-- เกือบสปอยล์ในส่วนที่ปิดไว้ --
หนังวิ่งหนีซอมบี้มีการสร้างออกมาเยอะมาก และ
World War Z ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่วิ่งหนีซอมบี้เช่นกัน ดังนั้นคำถามที่อยากรู้ก็คือ “แล้วความแตกต่างมันอยู่ตรงไหน?” คำตอบก็คือ “นั่นสิ ต่างกันตรงไหน!” ไม่ใช่สิ คำตอบที่แท้จริงหลังจากไปดูมาแล้วก็คือ “หนังกล่าวเรื่องราวดราม่าในครอบครัวด้วย” นี่แหละคือคำตอบ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ลึกซึ้งน้ำตาท่วมจอ แต่มันก็ไปได้ดีกับความตื่นเต้นของหนัง ดูมีอะไรที่จับต้องได้ มากกว่าแค่ ‘ยิงกบาล’ พวกซอมบี้เพียงอย่างเดียว
เริ่มเรื่องมา
World War Z ก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง หลังจากตัวละครหลักอิ่มหนำสำราญกับอาหารเช้า พลางขับรถออกจากบ้าน ซอมบี้ก็อาละวาดวิ่งพล่านกันทั่วเมืองแล้ว โดยฉากตอนแรกๆนี้ เกือบทุกฉากอยู่ในตัวอย่างหนังที่เราได้เห็นกันนั่นแหละ ตัดออกมาเป็นตัวอย่างหนังเป๊ะๆเลย ไม่ได้สับเปลี่ยนฉากไปมาอย่างตัวอย่างหนังเรื่องอื่น (แต่ความจริงก็มีสับเปลี่ยนเล็กน้อย) “เอ๊ะ! ขี้เกียจทำรึเปล่า” อาจจะไม่ได้ขี้เกียจหรอก คงจะให้คนดูได้ลำดับเหตุการณ์ถูก ที่น่าสนใจก็คือ ฉากเด็ดๆในตัวอย่างหนัง เช่น ฉากซอมบี้วิ่งกันพรวดพราดจนรถบรรทุกพลิก, ฉากซอมบี้ต่อเลโก้ข้ามกำแพง, ฉากซอมบี้สาดคลื่นลงกระได และฉากเครื่องบินรูโหว่ ไม่ใช่แค่ 4 ฉากนี้เท่านั้นที่ดูสนุกในหนัง เพราะยังมีฉากตื่นเต้นอื่นๆที่ไม่ได้ลงในตัวอย่าง แต่ก็น่าเสียดายที่ฉากอื่นๆที่เหลือไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างฉาก 4 ฉากที่กล่าวมาเท่าไร
ความน่าสนใจที่
World War Z กระตุ้นความสนใจจากคนดูก็คือ ซอมบี้วิ่งไวมาก และไม่ใช่แค่วิ่งไวเพียงอย่างเดียว แต่พวกนี้มีความสามารถในการเล่นกายกรรมต่อตัวกันไวปานสายฟ้าแล่บ! แป๊บเดียวก็ต่อตัวกันได้สูงลิบลิ่ว หรือถาโถมกันมาเป็นสึนามิในเวลาอันรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ลืมการเดินเอื่อยเฉื่อยแบบมาทีละตัว อย่างในหนังซอมบี้เรื่องอื่นๆไปได้เลย ถ้าไม่ได้พกอาวุธสงคราม หรือได้เหรียญทองลมกรดโอลิมปิค ก็รีบชิงฆ่าตัวตายก่อนซะเถอะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา!
