< Enough : เศรษฐกิจพอเพียงในมุมมองโลกตะวันตก >
ฮารุกิมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่มีคนไทยคนไหนที่จะไม่รู้จักคำว่า 'เศรษฐกิจพอเพียง' ดังนั้นก็เลยคิดว่า ฮารุกิเองน่าจะเขียนเล่าเรื่องนี้ต่อไปได้ โดยไม่ต้องมาท้าวความให้ยาวยืดว่า เศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร...
ซึ่งที่มาเขียนในนคราวนี้ อันที่จริงก็เป็นเวลานานหลายเดือนแล้ว นับจากที่ฮารุกิได้อ่านหนังสือที่ชื่อ "Enough : หยุดให้เป็น หลุดพ้นจากโลกที่ไม่รู้จักพอ" ที่เขียนโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ จอห์น แนช (สะกดว่า John Naish ไม่ใช่ John Nash ที่เป็นนักคณิตศาสตร์รางวัลโนเบล ต้นกำเนิดของเรื่อง A Beautiful Mind ) ที่อาจจะเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า แม้กระทั่งในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของบิดาเศรษฐกิจทุนนิยมอย่าง อดัม สมิธ ก็มีเริ่มมีกระแสของการตั้งคำถามถึงความถูกต้องของปรัชญาเศรษฐศาสตร์กระแสหลักในปัจจุบันเช่นกัน
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นแปดตอนหลักๆ ครับ ที่ผู้เขียนจะนำเราไปสำรวจถึงความมากเกินไปของคนเรา 7 ด้าน ได้แก่ ข้อมูลข่าวสาร, อาหาร. ข้าวของ (บ้าหอบฟาง), การงาน, ทางเลือก, และการเติบโตทางเศรษฐกิจ (ความเติบใหญ่)
ตอนที่ดูจะเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ในระดับมหภาคมากที่สุด ก็คงเป็นบทที่ 7 ว่าด้วยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนี่แหละครับ
ปัจจุบันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เวลาฟังข่าวเศรษฐกิจ ก็จะมีการรายงานถึงตัวเลข GDP ของแต่ละประเทศ เราจะดีใจหาก GDP ของประเทศเราขยายตัวสูงขึ้น และเราก็มองโดยอัตโนมัติว่าการลดลงของ GDP หมายถึงความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจ
แต่น่าสนใจว่า แม้กระทั่งลอร์ดเมย์นาร์ด คีนส์ หนึ่งในเจ้าพ่อของเศรษฐศาสตร์มหภาพยุคใหม่ ยังไม่ได้คาดหวังว่าเศรษฐกิจของโลก ที่วัดด้วยค่า GDP หรืออะไรก็ตามจะขยายตัวต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เขาบอกว่า เมื่อวันที่เราก้าวผ่านปัญหาการจัดการทรัพยากรแล้ว คนเราจะหวนกลับไปหา "หลักการที่มั่นใจและแน่นอนที่สุดทางศาสนาและคุณงามความดีตามประเพณี"
แต่ก็น่าเสียดายไป ดูเหมือนโลกของเราจะยังไม่ได้ก้าวข้าม "จุดนั้น" ของคีนส์ ไปสักที
ทั้งหมดนี้อาจนำมาซึ่งคำถาม 2 ประการ ทำไมเศรษฐกิจของโลกจึงขยายตัวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่ได้? ทำไม GDP ถึงไม่ได้บอกทุกอย่าง?
