เกร็ดสามก๊ก
แม่ทัพกับปีศาจ
เล่าเซี่ยงชุน
ในบรรดานิยายอิงพงศาวารดารจีน เกือบทุกเรื่องจะหนีไม่พ้นที่จะมี การใช้เวทย์มนต์คาถา อาวุธวิเศษ หรือต้องเกี่ยวข้องกับเทพยดา เซียนผู้วิเศษ และปีศาจ หรือมารร้ายต่าง ๆ อย่างเช่นเรื่อง ไซอิ๋ว ซวยงัก ซ้องกั๋ง ไม่เว้นแม้แต่ สามก๊ก ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวของการศึกสงครามตลอดทั้งเรื่องอันยืดยาว ก็ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับปีศาจแทรกอยู่หลายตอน
เมื่อครั้งที่ซุนเซ็กพี่ชายของซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋ง ถูกลิ่วล้อของเจ้าเมืองง่อกุ๋น ลอบเอาเกาทัณฑ์ยิงปักหน้าผาก ได้รับบาดเจ็บสาหัส หมอผู้รักษาบอกว่า
“…..แผลเกาทัณฑ์นั้นเข้าถึงกระดูก แล้วใส่ยาพิษด้วย ถ้าจะรักษานั้นเชิญท่านไปอยู่ที่สงัดอย่าให้ผู้คนรุมเร้า ท่านจงดับความโกรธเสียด้วย ต่อถึงกำหนดร้อยวันแผลจึงจะหาย แม้ระงับความโกรธไม่ได้พิษยาก็จะกำเริบมากไป……….”
แต่ซุนเซ็ก เป็นคนมีอารมณ์ร้อน รักษาอยู่ได้ประมาณยี่สิบวัน ก็มีเรื่องให้โมโหอยู่เรื่อย เห็นชาวเมืองเคารพนับถืออิเกียดซินแสผู้วิเศษมากกว่าตนก็อิจฉา อ้างว่าจะเป็นภัยต่อการปกครองของตน จึงหาเหตุฆ่าเสียแล้วเอาศพไปประจานไว้ที่ทางสามแพร่ง
ถึงเวลากลางคืนฝนตกห่าใหญ่ ทหารที่เฝ้าศพมาบอกว่าศพอิเกียดหายไป ซุนเซ็กก็ชักกระบี่จะฆ่าทหารผู้นั้นเสีย แต่กลับเห็นรูปอิเกียดเข้ามาขวาง ซุนเซ็กจึงไล่ฟันปีศาจอิเกียดจนตนเองล้มลงสลบอยู่กับพื้น ทหารต้องช่วยกันอุ้มเข้าไปรักษาพยาบาลที่ข้างใน คืนนั้นซุนเซ็กนอนป่วยอยู่บนเตียง ก็มีลมพัดมาจนเทียนดับ แล้วก็กลับติดขึ้นดังเก่า แล้วก็เห็นรูปอิเกียดมายืนตรงหน้า ซุนเซ็กจึงลุกขึ้นตวาดว่า
“…….น้ำใจกูนี้ชังคนโกหกถือผี จึงฆ่าเสีย บัดนี้ก็ตายแล้วเหตุใดยังเป็น อสุรกายมาใกล้กู……”
ว่าแล้วก็คว้ากระบี่ขว้างออกไป แต่ก็ไม่ถูกและรูปนั้นก็หายไป รุ่งขึ้นนางงอฮูหยินมารดาซุนเซ็ก จึงพาซุนเซ็กไปทำบุญที่วัดยกเซียงก๋วน หลวงจีนก็จัดของเครื่องเซ่นและให้ซุนเซ็กจุดธูปเทียนบูชา พอซุนเซ็กจุดธูปเทียนก็เห็นรูปอิเกียดนั่งลอยอยู่บนควันธูป ซุนเซ็กก็โกรธด่าว่าเป็นข้อหยาบช้า แล้วก็เดินกลับออกมาถึงประตูศาลเจ้า ก็เห็นรูปอิเกียดถลึงตาขวางทางอยู่ จึงชักกระบี่ขว้างออกไปอีก กลับไปถูกทหารของตนล้มลง เลือดจมูกและปากปะทุออกมาตายคาที่
พอเดินจะออกประตูวัดก็เห็นรูปอิเกียดอีก ซุนเซ็กก็ว่าวัดนี้ปีศาจมาสิงอยู่แล้วหลอกหลอนร้ายกาจนัก จะเอาไว้มิได้ แล้วก็สั่งให้ทหารเร่งรื้อวัดเสีย รูปอิเกียดก็ลอยขึ้นไปอยู่บนหลังคา เอากระเบื้องทิ้งขว้างลงมาถูกทหารบาดเจ็บไปหลายคน ซุนเซ็กจึงสั่งให้หลวงจีนออกมาจากวัดให้สิ้น แล้วให้ทหารจุดเพลิงเผาวัดเสีย แต่ซุนเซ็กจะไปอยู่ที่ใด ก็เห็นแต่รูปอิเกียดทุกที่ จนต้องหนีออกไปตั้งค่ายนอกเมือง แต่ก็ไม่พ้นแม้แต่ส่องกระจกดูหน้าตนเอง ก็เห็นรูปอิเกียดอยู่ในกระจกแทน ซุนเซ็กตกใจทิ้งกระจกและร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง แผลเกาทัณฑ์ก็กำเริบขึ้นโลหิตไหลออกมา ถึงกับล้มลง และในที่สุดก็สิ้นใจตายไป เมื่อมีอายุได้เพียงยี่สิบหกปีเท่านั้น
