นายกฯ ชีพจรลงเท้า ชาติได้ประโยชน์อะไร
บทบรรณาธิการ
6 March 2556
หากนับตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2554 ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีชุดแรกเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่จนถึงปัจจุบัน เรียกว่าใกล้ครบ 1 ปี 8 เดือนอยู่รอมร่อ ภารกิจที่เด่นชัดแบบออกหน้าออกตาของนายกรัฐมนตรีประการหนึ่ง นอกเหนือจากการเดินทางไปเป็นประธานตัดริบบิ้น และกดปุ่มเปิดงานต่างๆ ในประเทศแล้ว ก็คือ การเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ ทั่วโลก อย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
โลกของเราที่ 7 ทวีป 193 ประเทศนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางมาแล้วถึง 4 ทวีป ยกเว้นเพียง 3 ทวีป ที่นายกฯ ยังไม่ได้เหยียบย่างไป ได้แก่ ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอฟริกา และทวีปแอนตาร์กติกา แต่หากนับรายประเทศทั้ง 4 ทวีป ที่เธอไปยือนมาแล้ว ทั้งทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป และทวีปออสเตรเลียโอเชียเนีย ซึ่งมีทั้งหมด 127 ประเทศนั้น นายกฯ ของไทยได้ไปมาแล้ว 26 ประเทศ ประกอบด้วย บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมาร์, เวียดนาม, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, อินเดีย, สวิสเซอร์แลนด์, มาเลเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, จีน, บาห์เรน, กาตาร์, ออสเตรเลีย, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สหรัฐอเมริกา,คูเวต, บังกลาเทศ, ฮ่องกง, สวีเดน และเบลเยียม หรือคิดเป็น 20.47% เท่านั้น แต่หากคิดถึงกรอบเวลา 20 เดือน ที่นายกฯ เดินทางไปๆ มาๆ ใน 26 ประเทศ ที่หลายครั้งคราไปเยือนซ้ำทั้งสิ้น 37 ครั้งแล้ว เท่ากับนายกฯ ของไทยใช้เวลาในการอยู่ที่ประเทศไทยเพียง 1.85 เดือน แล้วชีพจรก็ลงเท้า
หากนับสถิติดังกล่าวข้างต้นเป็นบรรทัดฐานเฉลี่ยแล้ว ในระยะเวลา 4 ปีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯ ของไทยอาจต้องเดินไปนอกราชอาณาจักรเกือบ 89 ครั้ง และในอีก 52 ครั้งที่เหลือ อยู่กับระยะเวลากว่า 2 ปี นายกฯ ของไทยก็อาจเป็นนายกฯ คนแรกที่ไปเยือนครบทุกทวีป เรียกว่าสร้างสถิติใหม่ให้กับผู้นำประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์เช่นเดียวกับการเป็นนายกฯ หญิงคนแรกของการเมืองไทย!!!
เราไม่ปฏิเสธในการเดินทางไปเยือนต่างประเทศ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่ต้องทำหน้าที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ เพราะไทยเป็นประเทศเสรีเปิดกว้าง ไม่ใช่ประเทศปิดแต่ประการใด แต่คำถามที่ค้างคาอยู่ว่า การเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ ไทยนั้น ประเทศชาติได้ประโยชน์โพดผลสมกับภาษีของคนทั้งแผ่นดินที่สูญเสียหรือไม่ เพราะหากยึดตามคำที่ผู้ทรงเกียรติในสภาผู้แทนราษฎรเคยระบุว่า การเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้งจะใช้งบประมาณครั้งละประมาณ 13-15 ล้านบาท
