เกร็ดสามก๊ก ๒๑ มิ.ย.๕๖

กระทู้สนทนา
เกร็ดสามก๊ก


กรรมของพ่อลูก

เล่าเซี่ยงชุน


ขณะที่โจโฉเป็นมหาอุปราชผู้โด่งดัง อยู่ในยุทธจักรสามก๊กนั้น ได้สุมาอี้บุตรของ สุมาหองเจ้าเมืองโฮโล่ มาเป็นที่ปรึกษา แต่ให้ควบคุมบัญชีทหารเลวทั้งปวง ทำนองเจ้ากรมกำลังสำรอง ไม่ค่อยจะได้ปรึกษาถึงเรื่องยุทธการสักเท่าใด แม้เมื่อโจโฉได้สิ้นชีวิตไปแล้ว พระเจ้าโจผี ฮ่องเต้องค์แรกของวุยก๊ก ก็ยังไม่ค่อยไว้ใจใช้สอยแต่อย่างใด

จนกระทั่งพระเจ้าโจผีสิ้นพระชนม์ จึงฝากฝังให้โจจิ๋น และสุมาอี้ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เอาใจใส่ทำนุบำรุงพระเจ้าโจยอยซึ่งรับราชสมบัติต่อเมื่อ พ.ศ.๗๗๐ แต่ทั้งสองไม่ค่อยจะปรองดองกัน เพราะโจจิ๋นถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ของโจผี

ขงเบ้งแม่ทัพใหญ่ของจ๊กก๊กได้ที จึงทำอุบายปิดประกาศเป็นทำนองว่า สุมาอี้จะคิดขบถ พระเจ้าโจยอยก็หลงเชื่อจึงถอดสุมาอี้ลงเป็นไพร่ และให้ไปอยู่ที่บ้านเก่า ขงเบ้งก็ยกกองทัพมาตีวุยก๊กเป็นครั้งแรก

พระเจ้าโจยอยส่งแฮหัวหลิมเป็นแม่ทัพ ออกไปสู้รบก็พ่ายแพ้แก่ขงเบ้ง จึงให้โจจิ๋นเป็นแม่ทัพออกไป ก็พ่ายแพ้แก่ขงเบ้งอีก พระเจ้าโจยอยจึงกลับแต่งตั้งให้สุมาอี้มียศอย่างเดิม และให้เป็นแม่ทัพ ยกทหารจากเมืองอ้วนเซียไปยันขงเบ้งที่เมืองเตียงฮัน สุมาอี้ก็ยกทัพไปปราบเบ้งตัดซึ่งเป็นขบถที่เมืองซงหยงก่อน และก็ยึดตำบลเกเต๋งที่มั่นสำคัญของขงเบ้งได้ แล้วก็มุ่งไปตีเมืองหลิวเซียต่อไป

ขณะนั้นโจจิ๋นซึ่งรักษาเมืองไปเซีย รู้ข่าวว่าสุมาอี้ตีได้เกเต๋งแล้ว ก็คิดว่าสุมาอี้มีความชอบในครั้งนี้เป็นอันมาก คิดจะทำการศึกแก้ตัวให้มีความชอบบ้าง จึงให้โกฉุยทหารเอกคุมทหารยกมาจะชิงเอาเมืองหลิวเซียให้ได้เสียก่อน แต่ก็ยังช้ากว่าสุมาอี้ เมื่อโกฉุยไปถึงกำแพงเมืองก็เห็นธงยี่ห้อสุมาอี้ปักอยู่แล้ว ตัวสุมาอี้ก็ยังยื่นหน้ามาสัพยอกว่า เป็นไฉนโกฉุยท่านจึงยกมาช้าล้าหลังฉะนี้เล่า และเมื่อโกฉุยเข้าไปคำนับแม่ทัพสุมาอี้ตามประเพณี สุมาอี้ก็สั่งให้โกฉุยกับโจจิ๋น ยกทหารติดตามไปจับตัวขงเบ้งมาให้ได้ โกฉุยจำต้องรับคำสั่งกลับมาบอกโจจิ๋น