ขณะนั้น โจโฉยังมีอายุประมาณสี่สิบเศษ ได้ก่อกรรมทำเวรแก่ผู้อื่นต่อไปอีกร่วมยี่สิบปี จนเลื่อนเป็นวุยอ๋อง อายุได้หกสิบหกปีก็ล้มป่วยลง สาเหตุเกิดจากซุนกวนตีเมืองเกงจิ๋วได้ และจับตัวกวนอูมาประหารชีวิต แล้วตัดศรีษะส่งมาให้โจโฉที่เมืองลกเอี๋ยง โจโฉมีความยินดี ครั้นเปิดหีบเห็นหน้ากวนอูยังปกติเหมือนเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็หัวเราะเย้ยว่ากวนอูยังเป็นอยู่ไม่มาหาเรา บัดนี้ยังแต่ศรีษะเปล่าอุตส่าห์มาหาเรา พูดยังมิทันขาดคำศรีษะของกวนอูก็อ้าปากตากลอกไปมา โจโฉตกใจล้มลงสิ้นสติไป และตั้งแต่บัดนั้นก็ป่วยมาตลอด นอนหลับตาลงครั้งใดก็เห็นแต่หน้าของ กวนอู และให้ปวดศรีษะเป็นกำลัง
ที่ปรึกษาของโจโฉก็ให้ความเห็นว่า วังเก่านี้มีปีศาจสิงสู่มากนัก ควรจะสร้างวังใหม่ให้สุขกายสบายใจ โจโฉก็หาช่างมาก่อสร้างวังและให้ไปตัดต้นสาลี่ใหญ่ เอาไม้มาทำวัง ต้นสาลี่นั้นขึ้นอยู่ใกล้ศาลเทพารักษ์ ในป่าเอียกหลงห่างจากเมืองไปประมาณสามร้อยเส้น แต่ช่างไม้จะตัดจะถากเอาสิ่วเจาะเอาเลื่อยชักประการใดก็มิเข้าเลย ก็กลับมาทูลโจโฉ แต่โจโฉไม่เชื่อจึงขึ้นม้าออกไปดูด้วยตนเอง กับบริวารประมาณสามร้อยคน โจโฉลงจากหลังม้าให้ลิ่วล้อเอาขวานฟันต้นไม้นั้นก็ไม่เข้า ผู้เฒ่าที่เป็นชาวบ้านอยู่แถวนั้นก็ทูลห้ามไม่ให้โค่นต้นสาลี่ เพราะเป็นต้นไม้โบราณอายุกว่าสี่ร้อยปี และมีเทพารักษ์สิงอยู่ โจโฉก็ประกาศว่า
“…….กูได้เป็นใหญ่ในเมืองนี้กว่าสี่สิบปีแล้ว บรรดาราษฎรแลเทพารักษ์ซึ่งอยู่ในแว่นแคว้นแดนเมืองนี้ ก็อาศัยพึ่งบุญเราสิ้น เราจะเอาต้นไม้นี้เทพารักษ์จะไม่ให้เราหรือว่าไร……”
ว่าแล้วก็ชักกระบี่ประจำกายออกฟันต้นไม้ ก็ปรากฎเสียงผีร้องไห้เซ็งแซ่ไป ยางไม้ก็ไหลออกมาเป็นโลหิต โจโฉก็ตกใจทิ้งกระบี่เสีย แล้วขึ้นม้ากลับเข้าวัง แต่เมื่อถึงเวลานอนก็เห็นเทพารักษ์ แต่งกายสีเขียวเอาดาบไล่ฟันจนตกใจตื่น แล้วแต่นั้นมาก็ให้ปวดศรีษะเป็นอันมาก หมอนวดหมอยาก็รักษาไม่หาย
ครั้นโรคกำเริบกล้าขึ้น วันหนึ่งก็ฝันเห็นม้าสามตัวกินหญ้าในรางเดียวกัน จึงรำลึกถึงม้าเท้ง ม้าฮิว ม้าเทียด สามพ่อลูกซึ่งตนฆ่าเสีย เพราะร่วมมือกับพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะคิดร้ายกับตน คืนต่อมาปวดศรีษะตลอดเวลา ให้ร้อนกายร้อนใจนอนไม่หลับ จนถึงยามสามก็ลุกออกมานั่งเก้าอี้ ก็ได้ยินเสียงฉีกแพร และแลไปเห็นนางฮกเฮามเหสีของพระเจ้าเหี้ยนเต้ นางตังกุยหุยสนมเอกของฮ่องเต้และบุตรสองคน กับฮกอ้วนบิดานางฮกเฮา และตังสินบิดาของนางตังกุยหุย กับพรรคพวกประมาณยี่สิบคน ซึ่งได้สั่งฆ่าเสียด้วยเหตุเดียวกัน แต่ละคนมีโลหิตแดงทั้งร่างร้องว่า โจโฉท่านเอาชีวิตมาคืนให้แก่เรา โจโฉก็ชักกระบี่ออกฟันไปในอากาศจนถูกประตู สิ้นแรงล้มลง บริวารก็ช่วยพาไปอยู่ตำหนักอื่น แต่ก็นอนไม่หลับทั้งคืนเช่นเคย ได้ยินแต่เสียงปีศาจทั้งหญิงชายร้องไห้เซ็งแซ่อยู่คืนยันรุ่ง ถึงเวลาเช้าจึงปรารภกับขุนนางทั้งหลายว่า
“……..เราทำสงครามมาช้านานถึงสามสิบปีเศษ หาได้ยินเสียงปีศาจปรากฎดังนี้ไม่เลย มาบัดนี้มีปีศาจมาหลอกหลอน ร้องไห้เสียงเซ็งแซ่ไป ประหลาดนัก……….”