คำถามแรกนั้นตอบง่ายกว่ามาก ในหนังสือ Enough เล่มนี้สรุปไว้เพียงประโยคเดียวอย่างน่าประทับใจ (สำหรับฮารุกิ) มากที่สุด ว่าเพราะ "สมมติฐานเดิมของทฤษฎีทางเศรษศาสตร์ คือ ทรัพยากรของโลกมีอยู่อย่างไม่จำกัด" ซึ่งในศตวรรษนี้ ปัญภัยพิบัติ โลกร้อน ภัยธรรมชาติทั้งหลายก็คงทำให้เราพอจะตระหนักได้แล้วว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริงเลย ดังนั้น เราจึงไม่อาจมีศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ (ในที่นี้หมายถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ซึ่งตัดผลกระทบของเงินเฟ้อออกไปแล้ว) เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายถึงเราต้องผลิต และบริโภคมากขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในโลกที่มีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัดใบนี้
ส่วนคำถามข้อที่สอง ถ้าจะตอบให้กำปั้นทุบดินเลย ก็คงต้องบอกว่า เป็นเพราะ GDP ไม่ได้รวมไปทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าจะมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คงเป็นตัวอย่างที่ Annie Leonard ยกไว้ในหนังสือ Story of Stuff ว่า ลองนึกดูว่ามีชาวสวนคนหนึ่ง เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา แล้วก็ปลูกผัก ถ้าตอนแรก ชาวสวนคนนี้ ซื้ออาหารไก่ ซื้ออาหารปลา ซื้อปุ๋ยเคมีมาใส่ผัก ค่าอาหารไก่ อาหารปลา และปุ๋ยเคมี ก็จะถูกนับรวมลงไปใน GDP ด้วย แต่ถ้าวันหนึ่งชาวสวนคนนี้เกิดเปลี่ยนใจ เอาขี้ไก่มาเป็นอาหารปลา มาเป็นปุ๋ยให้ผัก ชาวสวนคนนี้ก็จะไม่ต้องซื้ออาหารปลา ไม่ต้องซื้อปุ๋ย ซึ่งถ้าหากมองในแง่ของตัวเลข GDP แล้ว มันก็จะลดลง ทั้งๆ ที่คิดด้วย common sense ง่ายๆ ก็รู้แล้วว่า ทางเลือกหลังนี่มันเป็นอะไรที่ยั่งยืนกว่าเห็นๆ
แต่ก็อย่างที่เกริ่นไปแต่แรกแล้วหละครับ ว่าหนังสือเล่มนี้ แนชไม่ได้พูดถึงความพอเพียงแค่ในแง่ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เรื่องแรกที่เขาพูดถึง และน่าเข้ากับสังคมในยุค 3G อย่างปัจจุบันเป็นอย่างมากก็คือ เรื่องของการ "พอแล้วกับข้อมูลข่าวสาร (Information)"
ประโยคนี้อาจจะโดนใจใครหลายคนก็ได้ครับ
"ทุกที่ที่คุณหันไปดู ทุกครั้งที่คุณรับฟัง จะมีใครสักคนกำลังพยายามเรียกร้องความสนใจของคุณอยู่ เซลล์สมองของคุณกำลังโดนสื่อการตลาดโจมตีกระหน่ำ และโดนยัดเยียดด้วยการจัดวางสินค้าเพื่อการโฆษณา"
คิดว่ามันจริงบ้างไหมครับ ในเมื่อทุกวันนี้ การโฆษณาแปะไปอยู่ในทุกที่ ทุกซอกทุกมุม ทั้งด้านข้างรถเมล์ ด้านหลังเบาะที่นั่งรถเมล์ แบนเนอร์ข้างเว็บต่างๆ ยังไม่นับป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายต่างๆ (ที่บางครั้งก็ต่อขึ้นไปจากหลังคาบ้านของใครบางคน)
จนหลายครั้งก็อาจทำให้เรารู้สึกว่า อยากหนีไปดาวพลูโต เหมือนอย่างในเรื่องสั้นเรื่อง "บริโภคนิยม ของ วินทร์ เลียววารินทร์"