ส่วนตัวสุมาอี้ก็ยกกองทัพจะไปตีเมืองเสเสีย ซึ่งขงเบ้งเก็บเสบียงอาหารไว้เป็นอันมาก แล้วจะได้เลยไปยึดเมืองลำอั๋น เมืองเทียนซุย ที่อยู่ใกล้เคียงด้วย แต่ก็แพ้กลอุบายของขงเบ้ง ที่ให้ทหารขนเสบียงอาหารออกไปจนหมดสิ้น และให้รื้อถอนธงที่ปักไว้บนกำแพงลงเสีย กับให้เปิดประตูเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน แล้วให้ทหารที่มีอยู่ไม่มาก แอบซ่อนตัวเสียให้หมดไม่ส่งเสียงอื้ออึง เหลือแต่คนกวาดพื้นไว้เพียงยี่สิบคน ส่วนตนเองกับเด็กน้อยถือกระบี่คนหนึ่ง และถือแซ่อีกคนหนึ่ง ขึ้นไปนั่งดีดกระจับปี่อยู่บนหอรบ ไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือนแต่ประการใด สุมาอี้เกรงกลลวงของขงเบ้ง จึงไม่กล้าบุกเข้าไปในเมือง ต้องถอนทหารกลับ พอมาถึงเขาบุกองสันก็ถูกดักโจมตีจนระส่ำระสายไป

ฝ่ายโจจิ๋นรู้ข่าวว่าขงเบ้งเลิกทัพ ก็รีบตามไปแต่ก็ถูกดักโจมตี จนแตกพ่ายไปเช่นเดียวกัน ส่วนโกฉุยตามไปอีกทางหนึ่ง พบกับจูล่งทหารเอกของขงเบ้งตั้งยันอยู่ ก็เกรงฝีมือไม่สามารถที่จะบุกต่อไปได้ ต้องยกกลับมารวมกับโจจิ๋น

ส่วนสุมาอี้ภายหลังทราบว่าขงเบ้งทิ้งเมืองเสเสียแล้ว จึงเข้าไปยึดไว้ได้ และการสงครามครั้งนี้ สุดท้ายขงเบ้งก็ต้องกลับไปเมืองฮันต๋ง และสุมาอี้ก็กลับไปเมืองลกเอี๋ยง ไม่มีผู้แพ้และชนะอย่างแท้จริง

จนกระทั่งขงเบ้งยกกองทัพมารบวุยก๊กเป็นครั้งที่สอง โจจิ๋นก็ขออาสาออกไปตั้งรับที่ตำบลตันฉอง คราวนี้ถูกเกียงอุยนายทหารเอกของวุยก๊ก ที่ไปเข้าเป็นพวกขงเบ้งมีหนังสือมาหลอก ให้เข้าโจมตีกองทัพของจ๊กก๊ก แต่ปีเอียวนายทหารใหญ่ขออาสาคุมพลไปแทน จึงถูกล้อมหลายด้านไม่สามารถหักออกได้ ต้องเอากระบี่เชือดคอตายไป

เมื่อพระเจ้าโจยอยทราบข่าวก็ปรึกษากับสุมาอี้ และมีรับสั่งให้โจจิ๋นตั้งยันข้าศึกไว้ไม่ต้องออกรบ แต่โจจิ๋นรู้ว่าเป็นความคิดของสุมาอี้ จึงไม่ยอมเชื่อฟังและวางอุบายเอาเกวียนเสบียงไปล่อ จะเผาทหารของขงเบ้ง กลับถูกขงเบ้งซ้อนกลล้อมเผากองเสบียงนั้นเสีย ทหารของโจจิ๋นก็แตกพ่ายไป แล้วขงเบ้งก็ยกทัพกลับเมืองฮันต๋งด้วยความปลอดภัย

ต่อมาถึง พ.ศ.๗๗๒ ขงเบ้งก็ยกกองทัพจ๊กก๊กไปตีวุยก๊กเป็นครั้งที่สาม พระเจ้าโจยอยก็แต่งตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ สู้รบกับขงเบ้งเป็นสามารถหลายยก สุดท้ายเตียวเปาบุตรเตียวหุยถึงแก่ความตาย ขงเบ้งเสียใจอาเจียนเป็นโลหิตแล้วป่วย ต้องยกทัพกลับ พระเจ้าโจยอยก็ให้โจจิ๋นกับสุมาอี้ยกทัพไปตีจ๊กก๊กบ้าง แต่ยกไปในฤดูฝนเมื่อถึงตำบลตันฉองก็มิได้เห็นผู้คนเหย้าเรือนเหลืออยู่เลย สอบถามได้ความว่า เมื่อกองทัพจ๊กก๊กถอยกลับไปเมืองเสฉวนนั้น ได้อพยพผู้คนและเผาบ้านเรือและเสบียงเสียสิ้น