ขุนนางทั้งหลายจึงแนะนำให้ทำการเซ่นวักพลีกรรมเสีย แต่โจโฉกลับว่า
“……..โบราณว่ากรรมมาถึงตัวแล้ว จะทำประการใดก็หาพ้นไม่ บัดนี้กรรมมาถึงแล้วใครจะมาช่วยเราได้……..”
แล้วโจโฉก็เฉยเสีย หาได้ทำตามที่ขุนนางแนะนำไม่ ต่อมาโรคก็กำเริบหนักขึ้นกว่าเก่า แล้วก็สิ้นใจตายไปตามกรรมที่ว่านั้น ด้วยอาการที่ไม่ค่อยจะสงบนัก
หลังจากโจโฉตายแล้ว โจผีบุตรชายคนโตก็ชิงราชสมบัติจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ ขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งวุยก๊ก เล่าปี่จึงตั้งตนเป็นฮ่องเต้แห่งจ๊กก๊ก แล้วก็ยกทัพไปรบกับซุนกวนเพื่อแก้แค้นแทนกวนอู แต่กลับถูกลกซุนแม่ทัพพลเรือนของซุนกวน ตีแตกพ่ายไม่เป็นขบวน ลกซุนก็ยกทหารไล่ติดตามพระเจ้าเล่าปี่ไปจนถึงตำบลอิปักโป้ แลเห็นข้างหน้ามีคนยืนถืออาวุธอยู่มากมาย จึงให้หยุดทัพแล้วใช้ทหารไปสอดแนม ดูว่าจะเป็นประการใด ทหารก็กลับมาบอกว่าจะได้มีคนก็หาไม่ เห็นแต่ศิลากองไว้ประมาณแปดสิบเก้าสิบกอง ลกซุนก็สงสัยนัก จึงให้ทหารไปจับคนในป่ามาถามว่า ผู้ใดมาทำศิลาเป็นกอง ๆ อยู่ ดูเป็นรูปคนถืออาวุธนี้ และทำไว้ด้วยเหตุผลประการใด ชาวบ้านป่าก็บอกว่า เมื่อครั้งที่ขงเบ้งยังไม่ได้เข้าไปยึดครองเมืองเสฉวนนั้น ได้ให้ทหารมาขนศิลากองไว้ และดูเป็นคนถืออาวุธดังว่าจนทุกวันนี้
ลกซุนจึงพาทหารสามสิบคน ไปดูให้เห็นแก่ตา เมื่อถึงที่นั้นแล้วก็ดูอยู่ข้างนอก พิจารณาเห็นเป็นก้อนศิลาธรรมดาก็หัวเราะ แล้วว่าขงเบ้งแกล้งทำกลอุบายลวงไว้ให้คนกลัว และพาทหารเดินเข้าไปในหว่างก้อนศิลานั้น เที่ยวดูอยู่จนเวลาบ่ายลกซุนชักม้าจะกลับออกมา ก็บังเกิดพายุพัดหนัก และได้ยินเสียงเหมือนชักกระบี่ออกจากฝัก ศิลาก็กระทบกันเป็นประกาย ทรายก็ปลิวขึ้นมืดคลุ้ม มองเห็นเป็นคนถืออาวุธขวางหน้าและล้อมไว้มากมาย ไม่เห็นทางที่จะออกได้ ลกซุนตกใจเป็นอันมากนึกว่าคงจะตายด้วยความคิดของขงเบ้งจริงแล้ว พอดีมีชายแก่คนหนึ่งออกมายืนอยู่ตรงหน้าม้า ถามว่า ท่านจะใคร่ออกไปให้พ้นจากที่นี่หรือ ลกซุนจึงขอร้องให้พาออกไปจากที่นี่เถิดนึกว่าเอาบุญ ตาแก่ถือไม้เท้าก็พาลกซุนออกไปจากกลุ่มศิลาเหล่านั้นได้ ลกซุนจึงถามว่าท่านเป็นใครอยู่ที่ไหน และเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ชายแก่บอกว่า
“……..เราชื่อฮองเสงงันอยู่ในที่นี้ เป็นพ่อตาขงเบ้ง เมื่อลูกเขยเราจะเข้าไปเมืองเสฉวนนั้น ได้ทำไว้ด้วยวิชาความรู้ มีประตูอยู่แปดประตูมีฤทธิ์เดชต่าง ๆ กัน ไม่รู้ที่จะพรรณาฤทธิ์ให้ท่านฟังแล้ว แม้มีทหารไว้สิบหมื่นก็ไม่เท่า แต่เมื่อขงเบ้งจะไปนั้นสั่งเราไว้ว่า อยู่ข้างหลังนี้จะมีทหารใหญ่เมืองกังตั๋งหลงเข้ามา แล้วอย่าให้เราชักพาออกไป นี่เราเห็นก็เอ็นดูจึงชักพาออกมาหวังจะเอาบุญ…….”