และที่ซ้ำร้ายคือ เมื่อเราไม่เข้าใจในข้อมูลที่เราถูกกระหน่ำเข้ามา เราก็จะหาข้อมูลเพิ่มขึ้นอีกเพื่อทำความเข้าใจข้อมูลนั้น จนท้ายที่สุด ก็เกิดภาวะที่เรียกว่า IFS (Information fatigue syndrome)
เราเพียรเฝ้าหาข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนลืมไปว่า เราสามารถหมดเวลาไปทั้งวันได้ด้วยการพยายามหาคำยืนยันว่า "เอลวิสยังคงตายอยู่" เพราะเราถูกทำให้เชื่อว่า เราจะต้องอัพเดตข้อมูลทุกๆ เรื่องอยู่ในทุกๆ วินาที เหมือนที่ในช่วงนี้ แอพพลิเคชั่นทันข่าวต่างๆ แพร่หลายในโทรศัพท์ชนิดสมาร์ตโฟน
แต่นอกเหนือจากเรื่องข้อมูลข่าวสารแล้ว เรายัง "ไม่บันยะบันยัง" กับเรื่องอื่นอยู่อีกหรือเปล่า
ไม่มีข้อสงสัยสำหรับเรื่องอาหาร เมื่อเราต่างตระหนักในความจริงที่ว่า โรคอ้วนลงพุง ภาวะโภชนาเกิน กำลังคุมคามปัญหาสุขภาพของทั้งเด็กและผู้ใหญ่
และก็มีคนมากพอบนโลกนี้ที่สะสมสิ่งของมากเสียจนธุรกิจ "ให้เช่าโกดังเก็บของสำหรับคนทั่วไป" เฟื่องฟูขึ้นมาในหลายประเทศของซีกโลกตะวันตก
มีเพียงเรื่องเดียวที่ฮารุกิไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแนช (ผู้เขียนหนังสือ) คือ สิ่งที่ผู้เขียนดูเหมือนจะบอกว่า การจ่ายยาต้านซึมเศร้านั้น เป็นเรื่องที่เกินความจำเป็น
เพราะฮารุกิยังเชื่อ (และก็มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างที่สนับสนุนด้วย) ว่าโรคซึมเศร้า (รวมทั้งโรคทางจิตเวชอื่นๆ ) เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง และเมื่อมันรุนแรงถึงขั้นเข้าเกณฑ์วินิจฉัย (การวินิจฉัยโรคทางจิตเวชแทบทุกโรคมีเกณฑ์ในการวินิจฉัยอยู่) ก็สมควรจะได้รับการรักษาด้วยยา
รู้สึกว่าจะพูดมายาวเกิน "พอ" แล้วหละครับ ขออนุญาตตัดจบตรงนี้ดีกว่า
Enough : เศรษฐกิจพอเพียงในมุมมองโลกตะวันตก
ฮารุกิมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่มีคนไทยคนไหนที่จะไม่รู้จักคำว่า 'เศรษฐกิจพอเพียง' ดังนั้นก็เลยคิดว่า ฮารุกิเองน่าจะเขียนเล่าเรื่องนี้ต่อไปได้ โดยไม่ต้องมาท้าวความให้ยาวยืดว่า เศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร...
ซึ่งที่มาเขียนในนคราวนี้ อันที่จริงก็เป็นเวลานานหลายเดือนแล้ว นับจากที่ฮารุกิได้อ่านหนังสือที่ชื่อ "Enough : หยุดให้เป็น หลุดพ้นจากโลกที่ไม่รู้จักพอ" ที่เขียนโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ จอห์น แนช (สะกดว่า John Naish ไม่ใช่ John Nash ที่เป็นนักคณิตศาสตร์รางวัลโนเบล ต้นกำเนิดของเรื่อง A Beautiful Mind ) ที่อาจจะเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า แม้กระทั่งในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของบิดาเศรษฐกิจทุนนิยมอย่าง อดัม สมิธ ก็มีเริ่มมีกระแสของการตั้งคำถามถึงความถูกต้องของปรัชญาเศรษฐศาสตร์กระแสหลักในปัจจุบันเช่นกัน
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นแปดตอนหลักๆ ครับ ที่ผู้เขียนจะนำเราไปสำรวจถึงความมากเกินไปของคนเรา 7 ด้าน ได้แก่ ข้อมูลข่าวสาร, อาหาร. ข้าวของ (บ้าหอบฟาง), การงาน, ทางเลือก, และการเติบโตทางเศรษฐกิจ (ความเติบใหญ่)