โจจิ๋นกับสุมาอี้ก็พักกองทัพอยู่ประมาณสิบวัน ฝนก็ตกหนักติดต่อกันถึงสามสิบวัน น้ำท่วมลึกประมาณสามศอก เสบียงอาหารก็เสียหายสิ้น ทแกล้วทหารทั้งหลายไม่มีที่จะนั่งนอน ได้ความลำบากยากแค้นมาก ความทราบถึงพระเจ้าโจยอย จึงมีรับสั่งให้ยกทัพกลับเมือง ลกเอี๋ยง ระหว่างที่กองทัพวุยก๊กถอยนั้น ขงเบ้งก็มิได้แต่งทหารตามมาแต่ประการใด โจจิ๋นก็เกิดความประมาท แต่สุมาอี้คาดว่าขงเบ้งจะต้องยกมาที่เขากิสานแน่ ทั้งสองจึงแยกทางกัน และพนันกันว่า ถ้าขงเบ้งไม่ยกมาในสิบวัน สุมาอี้ยอมให้โจจิ๋นเอาแป้งทาหน้า และแต่งตัวเป็นผู้หญิงให้อายแก่ทหารทั้งปวง โจจิ๋นก็ว่าถ้าขงเบ้งยกมาดังว่า ตนก็จะเอาเครื่องประดับหยก และม้าดีที่ฮ่องเต้พระราชทานั้นให้สุมาอี้เป็นรางวัล แล้วโจจิ๋นก็แยกไปรักษาด่านจำก๊กด้านตะวันตก ส่วนสุมาอี้ไปรักษาด่านกิก๊กด้านตะวันออก

แล้วขงเบ้งก็ยกทัพมาถึงและเข้าตีด่านจำก๊กของโจจิ๋นแตก ต้องหนีมาอาศัยด่าน กิก๊กของสุมาอี้ โดยเหลือทหารเพียงห้าสิบคนเท่านั้น แล้วสุมาอี้ก็ถอยทัพไปตั้งอยู่ที่แม่น้ำอุยโห ส่วนโจจิ๋นนั้นอายสุมาอี้จนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถึงกับล้มป่วยลงต้องพักรักษาตัวอยู่ในค่ายนั้น ขงเบ้งรู้ข่าวก็ให้ชาวบ้านถือหนังสือมาให้โจจิ๋น ซึ่งกำลังป่วยหนักอยู่ มีข้อความเป็นการเยาะเย้ยโจจิ๋น ที่ต้องพ่ายแพ้แก่ตนอย่างยับเยิน โจจิ๋นอ่านแล้วก็โกรธเป็นกำลัง โรคซึ่งป่วยก็กำเริบหนักขึ้น ถึงแก่ความตายในคืนนั้นเอง

หลังจากที่โจจิ๋นถึงแก่ความตายไปแล้ว ขงเบ้งก็รบรับขับเคี่ยวกับสุมาอี้ต่อไปอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะแก่กันได้ ครั้งสุดท้ายขงเบ้งป่วยและถึงแก่ความตาย ในระหว่างการรบ เมื่อ พ.ศ.๗๗๗ การศึกสงครามของวุยก๊กและจ๊กก๊ก จึงระงับไปถึงหกปี จนพระเจ้าโจยอย สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.๗๘๓

ขณะนั้นสุมาอี้ได้เป็นมหาอุปราชของวุยก๊ก ก่อนที่พระเจ้าโจยอยจะสิ้นพระชนม์ ได้ฝากโจฮอง พระราชบุตรเลี้ยงอายุแปดขวบ ให้สืบราชสมบัติ และให้นับถือสุมาอี้เหมือนบิดา กับให้โจซองบุตรของโจจิ๋น เป็นผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ แต่เมื่อมีราชการสิ่งใดโจซองก็ปรึกษาหารือกับสุมาอี้ ก่อนตัดสินใจทุกเรื่อง

โจซองนั้นมีคนสนิทอยู่ห้าคน และมีทหารอารักขาห้าร้อยคน วันหนึ่งคนสนิทที่ชื่อโฮอั๋นก็บอกว่า

“……ตัวท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ พระเจ้าโจยอยก็ให้เป็นผู้ช่วยราชการ ข้าพเจ้าเห็น สุมาอี้มีใจกำเริบสูงศักดิ์อยู่ ซึ่งท่านจะไปคำนับสุมาอี้นั้นไม่ควร……”

โจซองก็ตอบว่า

“……สุมาอี้ก็เป็นที่อุปราช ตัวเราเป็นผู้ช่วยราชการ พระเจ้าโจยอยก็ได้สั่งไว้ให้ประนอมกัน ทำนุบำรุงบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข สุมาอี้นั้นก็มีอายุแก่กว่าเรา ซึ่งจะมิให้เราคำนับเขานั้นไม่ควร…….”