ลกซุนถามว่าความรู้วิชาการเช่นขงเบ้งทำไว้นี้ ท่านรู้บ้างหรือไม่ ตาแก่บอกว่าตนไม่ได้เรียน ลกซุนคิดถึงคุณที่ช่วยไว้ จึงลงจากหลังม้ากราบตาแก่นั้น แล้วก็ลาไป
ครั้นพระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์ไปด้วยความตรอมใจ ที่ไม่สามารถจะแก้แค้นแทนน้องทั้งสองได้แล้ว อาเต๊าหรือเล่าเสี้ยนบุตรชายคนโตได้เป็นฮ่องเต้ สืบราชสมบัติจ๊กก๊กที่เมือง เสฉวนต่อจากบิดา ขงเบ้งก็ได้เป็นมหาอุปราชและยกกองทัพไปปราบเบ้งเฮ็กเจ้าเมืองมันอ๋อง ได้ชัยชนะถึงเจ็ดครั้ง จนเบ้งเฮ็กสิ้นฤทธิ์ยอมอ่อนน้อม ขงเบ้งจึงตั้งให้เป็นเจ้าเมืองดังเก่า แล้วก็ยกทัพกลับเมืองเสฉวน
เบ้งเฮ็กและชาวเมืองก็ตามมาส่ง พอถึงแม่น้ำลกซุย อุยเอี๋ยนซึ่งคุมทหารเป็นทัพหน้า ก็เจอกับลมพายุพัดแรงจนก้อนศิลากระเด็นลงมาจากยอดเขา ในแม่น้ำนั้นก็มืดมัวไปด้วยหมอก ไม่เห็นทางที่จะข้ามไปได้ จึงกลับมาบอกขงเบ้ง ครั้นขงเบ้งยกไปถึงแม่น้ำเห็นเหตุวิปริตนั้น ก็ถามเบ้งเฮ็กว่าเหตุนี้เป็นเพราะอะไร เบ้งเฮ็กก็บอกว่า
“…..อันแม่น้ำนี้มีปีศาจสำแดงฤทธิ์ แต่ก่อนมาก็เคยเป็นอยู่ ขอให้ท่านเอาศรีษะ คนสี่สิบเก้าศรีษะ กับม้าเผือก กระบือดำ มาเซ่นสรวงจึงจะหาย……”
ขงเบ้งจึงว่า
“……เราทำศึกกับท่านจนสำเร็จการ แผ่นดินราบคาบถึงเพียงนี้ คนแก่คนหนึ่งก็ มิได้ตายเพราะมือเรา บัดนี้กลับมาถึงแม่น้ำลกซุนจะเข้าแดนเมืองอยู่แล้ว จะมาฆ่าคนเสียนั้นไม่ชอบ……”
แต่ขงเบ้งก็ระลึกได้ว่า เมื่อตอนที่ยกกองทัพ ข้ามแม่น้ำลกซุยนี้ไปเป็นฤดูร้อน ทหารลงอาบน้ำในแม่น้ำเวลากลางวัน ก็เกิดโลหิตไหลออกทางปากและจมูก ตายไปประมาณพันห้าร้อยคน ต้องต่อแพข้ามไปในเวลาดึก เลยเที่ยงคืนไปแล้ว จึงเอาชนะเบ้งเฮ็กได้ และในการรบครั้งที่เจ็ด ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ขงเบ้งก็ทำอุบายเผาทหารของลุดตัดกุดเจ้าเมืองออโกก๊ก ซึ่งใส่เกราะหวายแช่น้ำมันทำให้แทงฟันไม่เข้า และว่ายข้ามน้ำไปได้โดยไม่ต้องใช้เรือ ถึงแก่ความตายด้วยความทรมานถึงสามหมื่นคน ไม่นับรวมกับที่ตายเพราะการรบก่อนหน้านั้นอีกหกครั้ง จึงรำพึงว่า
“…….เมื่อทำศึกอยู่นั้น ทหารเบ้งเฮ็กก็ล้มตายอยู่ในที่นี้เป็นอันมาก ปีศาจทั้งปวงผูกเวรเรา จึงบันดาลให้เป็นเหตุต่าง ๆ เราจะคิดอ่านทำการคำนับให้หายเป็นปกติจงได้…..”
และเมื่อสอบถามชาวบ้านแถวนั้น ต่างก็บอกเหมือนกับที่เบ้งเฮ็กว่าทุกประการ ขงเบ้งจึงสั่งให้ทหารฆ่าม้าเผือกและกระบือดำ แล้วเอาแป้งมาปั้นเป็นศรีษะคนสี่สิบเก้าศรีษะ แล้วยกออกไปตั้งไว้ริมน้ำในเวลากลางคืน ขงเบ้งก็ออกไปจุดธูปเทียนปักทั้งสี่สิบเก้าศรีษะ และให้เจ้าหน้าที่อ่านคำบวงสรวงสรรเสริญ ทั้งทหารฝ่ายตนและฝ่ายข้าศึก แล้วจึงเอาเครื่องเซ่นทั้งปวง ลอยไปตามน้ำ พายุและละลอกคลื่นก็สงบลงเป็นปกติ ขงเบ้งจึงนำกองทัพกลับเมืองเสฉวนได้
ตัวขงเบ้งเองก็ถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นอีกเก้าปี และเมื่อขงเบ้งตายไปแล้วประมาณยี่สิบเก้าปี จงโฮยแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊ก ก็ยกทัพไปตีเมืองเสฉวน เมื่อเข้ายึดด่าน แฮบังก๋วนได้แล้ว ขณะที่พักอยู่ในด่านนั้น ถึงเวลาดึกก็ได้ยินเสียงอื้ออึงทำให้ทหารตกใจ จงโฮยก็ ออกมาดูทางทิศเหนือและทิศใต้ ก็มิได้มีสิ่งใดผิดปกติ รุ่งเช้าจึงขี่ม้าพาทหารร้อยคนไปตรวจดูตามชายเขาทางทิศใต้ แลไปบนเนินเขาเห็นผงคลีขึ้นตระหลบอยู่ ดังหนึ่งทหารมาตั้งอยู่แถวนั้น จงโฮย จึงให้หาตัวนายบ้านนั้นมาถามว่า ตำบลนี้ชื่อไร นายบ้านบอกว่าเขาเตงกุนสัน
เกร็ดสามก๊ก ๑๙ มิ.ย.๕๖
แม่ทัพกับปีศาจ
เล่าเซี่ยงชุน
ในบรรดานิยายอิงพงศาวารดารจีน เกือบทุกเรื่องจะหนีไม่พ้นที่จะมี การใช้เวทย์มนต์คาถา อาวุธวิเศษ หรือต้องเกี่ยวข้องกับเทพยดา เซียนผู้วิเศษ และปีศาจ หรือมารร้ายต่าง ๆ อย่างเช่นเรื่อง ไซอิ๋ว ซวยงัก ซ้องกั๋ง ไม่เว้นแม้แต่ สามก๊ก ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวของการศึกสงครามตลอดทั้งเรื่องอันยืดยาว ก็ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับปีศาจแทรกอยู่หลายตอน
เมื่อครั้งที่ซุนเซ็กพี่ชายของซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋ง ถูกลิ่วล้อของเจ้าเมืองง่อกุ๋น ลอบเอาเกาทัณฑ์ยิงปักหน้าผาก ได้รับบาดเจ็บสาหัส หมอผู้รักษาบอกว่า
“…..แผลเกาทัณฑ์นั้นเข้าถึงกระดูก แล้วใส่ยาพิษด้วย ถ้าจะรักษานั้นเชิญท่านไปอยู่ที่สงัดอย่าให้ผู้คนรุมเร้า ท่านจงดับความโกรธเสียด้วย ต่อถึงกำหนดร้อยวันแผลจึงจะหาย แม้ระงับความโกรธไม่ได้พิษยาก็จะกำเริบมากไป……….”