แต่เราคิดแบบประหยัดๆ ตามนโยบายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ให้ถอดสูททำงานด้วยแล้ว ก็คิดเฉลี่ยประมาณ 10 ล้านบาทพอ เท่ากับการเยือนต่างประเทศ 37 ครั้ง เฉพาะตัวนายกฯ ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 370 ล้านบาท ยังไม่นับรวมบรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลที่เดินทางไปหลากหลายประเทศอีกต่างหาก และหากเธอเดินทางไปตามสถิติ 89 ครั้ง ก็เท่ากับภาษีของคนไทยทั้งประเทศต้องสูญหายไปถึง 890 ล้านบาท แต่ชาติกลับได้ภาพเพียงนายกฯ ใส่ชุดประจำชาติของประเทศที่ไปเยือน อย่างกรณีเยือนญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และบาห์เรน เท่านั้นหรือ หรือจะได้ภาพถ่ายกับสถานที่ขึ้นชื่อลือเลื่องอย่างการไปเยือนอินเดีย และฝรั่งเศสเท่านั้น ใช่หรือไม่
ต้องไม่ลืมว่า นายกฯ นอกจากเป็นหน้าตาของประเทศแล้ว ประการสำคัญของการเยือนต่างประเทศในระดับผู้นำประเทศอารยะในโลกการค้าเสรี คือการทำตัวเป็นตัวแทนพ่อค้าแม่ขายด้วย เรียกว่าการไปเยือนต่างประเทศไม่ใช่ไปแบบเสียเปล่า แค่แนะนำตัวเองสร้างภาพเท่านั้น แต่ต้องตักตวงผลประโยชน์ให้คนในชาติให้มากที่สุด ดูได้จากกรณีการเยือนประเทศต่างๆ ของผู้นำสหรัฐ ผู้นำจีน หรือผู้นำอื่นๆ ทั่วโลก และยิ่งประสบการณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เคยทำธุรกิจโทรคมนาคมมาแล้ว ก็ย่อมตระหนักเช่นกันว่า การเดินทางไปเยือนต่างประเทศเป็นโอกาสอันดีในการเปิดตลาดสินค้า หรือความร่วมมือที่จับต้องได้ เพราะคงไม่มีใครหน้าไหนที่ลงทุนนั่งหลังขดหลังแข็งบนเครื่องบินหลายสิบชั่วโมง เพียงแค่ไปถ่ายรูปอย่างหอไอเฟล ทัชมาฮาล และใส่ชุดกิโมโน และฮันบก เท่านั้นหรอก
แต่ในความเป็นจริงที่สะท้อนกลับมาจากแค่การเดินทางไปต่างประเทศ 37 ครั้งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เห็นชัดแจ้งว่าเป็นอย่างไร เพราะหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ คำนึงถึงการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ชาติอย่างแท้จริงแล้ว การเจรจาขายข้าวที่ค้างอยู่ในสต็อกตั้งแต่ฤดูกาลผลิตปี 2554/2555 คงไม่เหลือหลอแล้ว แต่ในสภาพความเป็นจริงข้าวยังเน่าและเก็บเต็มอยู่เต็มโกดัง
ยิ่งพิจารณาลงลึกถึงการเดินทางแต่ละครั้งครา ก็จะเห็นเพียงการลงนามแบบนามธรรมเท่านั้น โดยไม่มีอะไรที่จับต้องได้เลย ดูง่ายๆ การลงนามค้าขายข้าวที่เห็นเป็นรูปร่างมากที่สุด ก็เป็นเพียงสัญญาแบบกว้างๆ ที่จีนจะซื้อข้าวไทย 5 ล้านตันในเวลา 3 ปี แต่ไม่ได้กำหนดว่าเมื่อใดและอย่างไร ที่สำคัญไม่ใช่ผลจากการเยือนแดนมังกรของนายกฯ แต่เป็นการเดินทางมาเยือนไทยของนายเวินเจียเป่า นายกฯ จีน ต่างหาก
ฉะนั้นจึงน่าสนใจอย่างยิ่งว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลควรทบทวนการเดินทางของนายกฯ หรือจะทบทวนนโยบายจำนำข้าวเสียที เพราะหากยังปล่อยเวลาไปเรื่อยๆ ก็มีแต่ปัญหาที่จะหมักหมมมากขึ้น ซ้ำร้ายจะทำให้ไทยกลายเป็นขี้ปากชาวโลกเขาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ว่า นายกฯ ไปต่างประเทศแค่โชว์ตัวและช็อปปิ้งเท่านั้น หรือแค่นี้คนไทยก็ภูมิใจกันแล้ว.
http://www.thaipost....ws/060313/70506
อ่านแล้วรู้สึกเพลีย เสียดายเงินภาษีของชาติยิ่งนัก
หรือถ้าอยู่ครบ 4 ปีอาจมีข่าวดีว่า ประเทศไทยจะมีสถิติโลกใหม่ๆ
เกี่ยวกับนายกฯ?