โฮอั๋นก็แย้งว่า

“……โจจิ๋นบิดาท่านครั้งไปรบกับกองทัพเมืองเสฉวนนั้น ก็ได้ความแค้นเพราะ สุมาอี้ จนบิดาท่านถึงแก่ความตาย แลตัวท่านจะไม่มีความแค้น ไปคำนับสุมาอี้นั้น ควรอยู่แล้วหรือ ……..”

โจซองก็ปรึกษากับพรรคพวก หาทางที่จะไม่ให้สุมาอี้มีอำนาจ บังคับบัญชาพวกตน แล้วจึงทูลพระเจ้าโจฮองว่า สุมาอี้มีความชอบเป็นอันมาก ขอให้เลื่อนที่ขึ้นเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ เพื่อจะได้สั่งสอนฮ่องเต้และขุนนางทั้งปวง ฮองเต้ก็ให้เลื่อนสุมาอี้ตามที่โจซองเสนอ และตั้งโจซองเป็นที่อุปราชแทน โจซองก็ตั้งคนสนิททั้งห้าเป็นที่ปรึกษา และให้น้องชายสามคนเป็นนายทหารเอก กับนายทหารซ้ายขวา เวลาเข้าเฝ้ามีทหารแห่สามพัน แม้ผู้ใดเดินผ่านหน้าก็ให้จับตัวเอาไปฆ่าเสีย

โจซองนั้นแต่งตัวเหมือนพระเจ้าโจฮอง ถ้ามีเครื่องบรรณาการจากหัวเมืองมาถวายฮ่องเต้ โจซองก็เลือกเอาของดีไว้ตามชอบใจ และให้จัดหญิงบรรดารูปงามมีตระกูล มาไว้ขับร้องบำเรอประมาณสี่สิบคน โจซองกับที่ปรึกษาห้าคน ก็ชวนกันเสพสุราทุกวันมิได้ขาด สุมาอี้เห็นดังนั้นก็แกล้งลาป่วยมิได้เข้าเฝ้า และสุมาสูกับสุมาเจียวบุตรของสุมาอี้ ก็ชวนกันลาออกจากราชการ กลับไปอยู่บ้าน

พระเจ้าโจฮองเสวยราชมาได้สิบปีถึง พ.ศ.๗๙๒ โจซองก็เป็นใหญ่ขุนนางทั้งปวงอยู่ในเงื้อมมือสิ้น ก็มีใจกำเริบทำการหยาบช้าต่าง ๆ ไม่มีใครกล้าขัดขวาง เมื่อมีขุนนางได้รับการแต่งตั้งให้ไปอยู่ตามหัวเมือง ก็ให้ไปลาสุมาอี้และดูอาการว่าป่วยจริงหรือไม่ ขุนนางก็กลับมารายงานว่า สุมาอี้นั้นป่วยหนักพูดจาฟั่นเฟือน หูก็ตึงพูดไม่ได้ยิน เวลากินอาหารก็สะอึก กินไม่ลงหกเลอะเทอะ เวลานอนก็หอบนอนไม่สะดวก โจซองก็เชื่อว่าสุมาอี้ป่วยจริงรอเวลาที่จะตายเท่านั้น

วันหนึ่งโจซองก็เชิญเสด็จพระเจ้าโจฮองและขุนนางทั้งปวง ออกไปเซ่นศพพระเจ้าโจยอยที่ตำบลโกเบงเหลง แล้วจะเลยไปล่าสัตว์ด้วย คนสนิททั้งห้าและน้องชายทั้งสาม ก็ร่วมขบวนไปด้วย ฮวนห้อมขุนนางกรมนาที่รักใคร่สนิทกับโจซองก็ทักท้วงว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่จะพาพี่น้องออกมา นอกเมืองนี้ไม่ควร เกลือกจะมีอันตรายขึ้นในเมือง เห็นจะป้องกันไม่ทันที โจซองก็โกรธตวาดเอาว่า

“……..ขุนนางทั้งปวงอยู่ในเงื้อมมือเราสิ้น ผู้ใดจะบังอาจเป็นขบถได้ อย่ามาว่ามากมายเลย…….”