แต่ซุนเซ็ก เป็นคนมีอารมณ์ร้อน รักษาอยู่ได้ประมาณยี่สิบวัน ก็มีเรื่องให้โมโหอยู่เรื่อย เห็นชาวเมืองเคารพนับถืออิเกียดซินแสผู้วิเศษมากกว่าตนก็อิจฉา อ้างว่าจะเป็นภัยต่อการปกครองของตน จึงหาเหตุฆ่าเสียแล้วเอาศพไปประจานไว้ที่ทางสามแพร่ง
ถึงเวลากลางคืนฝนตกห่าใหญ่ ทหารที่เฝ้าศพมาบอกว่าศพอิเกียดหายไป ซุนเซ็กก็ชักกระบี่จะฆ่าทหารผู้นั้นเสีย แต่กลับเห็นรูปอิเกียดเข้ามาขวาง ซุนเซ็กจึงไล่ฟันปีศาจอิเกียดจนตนเองล้มลงสลบอยู่กับพื้น ทหารต้องช่วยกันอุ้มเข้าไปรักษาพยาบาลที่ข้างใน คืนนั้นซุนเซ็กนอนป่วยอยู่บนเตียง ก็มีลมพัดมาจนเทียนดับ แล้วก็กลับติดขึ้นดังเก่า แล้วก็เห็นรูปอิเกียดมายืนตรงหน้า ซุนเซ็กจึงลุกขึ้นตวาดว่า
“…….น้ำใจกูนี้ชังคนโกหกถือผี จึงฆ่าเสีย บัดนี้ก็ตายแล้วเหตุใดยังเป็น อสุรกายมาใกล้กู……”
ว่าแล้วก็คว้ากระบี่ขว้างออกไป แต่ก็ไม่ถูกและรูปนั้นก็หายไป รุ่งขึ้นนางงอฮูหยินมารดาซุนเซ็ก จึงพาซุนเซ็กไปทำบุญที่วัดยกเซียงก๋วน หลวงจีนก็จัดของเครื่องเซ่นและให้ซุนเซ็กจุดธูปเทียนบูชา พอซุนเซ็กจุดธูปเทียนก็เห็นรูปอิเกียดนั่งลอยอยู่บนควันธูป ซุนเซ็กก็โกรธด่าว่าเป็นข้อหยาบช้า แล้วก็เดินกลับออกมาถึงประตูศาลเจ้า ก็เห็นรูปอิเกียดถลึงตาขวางทางอยู่ จึงชักกระบี่ขว้างออกไปอีก กลับไปถูกทหารของตนล้มลง เลือดจมูกและปากปะทุออกมาตายคาที่
พอเดินจะออกประตูวัดก็เห็นรูปอิเกียดอีก ซุนเซ็กก็ว่าวัดนี้ปีศาจมาสิงอยู่แล้วหลอกหลอนร้ายกาจนัก จะเอาไว้มิได้ แล้วก็สั่งให้ทหารเร่งรื้อวัดเสีย รูปอิเกียดก็ลอยขึ้นไปอยู่บนหลังคา เอากระเบื้องทิ้งขว้างลงมาถูกทหารบาดเจ็บไปหลายคน ซุนเซ็กจึงสั่งให้หลวงจีนออกมาจากวัดให้สิ้น แล้วให้ทหารจุดเพลิงเผาวัดเสีย แต่ซุนเซ็กจะไปอยู่ที่ใด ก็เห็นแต่รูปอิเกียดทุกที่ จนต้องหนีออกไปตั้งค่ายนอกเมือง แต่ก็ไม่พ้นแม้แต่ส่องกระจกดูหน้าตนเอง ก็เห็นรูปอิเกียดอยู่ในกระจกแทน ซุนเซ็กตกใจทิ้งกระจกและร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง แผลเกาทัณฑ์ก็กำเริบขึ้นโลหิตไหลออกมา ถึงกับล้มลง และในที่สุดก็สิ้นใจตายไป เมื่อมีอายุได้เพียงยี่สิบหกปีเท่านั้น
ขณะนั้น โจโฉยังมีอายุประมาณสี่สิบเศษ ได้ก่อกรรมทำเวรแก่ผู้อื่นต่อไปอีกร่วมยี่สิบปี จนเลื่อนเป็นวุยอ๋อง อายุได้หกสิบหกปีก็ล้มป่วยลง สาเหตุเกิดจากซุนกวนตีเมืองเกงจิ๋วได้ และจับตัวกวนอูมาประหารชีวิต แล้วตัดศรีษะส่งมาให้โจโฉที่เมืองลกเอี๋ยง โจโฉมีความยินดี ครั้นเปิดหีบเห็นหน้ากวนอูยังปกติเหมือนเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็หัวเราะเย้ยว่ากวนอูยังเป็นอยู่ไม่มาหาเรา บัดนี้ยังแต่ศรีษะเปล่าอุตส่าห์มาหาเรา พูดยังมิทันขาดคำศรีษะของกวนอูก็อ้าปากตากลอกไปมา โจโฉตกใจล้มลงสิ้นสติไป และตั้งแต่บัดนั้นก็ป่วยมาตลอด นอนหลับตาลงครั้งใดก็เห็นแต่หน้าของ กวนอู และให้ปวดศรีษะเป็นกำลัง