นอกจากความโดดเด่นจะอยู่ที่เหล่า ‘ซอมบี้สึนามิ’ พวกนี้แล้ว หนังยังเพิ่มอารมณ์ดราม่าครอบครัวเข้ามาได้สอดคล้องกันดี นักแสดงนำหลักอย่าง
แบรด พิตต์ทำหน้าที่ในการดำเนินเรื่องได้ดีเช่นกัน น่าเสียดายที่อารมณ์ความเป็นหนังซอมบี้มันขาดหายไปนิดหน่อย นั่นก็คือความสยอง หนังเรื่องนี้ไม่ได้สยองอะไรเลย มีเพียงความตื่นเต้นพอเป็นกระสัย ส่วนดราม่าก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมาก ดังนั้นภาพรวมก็เลยออกมากลางๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ถ้าดูชิวๆ หนังก็ดูสนุกดี แต่ถ้าจะให้เจาะลึก หนังยังมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง โดยเฉพาะประเด็นในการหาต้นตอเชื้อซอมบี้ เหมือนยังไม่มีความร่วมมือกันเท่าไร ดูจะเป็นงานรายวัน ทำวันนี้จบก็จบ พรุ่งนี้ก็เริ่มทำอีกอย่าง นอกจากนั้น พระเอกก็ดูจะโดดเด่นเกินไป ทุกอย่างพระเอกทำหมด หาต้นตอพระเอกก็ทำ ได้คำตอบพระเอกก็เป็นคนเจอ ไม่กระจายความสำคัญให้ตัวละครอื่นเลย อย่างนี้ถ้าพระเอกตาย เรื่องก็จบเห่เลยสิ! ก็อย่างว่าแหละ แบรด พิตต์นี่นา ขนาดเรื่องนี้มีแมทธิว ฟ็อกซ์ มาเล่นด้วยนะ แต่กลายเป็นว่าได้บทเป็นตัวประกอบที่คนดูแทบจำไม่ได้เลย!
มาร์ค ฟอสเตอร์ ผู้กำกับถือว่าทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ดีพอประมาณ ได้ยินว่าฉบับหนังสือเขียนเอาได้ดีกว่านี้ แต่พอมาทำเป็นหนัง มีประเด็นที่น่าสนใจบางส่วนตกไป และไม่เน้นย้ำประเด็นที่มีอยู่ให้โดดเด่น แต่ก็ถือว่าหนังให้ความบันเทิงได้ดีในระดับหนึ่ง สุดท้ายไม่ต้องไปคิดมากหรอก นี่มันคือหนังวิ่งหนีซอมบี้ จุดประสงค์ของหนังแนวนี้ก็แค่
‘ถืออาวุธ’ — ‘เล็งเป้าหมาย’ – ‘ทำลายกบาล’ ใช่ป๊ะล่ะ!

ปล.สามมิติอยู่ในระดับปานกลาง
[CR] [ World War Z ซอมบี้สึนามิ] -- วิ่งหนีไม่ทัน ฆ่าตัวตายดีกว่า!
หนังวิ่งหนีซอมบี้มีการสร้างออกมาเยอะมาก และ World War Z ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่วิ่งหนีซอมบี้เช่นกัน ดังนั้นคำถามที่อยากรู้ก็คือ “แล้วความแตกต่างมันอยู่ตรงไหน?” คำตอบก็คือ “นั่นสิ ต่างกันตรงไหน!” ไม่ใช่สิ คำตอบที่แท้จริงหลังจากไปดูมาแล้วก็คือ “หนังกล่าวเรื่องราวดราม่าในครอบครัวด้วย” นี่แหละคือคำตอบ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ลึกซึ้งน้ำตาท่วมจอ แต่มันก็ไปได้ดีกับความตื่นเต้นของหนัง ดูมีอะไรที่จับต้องได้ มากกว่าแค่ ‘ยิงกบาล’ พวกซอมบี้เพียงอย่างเดียว