ตอนที่ดูจะเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ในระดับมหภาคมากที่สุด ก็คงเป็นบทที่ 7 ว่าด้วยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนี่แหละครับ
ปัจจุบันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เวลาฟังข่าวเศรษฐกิจ ก็จะมีการรายงานถึงตัวเลข GDP ของแต่ละประเทศ เราจะดีใจหาก GDP ของประเทศเราขยายตัวสูงขึ้น และเราก็มองโดยอัตโนมัติว่าการลดลงของ GDP หมายถึงความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจ
แต่น่าสนใจว่า แม้กระทั่งลอร์ดเมย์นาร์ด คีนส์ หนึ่งในเจ้าพ่อของเศรษฐศาสตร์มหภาพยุคใหม่ ยังไม่ได้คาดหวังว่าเศรษฐกิจของโลก ที่วัดด้วยค่า GDP หรืออะไรก็ตามจะขยายตัวต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เขาบอกว่า เมื่อวันที่เราก้าวผ่านปัญหาการจัดการทรัพยากรแล้ว คนเราจะหวนกลับไปหา "หลักการที่มั่นใจและแน่นอนที่สุดทางศาสนาและคุณงามความดีตามประเพณี"
แต่ก็น่าเสียดายไป ดูเหมือนโลกของเราจะยังไม่ได้ก้าวข้าม "จุดนั้น" ของคีนส์ ไปสักที
ทั้งหมดนี้อาจนำมาซึ่งคำถาม 2 ประการ ทำไมเศรษฐกิจของโลกจึงขยายตัวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่ได้? ทำไม GDP ถึงไม่ได้บอกทุกอย่าง?
คำถามแรกนั้นตอบง่ายกว่ามาก ในหนังสือ Enough เล่มนี้สรุปไว้เพียงประโยคเดียวอย่างน่าประทับใจ (สำหรับฮารุกิ) มากที่สุด ว่าเพราะ "สมมติฐานเดิมของทฤษฎีทางเศรษศาสตร์ คือ ทรัพยากรของโลกมีอยู่อย่างไม่จำกัด" ซึ่งในศตวรรษนี้ ปัญภัยพิบัติ โลกร้อน ภัยธรรมชาติทั้งหลายก็คงทำให้เราพอจะตระหนักได้แล้วว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริงเลย ดังนั้น เราจึงไม่อาจมีศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ (ในที่นี้หมายถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ซึ่งตัดผลกระทบของเงินเฟ้อออกไปแล้ว) เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายถึงเราต้องผลิต และบริโภคมากขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในโลกที่มีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัดใบนี้
ส่วนคำถามข้อที่สอง ถ้าจะตอบให้กำปั้นทุบดินเลย ก็คงต้องบอกว่า เป็นเพราะ GDP ไม่ได้รวมไปทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าจะมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คงเป็นตัวอย่างที่ Annie Leonard ยกไว้ในหนังสือ Story of Stuff ว่า ลองนึกดูว่ามีชาวสวนคนหนึ่ง เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา แล้วก็ปลูกผัก ถ้าตอนแรก ชาวสวนคนนี้ ซื้ออาหารไก่ ซื้ออาหารปลา ซื้อปุ๋ยเคมีมาใส่ผัก ค่าอาหารไก่ อาหารปลา และปุ๋ยเคมี ก็จะถูกนับรวมลงไปใน GDP ด้วย แต่ถ้าวันหนึ่งชาวสวนคนนี้เกิดเปลี่ยนใจ เอาขี้ไก่มาเป็นอาหารปลา มาเป็นปุ๋ยให้ผัก ชาวสวนคนนี้ก็จะไม่ต้องซื้ออาหารปลา ไม่ต้องซื้อปุ๋ย ซึ่งถ้าหากมองในแง่ของตัวเลข GDP แล้ว มันก็จะลดลง ทั้งๆ ที่คิดด้วย common sense ง่ายๆ ก็รู้แล้วว่า ทางเลือกหลังนี่มันเป็นอะไรที่ยั่งยืนกว่าเห็นๆ