ที่ปรึกษาของโจโฉก็ให้ความเห็นว่า วังเก่านี้มีปีศาจสิงสู่มากนัก ควรจะสร้างวังใหม่ให้สุขกายสบายใจ โจโฉก็หาช่างมาก่อสร้างวังและให้ไปตัดต้นสาลี่ใหญ่ เอาไม้มาทำวัง ต้นสาลี่นั้นขึ้นอยู่ใกล้ศาลเทพารักษ์ ในป่าเอียกหลงห่างจากเมืองไปประมาณสามร้อยเส้น แต่ช่างไม้จะตัดจะถากเอาสิ่วเจาะเอาเลื่อยชักประการใดก็มิเข้าเลย ก็กลับมาทูลโจโฉ แต่โจโฉไม่เชื่อจึงขึ้นม้าออกไปดูด้วยตนเอง กับบริวารประมาณสามร้อยคน โจโฉลงจากหลังม้าให้ลิ่วล้อเอาขวานฟันต้นไม้นั้นก็ไม่เข้า ผู้เฒ่าที่เป็นชาวบ้านอยู่แถวนั้นก็ทูลห้ามไม่ให้โค่นต้นสาลี่ เพราะเป็นต้นไม้โบราณอายุกว่าสี่ร้อยปี และมีเทพารักษ์สิงอยู่ โจโฉก็ประกาศว่า
“…….กูได้เป็นใหญ่ในเมืองนี้กว่าสี่สิบปีแล้ว บรรดาราษฎรแลเทพารักษ์ซึ่งอยู่ในแว่นแคว้นแดนเมืองนี้ ก็อาศัยพึ่งบุญเราสิ้น เราจะเอาต้นไม้นี้เทพารักษ์จะไม่ให้เราหรือว่าไร……”
ว่าแล้วก็ชักกระบี่ประจำกายออกฟันต้นไม้ ก็ปรากฎเสียงผีร้องไห้เซ็งแซ่ไป ยางไม้ก็ไหลออกมาเป็นโลหิต โจโฉก็ตกใจทิ้งกระบี่เสีย แล้วขึ้นม้ากลับเข้าวัง แต่เมื่อถึงเวลานอนก็เห็นเทพารักษ์ แต่งกายสีเขียวเอาดาบไล่ฟันจนตกใจตื่น แล้วแต่นั้นมาก็ให้ปวดศรีษะเป็นอันมาก หมอนวดหมอยาก็รักษาไม่หาย
ครั้นโรคกำเริบกล้าขึ้น วันหนึ่งก็ฝันเห็นม้าสามตัวกินหญ้าในรางเดียวกัน จึงรำลึกถึงม้าเท้ง ม้าฮิว ม้าเทียด สามพ่อลูกซึ่งตนฆ่าเสีย เพราะร่วมมือกับพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะคิดร้ายกับตน คืนต่อมาปวดศรีษะตลอดเวลา ให้ร้อนกายร้อนใจนอนไม่หลับ จนถึงยามสามก็ลุกออกมานั่งเก้าอี้ ก็ได้ยินเสียงฉีกแพร และแลไปเห็นนางฮกเฮามเหสีของพระเจ้าเหี้ยนเต้ นางตังกุยหุยสนมเอกของฮ่องเต้และบุตรสองคน กับฮกอ้วนบิดานางฮกเฮา และตังสินบิดาของนางตังกุยหุย กับพรรคพวกประมาณยี่สิบคน ซึ่งได้สั่งฆ่าเสียด้วยเหตุเดียวกัน แต่ละคนมีโลหิตแดงทั้งร่างร้องว่า โจโฉท่านเอาชีวิตมาคืนให้แก่เรา โจโฉก็ชักกระบี่ออกฟันไปในอากาศจนถูกประตู สิ้นแรงล้มลง บริวารก็ช่วยพาไปอยู่ตำหนักอื่น แต่ก็นอนไม่หลับทั้งคืนเช่นเคย ได้ยินแต่เสียงปีศาจทั้งหญิงชายร้องไห้เซ็งแซ่อยู่คืนยันรุ่ง ถึงเวลาเช้าจึงปรารภกับขุนนางทั้งหลายว่า
“……..เราทำสงครามมาช้านานถึงสามสิบปีเศษ หาได้ยินเสียงปีศาจปรากฎดังนี้ไม่เลย มาบัดนี้มีปีศาจมาหลอกหลอน ร้องไห้เสียงเซ็งแซ่ไป ประหลาดนัก……….”