ขยันเนอะ
บทบรรณาธิการ
6 March 2556
หากนับตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2554 ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีชุดแรกเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่จนถึงปัจจุบัน เรียกว่าใกล้ครบ 1 ปี 8 เดือนอยู่รอมร่อ ภารกิจที่เด่นชัดแบบออกหน้าออกตาของนายกรัฐมนตรีประการหนึ่ง นอกเหนือจากการเดินทางไปเป็นประธานตัดริบบิ้น และกดปุ่มเปิดงานต่างๆ ในประเทศแล้ว ก็คือ การเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ ทั่วโลก อย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
โลกของเราที่ 7 ทวีป 193 ประเทศนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางมาแล้วถึง 4 ทวีป ยกเว้นเพียง 3 ทวีป ที่นายกฯ ยังไม่ได้เหยียบย่างไป ได้แก่ ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอฟริกา และทวีปแอนตาร์กติกา แต่หากนับรายประเทศทั้ง 4 ทวีป ที่เธอไปยือนมาแล้ว ทั้งทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป และทวีปออสเตรเลียโอเชียเนีย ซึ่งมีทั้งหมด 127 ประเทศนั้น นายกฯ ของไทยได้ไปมาแล้ว 26 ประเทศ ประกอบด้วย บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมาร์, เวียดนาม, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, อินเดีย, สวิสเซอร์แลนด์, มาเลเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, จีน, บาห์เรน, กาตาร์, ออสเตรเลีย, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สหรัฐอเมริกา,คูเวต, บังกลาเทศ, ฮ่องกง, สวีเดน และเบลเยียม หรือคิดเป็น 20.47% เท่านั้น แต่หากคิดถึงกรอบเวลา 20 เดือน ที่นายกฯ เดินทางไปๆ มาๆ ใน 26 ประเทศ ที่หลายครั้งคราไปเยือนซ้ำทั้งสิ้น 37 ครั้งแล้ว เท่ากับนายกฯ ของไทยใช้เวลาในการอยู่ที่ประเทศไทยเพียง 1.85 เดือน แล้วชีพจรก็ลงเท้า
หากนับสถิติดังกล่าวข้างต้นเป็นบรรทัดฐานเฉลี่ยแล้ว ในระยะเวลา 4 ปีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯ ของไทยอาจต้องเดินไปนอกราชอาณาจักรเกือบ 89 ครั้ง และในอีก 52 ครั้งที่เหลือ อยู่กับระยะเวลากว่า 2 ปี นายกฯ ของไทยก็อาจเป็นนายกฯ คนแรกที่ไปเยือนครบทุกทวีป เรียกว่าสร้างสถิติใหม่ให้กับผู้นำประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์เช่นเดียวกับการเป็นนายกฯ หญิงคนแรกของการเมืองไทย!!!
เราไม่ปฏิเสธในการเดินทางไปเยือนต่างประเทศ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่ต้องทำหน้าที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ เพราะไทยเป็นประเทศเสรีเปิดกว้าง ไม่ใช่ประเทศปิดแต่ประการใด แต่คำถามที่ค้างคาอยู่ว่า การเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ ไทยนั้น ประเทศชาติได้ประโยชน์โพดผลสมกับภาษีของคนทั้งแผ่นดินที่สูญเสียหรือไม่ เพราะหากยึดตามคำที่ผู้ทรงเกียรติในสภาผู้แทนราษฎรเคยระบุว่า การเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้งจะใช้งบประมาณครั้งละประมาณ 13-15 ล้านบาท