แต่ก็อย่างที่เกริ่นไปแต่แรกแล้วหละครับ ว่าหนังสือเล่มนี้ แนชไม่ได้พูดถึงความพอเพียงแค่ในแง่ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เรื่องแรกที่เขาพูดถึง และน่าเข้ากับสังคมในยุค 3G อย่างปัจจุบันเป็นอย่างมากก็คือ เรื่องของการ "พอแล้วกับข้อมูลข่าวสาร (Information)"
ประโยคนี้อาจจะโดนใจใครหลายคนก็ได้ครับ
"ทุกที่ที่คุณหันไปดู ทุกครั้งที่คุณรับฟัง จะมีใครสักคนกำลังพยายามเรียกร้องความสนใจของคุณอยู่ เซลล์สมองของคุณกำลังโดนสื่อการตลาดโจมตีกระหน่ำ และโดนยัดเยียดด้วยการจัดวางสินค้าเพื่อการโฆษณา"
คิดว่ามันจริงบ้างไหมครับ ในเมื่อทุกวันนี้ การโฆษณาแปะไปอยู่ในทุกที่ ทุกซอกทุกมุม ทั้งด้านข้างรถเมล์ ด้านหลังเบาะที่นั่งรถเมล์ แบนเนอร์ข้างเว็บต่างๆ ยังไม่นับป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายต่างๆ (ที่บางครั้งก็ต่อขึ้นไปจากหลังคาบ้านของใครบางคน)
จนหลายครั้งก็อาจทำให้เรารู้สึกว่า อยากหนีไปดาวพลูโต เหมือนอย่างในเรื่องสั้นเรื่อง "บริโภคนิยม ของ วินทร์ เลียววารินทร์"
และที่ซ้ำร้ายคือ เมื่อเราไม่เข้าใจในข้อมูลที่เราถูกกระหน่ำเข้ามา เราก็จะหาข้อมูลเพิ่มขึ้นอีกเพื่อทำความเข้าใจข้อมูลนั้น จนท้ายที่สุด ก็เกิดภาวะที่เรียกว่า IFS (Information fatigue syndrome)
เราเพียรเฝ้าหาข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนลืมไปว่า เราสามารถหมดเวลาไปทั้งวันได้ด้วยการพยายามหาคำยืนยันว่า "เอลวิสยังคงตายอยู่" เพราะเราถูกทำให้เชื่อว่า เราจะต้องอัพเดตข้อมูลทุกๆ เรื่องอยู่ในทุกๆ วินาที เหมือนที่ในช่วงนี้ แอพพลิเคชั่นทันข่าวต่างๆ แพร่หลายในโทรศัพท์ชนิดสมาร์ตโฟน
แต่นอกเหนือจากเรื่องข้อมูลข่าวสารแล้ว เรายัง "ไม่บันยะบันยัง" กับเรื่องอื่นอยู่อีกหรือเปล่า
ไม่มีข้อสงสัยสำหรับเรื่องอาหาร เมื่อเราต่างตระหนักในความจริงที่ว่า โรคอ้วนลงพุง ภาวะโภชนาเกิน กำลังคุมคามปัญหาสุขภาพของทั้งเด็กและผู้ใหญ่
และก็มีคนมากพอบนโลกนี้ที่สะสมสิ่งของมากเสียจนธุรกิจ "ให้เช่าโกดังเก็บของสำหรับคนทั่วไป" เฟื่องฟูขึ้นมาในหลายประเทศของซีกโลกตะวันตก
มีเพียงเรื่องเดียวที่ฮารุกิไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแนช (ผู้เขียนหนังสือ) คือ สิ่งที่ผู้เขียนดูเหมือนจะบอกว่า การจ่ายยาต้านซึมเศร้านั้น เป็นเรื่องที่เกินความจำเป็น
เพราะฮารุกิยังเชื่อ (และก็มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างที่สนับสนุนด้วย) ว่าโรคซึมเศร้า (รวมทั้งโรคทางจิตเวชอื่นๆ ) เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง และเมื่อมันรุนแรงถึงขั้นเข้าเกณฑ์วินิจฉัย (การวินิจฉัยโรคทางจิตเวชแทบทุกโรคมีเกณฑ์ในการวินิจฉัยอยู่) ก็สมควรจะได้รับการรักษาด้วยยา
รู้สึกว่าจะพูดมายาวเกิน "พอ" แล้วหละครับ ขออนุญาตตัดจบตรงนี้ดีกว่า