ขุนนางทั้งหลายจึงแนะนำให้ทำการเซ่นวักพลีกรรมเสีย แต่โจโฉกลับว่า
“……..โบราณว่ากรรมมาถึงตัวแล้ว จะทำประการใดก็หาพ้นไม่ บัดนี้กรรมมาถึงแล้วใครจะมาช่วยเราได้……..”
แล้วโจโฉก็เฉยเสีย หาได้ทำตามที่ขุนนางแนะนำไม่ ต่อมาโรคก็กำเริบหนักขึ้นกว่าเก่า แล้วก็สิ้นใจตายไปตามกรรมที่ว่านั้น ด้วยอาการที่ไม่ค่อยจะสงบนัก
หลังจากโจโฉตายแล้ว โจผีบุตรชายคนโตก็ชิงราชสมบัติจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ ขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งวุยก๊ก เล่าปี่จึงตั้งตนเป็นฮ่องเต้แห่งจ๊กก๊ก แล้วก็ยกทัพไปรบกับซุนกวนเพื่อแก้แค้นแทนกวนอู แต่กลับถูกลกซุนแม่ทัพพลเรือนของซุนกวน ตีแตกพ่ายไม่เป็นขบวน ลกซุนก็ยกทหารไล่ติดตามพระเจ้าเล่าปี่ไปจนถึงตำบลอิปักโป้ แลเห็นข้างหน้ามีคนยืนถืออาวุธอยู่มากมาย จึงให้หยุดทัพแล้วใช้ทหารไปสอดแนม ดูว่าจะเป็นประการใด ทหารก็กลับมาบอกว่าจะได้มีคนก็หาไม่ เห็นแต่ศิลากองไว้ประมาณแปดสิบเก้าสิบกอง ลกซุนก็สงสัยนัก จึงให้ทหารไปจับคนในป่ามาถามว่า ผู้ใดมาทำศิลาเป็นกอง ๆ อยู่ ดูเป็นรูปคนถืออาวุธนี้ และทำไว้ด้วยเหตุผลประการใด ชาวบ้านป่าก็บอกว่า เมื่อครั้งที่ขงเบ้งยังไม่ได้เข้าไปยึดครองเมืองเสฉวนนั้น ได้ให้ทหารมาขนศิลากองไว้ และดูเป็นคนถืออาวุธดังว่าจนทุกวันนี้
ลกซุนจึงพาทหารสามสิบคน ไปดูให้เห็นแก่ตา เมื่อถึงที่นั้นแล้วก็ดูอยู่ข้างนอก พิจารณาเห็นเป็นก้อนศิลาธรรมดาก็หัวเราะ แล้วว่าขงเบ้งแกล้งทำกลอุบายลวงไว้ให้คนกลัว และพาทหารเดินเข้าไปในหว่างก้อนศิลานั้น เที่ยวดูอยู่จนเวลาบ่ายลกซุนชักม้าจะกลับออกมา ก็บังเกิดพายุพัดหนัก และได้ยินเสียงเหมือนชักกระบี่ออกจากฝัก ศิลาก็กระทบกันเป็นประกาย ทรายก็ปลิวขึ้นมืดคลุ้ม มองเห็นเป็นคนถืออาวุธขวางหน้าและล้อมไว้มากมาย ไม่เห็นทางที่จะออกได้ ลกซุนตกใจเป็นอันมากนึกว่าคงจะตายด้วยความคิดของขงเบ้งจริงแล้ว พอดีมีชายแก่คนหนึ่งออกมายืนอยู่ตรงหน้าม้า ถามว่า ท่านจะใคร่ออกไปให้พ้นจากที่นี่หรือ ลกซุนจึงขอร้องให้พาออกไปจากที่นี่เถิดนึกว่าเอาบุญ ตาแก่ถือไม้เท้าก็พาลกซุนออกไปจากกลุ่มศิลาเหล่านั้นได้ ลกซุนจึงถามว่าท่านเป็นใครอยู่ที่ไหน และเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ชายแก่บอกว่า
“……..เราชื่อฮองเสงงันอยู่ในที่นี้ เป็นพ่อตาขงเบ้ง เมื่อลูกเขยเราจะเข้าไปเมืองเสฉวนนั้น ได้ทำไว้ด้วยวิชาความรู้ มีประตูอยู่แปดประตูมีฤทธิ์เดชต่าง ๆ กัน ไม่รู้ที่จะพรรณาฤทธิ์ให้ท่านฟังแล้ว แม้มีทหารไว้สิบหมื่นก็ไม่เท่า แต่เมื่อขงเบ้งจะไปนั้นสั่งเราไว้ว่า อยู่ข้างหลังนี้จะมีทหารใหญ่เมืองกังตั๋งหลงเข้ามา แล้วอย่าให้เราชักพาออกไป นี่เราเห็นก็เอ็นดูจึงชักพาออกมาหวังจะเอาบุญ…….”