แต่เราคิดแบบประหยัดๆ ตามนโยบายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ให้ถอดสูททำงานด้วยแล้ว ก็คิดเฉลี่ยประมาณ 10 ล้านบาทพอ เท่ากับการเยือนต่างประเทศ 37 ครั้ง เฉพาะตัวนายกฯ ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 370 ล้านบาท ยังไม่นับรวมบรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลที่เดินทางไปหลากหลายประเทศอีกต่างหาก และหากเธอเดินทางไปตามสถิติ 89 ครั้ง ก็เท่ากับภาษีของคนไทยทั้งประเทศต้องสูญหายไปถึง 890 ล้านบาท แต่ชาติกลับได้ภาพเพียงนายกฯ ใส่ชุดประจำชาติของประเทศที่ไปเยือน อย่างกรณีเยือนญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และบาห์เรน เท่านั้นหรือ หรือจะได้ภาพถ่ายกับสถานที่ขึ้นชื่อลือเลื่องอย่างการไปเยือนอินเดีย และฝรั่งเศสเท่านั้น ใช่หรือไม่
ต้องไม่ลืมว่า นายกฯ นอกจากเป็นหน้าตาของประเทศแล้ว ประการสำคัญของการเยือนต่างประเทศในระดับผู้นำประเทศอารยะในโลกการค้าเสรี คือการทำตัวเป็นตัวแทนพ่อค้าแม่ขายด้วย เรียกว่าการไปเยือนต่างประเทศไม่ใช่ไปแบบเสียเปล่า แค่แนะนำตัวเองสร้างภาพเท่านั้น แต่ต้องตักตวงผลประโยชน์ให้คนในชาติให้มากที่สุด ดูได้จากกรณีการเยือนประเทศต่างๆ ของผู้นำสหรัฐ ผู้นำจีน หรือผู้นำอื่นๆ ทั่วโลก และยิ่งประสบการณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เคยทำธุรกิจโทรคมนาคมมาแล้ว ก็ย่อมตระหนักเช่นกันว่า การเดินทางไปเยือนต่างประเทศเป็นโอกาสอันดีในการเปิดตลาดสินค้า หรือความร่วมมือที่จับต้องได้ เพราะคงไม่มีใครหน้าไหนที่ลงทุนนั่งหลังขดหลังแข็งบนเครื่องบินหลายสิบชั่วโมง เพียงแค่ไปถ่ายรูปอย่างหอไอเฟล ทัชมาฮาล และใส่ชุดกิโมโน และฮันบก เท่านั้นหรอก
แต่ในความเป็นจริงที่สะท้อนกลับมาจากแค่การเดินทางไปต่างประเทศ 37 ครั้งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เห็นชัดแจ้งว่าเป็นอย่างไร เพราะหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ คำนึงถึงการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ชาติอย่างแท้จริงแล้ว การเจรจาขายข้าวที่ค้างอยู่ในสต็อกตั้งแต่ฤดูกาลผลิตปี 2554/2555 คงไม่เหลือหลอแล้ว แต่ในสภาพความเป็นจริงข้าวยังเน่าและเก็บเต็มอยู่เต็มโกดัง
ยิ่งพิจารณาลงลึกถึงการเดินทางแต่ละครั้งครา ก็จะเห็นเพียงการลงนามแบบนามธรรมเท่านั้น โดยไม่มีอะไรที่จับต้องได้เลย ดูง่ายๆ การลงนามค้าขายข้าวที่เห็นเป็นรูปร่างมากที่สุด ก็เป็นเพียงสัญญาแบบกว้างๆ ที่จีนจะซื้อข้าวไทย 5 ล้านตันในเวลา 3 ปี แต่ไม่ได้กำหนดว่าเมื่อใดและอย่างไร ที่สำคัญไม่ใช่ผลจากการเยือนแดนมังกรของนายกฯ แต่เป็นการเดินทางมาเยือนไทยของนายเวินเจียเป่า นายกฯ จีน ต่างหาก
ฉะนั้นจึงน่าสนใจอย่างยิ่งว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลควรทบทวนการเดินทางของนายกฯ หรือจะทบทวนนโยบายจำนำข้าวเสียที เพราะหากยังปล่อยเวลาไปเรื่อยๆ ก็มีแต่ปัญหาที่จะหมักหมมมากขึ้น ซ้ำร้ายจะทำให้ไทยกลายเป็นขี้ปากชาวโลกเขาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ว่า นายกฯ ไปต่างประเทศแค่โชว์ตัวและช็อปปิ้งเท่านั้น หรือแค่นี้คนไทยก็ภูมิใจกันแล้ว.
http://www.thaipost....ws/060313/70506
อ่านแล้วรู้สึกเพลีย เสียดายเงินภาษีของชาติยิ่งนัก
หรือถ้าอยู่ครบ 4 ปีอาจมีข่าวดีว่า ประเทศไทยจะมีสถิติโลกใหม่ๆ
เกี่ยวกับนายกฯ?