จิตรู้ตัว คือ สติ ....โดยมีภาษากำกับ
ไม่มีภาษา จิตจะพร่ามัว และไม่รู้จักร่างกาย ไม่รู้จักการกระทำ
ภาษาอยู่กับสรรพสิ่งแต่แรกแล้ว
และเมื่อจิตไปรับรู้ ความหมาย ก็บังเกิดขึ้น
ไม่มีภาษาไปรับรู้โดยจิต สรรพสิ่งก็คือ ความว่าง
คือ ทั้งไม่มีความหมาย และว่างเปล่าจากความรู้
และเป็นเพียง ความไร้ระเบียบ หรือความหลากหลาย ที่ไม่เห็นโยงใยสรรพสิ่ง
ภาษาจึงเป็นเครื่องมือของจิต และคือจิตที่ไหลเลื่อน
ซึ่งอาจไร้ภาษาแบบจินตนาการ และเป็นภาษาโดยสติ ก็ได้
แต่สติก็เป็นเสาไมล์ของการเดินทางของจิตสังเกต
หรือ แบบคลุมเคลือเชิงจินตนาการ อันเป็นจุดเริ่มต้นของจิตรังสรร ก็เป็นไปได้
ถ้าเรากระทำอะไรซ้ำๆ โดยขาดสติ ร่างกายก็จะถูกลดทอนลงเป็นแค่หุ่นยนตร์ หรือเครื่องมือของความเชื่อ
แต่ถ้าเรามีสติโดยภาษากำกับการกระทำ ...........................
ทุกวิริยภาพที่กำลังดำเนินไป ก็คือ การตั้งมั่น และความพร้อมเปลี่ยนแปลงในขณะเดียวกัน
ชีวิตไม่ใช่เชิงปริมาณของการทำซ้ำๆ แล้วบอกว่า ดี ถูกต้องแล้ว
แต่คือ การรู้ตัวว่าทำอะไร เพื่ออะไร แล้วเพิ่มการท้าทายลงไป เพื่อ เผชิญขีดจำกัดของศักยภาพ ..ความก้าวหน้าจึงเกิด
ส่งผลต่อ การจำได้ คือ ถูกบันทึกไว้อย่างมีคุณภาพ
และประสบการณ์ทำนองนี้ คือ คุณูปการไม่ให้เดินย่ำรอยเท้าเดิม..
อย่าลืมว่า สติดำรงอยู่ในภาษาในตน
ไม่มีภาษาในจิต คือ ไร้สัมผัสกับความเป็นจริง
ขาดพร่องในสติ คือ ทำชีวิตสูญหาย
ทำมากมายเพียงใด ก็อาจสูญเปล่า เพราะ จะไม่เกิดคุณภาพของความทรงจำ
และเมื่อไม่อาจจดจำสิ่งที่กระทำผ่านร่างกายออกไปแล้วไซ้ร ก็เท่ากับ หายใจไปเปล่าๆ ไม่ได้เรียนรู้ ควบคุมอะไรไม่ได้
เป็นชีวิตที่แปลกแยกจากภววิสัยแต่แรกแล้ว เริ่มจากร่างกายและขยายวงสู่กิจกรรมที่ฟุ่มเฟือย
และคงเป็นแค่ ก้อนเนื้อที่ดิ้นรน..เท่านั้น
สติจึงดำรงอยู่คู่ขนานกับภาษา

มีสติ เพราะ มีภาษากำกับ
ไม่มีภาษา จิตจะพร่ามัว และไม่รู้จักร่างกาย ไม่รู้จักการกระทำ
ภาษาอยู่กับสรรพสิ่งแต่แรกแล้ว
และเมื่อจิตไปรับรู้ ความหมาย ก็บังเกิดขึ้น
ไม่มีภาษาไปรับรู้โดยจิต สรรพสิ่งก็คือ ความว่าง
คือ ทั้งไม่มีความหมาย และว่างเปล่าจากความรู้
และเป็นเพียง ความไร้ระเบียบ หรือความหลากหลาย ที่ไม่เห็นโยงใยสรรพสิ่ง
ภาษาจึงเป็นเครื่องมือของจิต และคือจิตที่ไหลเลื่อน
ซึ่งอาจไร้ภาษาแบบจินตนาการ และเป็นภาษาโดยสติ ก็ได้
แต่สติก็เป็นเสาไมล์ของการเดินทางของจิตสังเกต
หรือ แบบคลุมเคลือเชิงจินตนาการ อันเป็นจุดเริ่มต้นของจิตรังสรร ก็เป็นไปได้
ถ้าเรากระทำอะไรซ้ำๆ โดยขาดสติ ร่างกายก็จะถูกลดทอนลงเป็นแค่หุ่นยนตร์ หรือเครื่องมือของความเชื่อ
แต่ถ้าเรามีสติโดยภาษากำกับการกระทำ ...........................
ทุกวิริยภาพที่กำลังดำเนินไป ก็คือ การตั้งมั่น และความพร้อมเปลี่ยนแปลงในขณะเดียวกัน
ชีวิตไม่ใช่เชิงปริมาณของการทำซ้ำๆ แล้วบอกว่า ดี ถูกต้องแล้ว
แต่คือ การรู้ตัวว่าทำอะไร เพื่ออะไร แล้วเพิ่มการท้าทายลงไป เพื่อ เผชิญขีดจำกัดของศักยภาพ ..ความก้าวหน้าจึงเกิด
ส่งผลต่อ การจำได้ คือ ถูกบันทึกไว้อย่างมีคุณภาพ
และประสบการณ์ทำนองนี้ คือ คุณูปการไม่ให้เดินย่ำรอยเท้าเดิม..
อย่าลืมว่า สติดำรงอยู่ในภาษาในตน
ไม่มีภาษาในจิต คือ ไร้สัมผัสกับความเป็นจริง
ขาดพร่องในสติ คือ ทำชีวิตสูญหาย
ทำมากมายเพียงใด ก็อาจสูญเปล่า เพราะ จะไม่เกิดคุณภาพของความทรงจำ
และเมื่อไม่อาจจดจำสิ่งที่กระทำผ่านร่างกายออกไปแล้วไซ้ร ก็เท่ากับ หายใจไปเปล่าๆ ไม่ได้เรียนรู้ ควบคุมอะไรไม่ได้
เป็นชีวิตที่แปลกแยกจากภววิสัยแต่แรกแล้ว เริ่มจากร่างกายและขยายวงสู่กิจกรรมที่ฟุ่มเฟือย
และคงเป็นแค่ ก้อนเนื้อที่ดิ้นรน..เท่านั้น
สติจึงดำรงอยู่คู่ขนานกับภาษา