ลกซุนถามว่าความรู้วิชาการเช่นขงเบ้งทำไว้นี้ ท่านรู้บ้างหรือไม่ ตาแก่บอกว่าตนไม่ได้เรียน ลกซุนคิดถึงคุณที่ช่วยไว้ จึงลงจากหลังม้ากราบตาแก่นั้น แล้วก็ลาไป
ครั้นพระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์ไปด้วยความตรอมใจ ที่ไม่สามารถจะแก้แค้นแทนน้องทั้งสองได้แล้ว อาเต๊าหรือเล่าเสี้ยนบุตรชายคนโตได้เป็นฮ่องเต้ สืบราชสมบัติจ๊กก๊กที่เมือง เสฉวนต่อจากบิดา ขงเบ้งก็ได้เป็นมหาอุปราชและยกกองทัพไปปราบเบ้งเฮ็กเจ้าเมืองมันอ๋อง ได้ชัยชนะถึงเจ็ดครั้ง จนเบ้งเฮ็กสิ้นฤทธิ์ยอมอ่อนน้อม ขงเบ้งจึงตั้งให้เป็นเจ้าเมืองดังเก่า แล้วก็ยกทัพกลับเมืองเสฉวน
เบ้งเฮ็กและชาวเมืองก็ตามมาส่ง พอถึงแม่น้ำลกซุย อุยเอี๋ยนซึ่งคุมทหารเป็นทัพหน้า ก็เจอกับลมพายุพัดแรงจนก้อนศิลากระเด็นลงมาจากยอดเขา ในแม่น้ำนั้นก็มืดมัวไปด้วยหมอก ไม่เห็นทางที่จะข้ามไปได้ จึงกลับมาบอกขงเบ้ง ครั้นขงเบ้งยกไปถึงแม่น้ำเห็นเหตุวิปริตนั้น ก็ถามเบ้งเฮ็กว่าเหตุนี้เป็นเพราะอะไร เบ้งเฮ็กก็บอกว่า
“…..อันแม่น้ำนี้มีปีศาจสำแดงฤทธิ์ แต่ก่อนมาก็เคยเป็นอยู่ ขอให้ท่านเอาศรีษะ คนสี่สิบเก้าศรีษะ กับม้าเผือก กระบือดำ มาเซ่นสรวงจึงจะหาย……”
ขงเบ้งจึงว่า
“……เราทำศึกกับท่านจนสำเร็จการ แผ่นดินราบคาบถึงเพียงนี้ คนแก่คนหนึ่งก็ มิได้ตายเพราะมือเรา บัดนี้กลับมาถึงแม่น้ำลกซุนจะเข้าแดนเมืองอยู่แล้ว จะมาฆ่าคนเสียนั้นไม่ชอบ……”
แต่ขงเบ้งก็ระลึกได้ว่า เมื่อตอนที่ยกกองทัพ ข้ามแม่น้ำลกซุยนี้ไปเป็นฤดูร้อน ทหารลงอาบน้ำในแม่น้ำเวลากลางวัน ก็เกิดโลหิตไหลออกทางปากและจมูก ตายไปประมาณพันห้าร้อยคน ต้องต่อแพข้ามไปในเวลาดึก เลยเที่ยงคืนไปแล้ว จึงเอาชนะเบ้งเฮ็กได้ และในการรบครั้งที่เจ็ด ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ขงเบ้งก็ทำอุบายเผาทหารของลุดตัดกุดเจ้าเมืองออโกก๊ก ซึ่งใส่เกราะหวายแช่น้ำมันทำให้แทงฟันไม่เข้า และว่ายข้ามน้ำไปได้โดยไม่ต้องใช้เรือ ถึงแก่ความตายด้วยความทรมานถึงสามหมื่นคน ไม่นับรวมกับที่ตายเพราะการรบก่อนหน้านั้นอีกหกครั้ง จึงรำพึงว่า
“…….เมื่อทำศึกอยู่นั้น ทหารเบ้งเฮ็กก็ล้มตายอยู่ในที่นี้เป็นอันมาก ปีศาจทั้งปวงผูกเวรเรา จึงบันดาลให้เป็นเหตุต่าง ๆ เราจะคิดอ่านทำการคำนับให้หายเป็นปกติจงได้…..”
และเมื่อสอบถามชาวบ้านแถวนั้น ต่างก็บอกเหมือนกับที่เบ้งเฮ็กว่าทุกประการ ขงเบ้งจึงสั่งให้ทหารฆ่าม้าเผือกและกระบือดำ แล้วเอาแป้งมาปั้นเป็นศรีษะคนสี่สิบเก้าศรีษะ แล้วยกออกไปตั้งไว้ริมน้ำในเวลากลางคืน ขงเบ้งก็ออกไปจุดธูปเทียนปักทั้งสี่สิบเก้าศรีษะ และให้เจ้าหน้าที่อ่านคำบวงสรวงสรรเสริญ ทั้งทหารฝ่ายตนและฝ่ายข้าศึก แล้วจึงเอาเครื่องเซ่นทั้งปวง ลอยไปตามน้ำ พายุและละลอกคลื่นก็สงบลงเป็นปกติ ขงเบ้งจึงนำกองทัพกลับเมืองเสฉวนได้
ตัวขงเบ้งเองก็ถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นอีกเก้าปี และเมื่อขงเบ้งตายไปแล้วประมาณยี่สิบเก้าปี จงโฮยแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊ก ก็ยกทัพไปตีเมืองเสฉวน เมื่อเข้ายึดด่าน แฮบังก๋วนได้แล้ว ขณะที่พักอยู่ในด่านนั้น ถึงเวลาดึกก็ได้ยินเสียงอื้ออึงทำให้ทหารตกใจ จงโฮยก็ ออกมาดูทางทิศเหนือและทิศใต้ ก็มิได้มีสิ่งใดผิดปกติ รุ่งเช้าจึงขี่ม้าพาทหารร้อยคนไปตรวจดูตามชายเขาทางทิศใต้ แลไปบนเนินเขาเห็นผงคลีขึ้นตระหลบอยู่ ดังหนึ่งทหารมาตั้งอยู่แถวนั้น จงโฮย จึงให้หาตัวนายบ้านนั้นมาถามว่า ตำบลนี้ชื่อไร นายบ้านบอกว่าเขาเตงกุนสัน