงเราก็นอน เหนื่อยเราก็พัก ตื่นมาเราก็เดินหน้าต่อก็เท่านี้เอง ไม่มีอะไรมาก แต่เราไม่เดินถอยหลัง" นพ.วรวิทย์กล่าว

.........................................
('หมอวรวิทย์'22ปีที่รพ.อุ้มผาง สนุกกับงาน...จูงใจอยู่ในพื้นที่ : โดย...พวงชมพู  ประเสริฐ )

คมชัดลึก

เพจข่าวดี https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5/125262077559921
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่