เริ่มเรื่องมา World War Z ก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง หลังจากตัวละครหลักอิ่มหนำสำราญกับอาหารเช้า พลางขับรถออกจากบ้าน ซอมบี้ก็อาละวาดวิ่งพล่านกันทั่วเมืองแล้ว โดยฉากตอนแรกๆนี้ เกือบทุกฉากอยู่ในตัวอย่างหนังที่เราได้เห็นกันนั่นแหละ ตัดออกมาเป็นตัวอย่างหนังเป๊ะๆเลย ไม่ได้สับเปลี่ยนฉากไปมาอย่างตัวอย่างหนังเรื่องอื่น (แต่ความจริงก็มีสับเปลี่ยนเล็กน้อย) “เอ๊ะ! ขี้เกียจทำรึเปล่า” อาจจะไม่ได้ขี้เกียจหรอก คงจะให้คนดูได้ลำดับเหตุการณ์ถูก ที่น่าสนใจก็คือ ฉากเด็ดๆในตัวอย่างหนัง เช่น ฉากซอมบี้วิ่งกันพรวดพราดจนรถบรรทุกพลิก, ฉากซอมบี้ต่อเลโก้ข้ามกำแพง, ฉากซอมบี้สาดคลื่นลงกระได และฉากเครื่องบินรูโหว่ ไม่ใช่แค่ 4 ฉากนี้เท่านั้นที่ดูสนุกในหนัง เพราะยังมีฉากตื่นเต้นอื่นๆที่ไม่ได้ลงในตัวอย่าง แต่ก็น่าเสียดายที่ฉากอื่นๆที่เหลือไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างฉาก 4 ฉากที่กล่าวมาเท่าไร
ความน่าสนใจที่ World War Z กระตุ้นความสนใจจากคนดูก็คือ ซอมบี้วิ่งไวมาก และไม่ใช่แค่วิ่งไวเพียงอย่างเดียว แต่พวกนี้มีความสามารถในการเล่นกายกรรมต่อตัวกันไวปานสายฟ้าแล่บ! แป๊บเดียวก็ต่อตัวกันได้สูงลิบลิ่ว หรือถาโถมกันมาเป็นสึนามิในเวลาอันรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ลืมการเดินเอื่อยเฉื่อยแบบมาทีละตัว อย่างในหนังซอมบี้เรื่องอื่นๆไปได้เลย ถ้าไม่ได้พกอาวุธสงคราม หรือได้เหรียญทองลมกรดโอลิมปิค ก็รีบชิงฆ่าตัวตายก่อนซะเถอะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา!
นอกจากความโดดเด่นจะอยู่ที่เหล่า ‘ซอมบี้สึนามิ’ พวกนี้แล้ว หนังยังเพิ่มอารมณ์ดราม่าครอบครัวเข้ามาได้สอดคล้องกันดี นักแสดงนำหลักอย่างแบรด พิตต์ทำหน้าที่ในการดำเนินเรื่องได้ดีเช่นกัน น่าเสียดายที่อารมณ์ความเป็นหนังซอมบี้มันขาดหายไปนิดหน่อย นั่นก็คือความสยอง หนังเรื่องนี้ไม่ได้สยองอะไรเลย มีเพียงความตื่นเต้นพอเป็นกระสัย ส่วนดราม่าก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมาก ดังนั้นภาพรวมก็เลยออกมากลางๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มาร์ค ฟอสเตอร์ ผู้กำกับถือว่าทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ดีพอประมาณ ได้ยินว่าฉบับหนังสือเขียนเอาได้ดีกว่านี้ แต่พอมาทำเป็นหนัง มีประเด็นที่น่าสนใจบางส่วนตกไป และไม่เน้นย้ำประเด็นที่มีอยู่ให้โดดเด่น แต่ก็ถือว่าหนังให้ความบันเทิงได้ดีในระดับหนึ่ง สุดท้ายไม่ต้องไปคิดมากหรอก นี่มันคือหนังวิ่งหนีซอมบี้ จุดประสงค์ของหนังแนวนี้ก็แค่ ‘ถืออาวุธ’ — ‘เล็งเป้าหมาย’ – ‘ทำลายกบาล’ ใช่ป๊ะล่ะ!
ปล.สามมิติอยู่ในระดับปานกลาง