ว่าแล้วก็นำขบวนออกไปตามกำหนดการ

ขณะที่โจซองเซ่นศพฮ่องเต้องค์ก่อน แล้วเที่ยวล่าสัตว์อยู่ในป่า ก็มีทหารมาบอกว่า บัดนี้ในเมืองเกิดวุ่นวาย สุมาอี้จึงให้คนถือหนังสือมาถวายพระเจ้าโจฮอง เนื้อความประการใดมิได้แจ้ง

โจซองก็ตกใจลงจากหลังม้ารีบไปเฝ้าฮ่องเต้ เห็นคนถือหนังสือหมอบอยู่ จึงรับเอาหนังสือส่งให้เจ้าพนักงานอ่านถวาย หนังสือของสุมาอี้นั้นกล่าวโทษโจซองเป็นข้อใหญ่ ว่าจะคิดขบถต่อแผ่นดิน และลงท้ายว่า

อนึ่งพี่น้องแลทหารพรรคพวกโจซอง คุมเหงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลราษฎรทั้งปวง ได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก โจซองทำทั้งนี้หาคิดถึงคำพระบิดาของพระองค์ซึ่งฝากไว้ไม่เลย อันตัวข้าพเจ้าหาลืมคำสั่งพระบิดาของพระองค์ไม่ ข้าพเจ้า กับเจียวเจ้ สุมาหู รำลึกถึงคุณพระบิดาของพระองค์ ซึ่งชุบเลี้ยงมาแต่ก่อน จึงปรึกษาพร้อมกันจัดแจงให้ทหาร ไปรักษาจวนของโจซองและจวนของพี่น้องโจซอง ข้าพเจ้าจึงเข้าไปทูลเนื้อความทั้งนี้แก่พระมารดาของพระองค์ พระมารดาของพระองค์ก็เห็นชอบด้วย จึงให้ข้าพเจ้าทำเรื่องนี้มากราบทูลแก่พระองค์ ข้าพเจ้าจึงให้ห้องหวุนเอาเรื่องมาถวาย

ขอให้พระองค์ถอดโจซอง โจอี้ โจหุ้น ออกจากที่ แล้วให้ยกเอาทหารทั้งปวงไปเป็นของหลวง ข้าพเจ้าคอยหาช่องมาพึ่งมาได้ทีครั้งนี้ ข้าพเจ้าคิดอ่านทำการทำนุบำรุงพระองค์ ข้าพเจ้าก็ยกกองทหารมารักษาอยู่ ณ เชิงสะพานแพตำบลลกโห คอยดูผิดแลชอบ

พระเจ้าโจฮองได้ฟังดังนั้นจึงตรัสแกโจซองว่า ท่านจะคิดประการใด โจซองแจ้งดังนั้นก็ตกใจนักหน้าเผือดไม่มีเลือด อ่อนระทวยไปทั้งตัวจึงเหลียวหน้ามาปรึกษาโจอี้ว่า ความทุกข์มีมาถึงครั้งนี้ จะคิดอ่านแก้ไขประการใด โจอี้ก็ว่า

“……สุมาอี้คนนี้มีสติปัญญาความคิดมากนัก จนถึงขงเบ้งซึ่งเป็นคนดีหลักแหลมนัก ก็หามีชัยชนะแก่สุมาอี้ไม่ เราพี่น้องเท่านี้จะรู้ที่จะคิดอ่านแก้ไขประการใด ควรที่จะมัดตัวเข้าไปหาเขา ยอมให้ทำโทษเห็นจะรอดชีวิต……”

พอดีมีพรรคพวกของโจซองที่หนีออกจากเมืองมาได้ โจซองก็ถามถึงการในเมือง ก็ได้ความว่า สุมาอี้ส่งกำลังไปล้อมบ้านของโจซองและพี่น้องไว้ทุกคน และยึดคลังแสงที่รักษาอาวุธไว้หมด กับปิดประตูเมืองและให้ทหารรักษาประตูกับสะพานข้ามไว้มั่นคง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่