การเสียชีวิตของ “เอกยุทธ อัญชันบุตร” นักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง เป็น “ฆาตกรรม”
อย่างอุกอาจ แต่ความพยายามปกปิด ซ่อนเร้น ไม่แสวงหาพยานหลักฐานแวดล้อมให้ครบ จำกัดประเด็นข้อสงสัย
และเบี่ยงเบนตัดตอนรูปคดี โดยเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องรับผิดชอบการสืบสวน สอบสวน ด้วยการเร่งสรุปผลโดยเร็วว่า
เป็นการชิงทรัพย์ธรรมดานั้นเป็น “อาชญากรรม” ที่โหดเหี้ยมอำมหิต เลือดเย็นกว่า
ในการสอบสวนคดีฆาตกรรมหรืออาชญากรรมทุกคดี กระทำโดยเจ้าหน้าที่มืออาชีพ สุจริต เที่ยงธรรม
ในสังคมที่เจริญแล้ว จะต้องบรรลุให้ถึงจุด “ไร้ความสงสัยอันมีเหตุผลทุกประการ” หรือ “Beyond All Reasonable Doubts”
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนยุติธรรม เริ่มต้นจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผ่านไปยังอัยการ และตุลาการในศาล
ในประเทศสหรัฐฯ การสอบสวนมักควบคู่ไปกับการหารือกับอัยการ เพื่อความน่าเชื่อถือ ให้ได้ตัวผู้ร้ายตัวจริง
มารับโทษตามกฎหมาย โดยที่เหยื่อและครอบครัวได้รับความยุติธรรมอย่างพร้อมมูล ในคดีมีผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง
เอฟบีไอมักมีส่วนร่วม
แต่การฆาตกรรมของ “เอกยุทธ” นั้นเต็มไปด้วยเงื่อนงำทุกขั้นตอน เริ่มต้นจากการจับกุมตัว การนำตัวไปที่ต่างๆ
การสังหารอย่างเหี้ยมโหด การซ่อนเร้นศพ การสืบสวน สอบสวนด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ เร่งรีบแบบสุกเอาเผากิน
เพื่ออยากปิดคดีให้เป็นคดีประสงค์ต่อทรัพย์และฆ่าเหยื่อทิ้ง แต่ละขั้นตอนมีพิรุธ ทิ้งเงื่อนงำมากมาย
แทนที่การสอบสวนจะสร้างความกระจ่างไม่ให้เหลือความสงสัย ผลที่ออกมากลับสร้างคำถามต่อเนื่องจากสังคม
และผู้อยากทราบข้อเท็จจริง ทำให้ตำรวจต้องวุ่นหาคำอธิบาย! แต่ยิ่งอธิบายมากเท่าไหร่ คำถามใหม่ก็ผุดขึ้นมา เพราะ
ความไม่เนียนสนิท
เริ่มต้นของคดี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ต้องประกาศไม่ขอรับผิดชอบสอบสวน
สะสางคดีนี้ เมื่อตัวเองและลูกน้องเป็นคู่กรณีโดยตรงกับ “เอกยุทธ” ไม่ว่าจะอ้างความเป็นมืออาชีพ รักความยุติธรรม
อย่างไรก็ตาม เมื่อสังคมรับทราบพฤติกรรมแต่หนหลังในการปฏิบัติหน้าที่ ย่อมไม่มีความเชื่อมั่น เชื่อถือ
ยิ่งมือขวา มือซ้าย มีมลทินติดตัว ไปจับกุมโดยไม่มีหน้าที่โดยตรง แต่เข้าไป รับผิดชอบสืบสวน สอบสวนอย่าง
ขมีขมัน เป็นการสร้างพิรุธ ข้อสงสัยให้มากกว่าที่เป็นอยู่! รวบรัดว่าเป็นการฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ ผสมกับความแค้นโดยคนขับรถ
เป็นต้นเหตุ
การอธิบายหลักฐานทุกขั้นตอนโดย “คำรณวิทย์” และคณะ ได้สร้างความขบขันเฮฮาในวงการตำรวจสายนักสืบ
นักสอบสวน นักอุ้ม ซึ่งกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ลำพังเด็ก “บอล” และ “เบิ้ม” ไม่มีสติปัญญา ศักยภาพในการประกอบ
อาชญากรรมขนาดนี้ได้! ต้องเป็นฝีมือของนักฆ่าอาชีพ และตำรวจเท่านั้น ไม่ว่าจะยังอยู่ในหรือนอกราชการ
พิรุธต่างๆ การเร่งปิดคดี มีคำถามทุกขั้นตอน เช่น การขุดศพ การพิสูจน์หลักฐาน การไม่พยายามเสาะหาทรัพย์สิน
ของผู้ตาย ตอกย้ำให้เห็นว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่บางคนนั้น ถ้าไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ย่อมถูกสงสัยว่าเป็นการ “รับงาน”
มา “เก็บ” และ “กวาด” ให้เนียน ไร้ร่องรอย ภายใต้คำสั่งของผู้มีอิทธิพลทางการเมืองคับประเทศ
มีคำกล่าวว่า “อาชญากรรมทุกครั้ง ย่อมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ” ในกรณี “เอกยุทธ” นั้นมีร่องรอย ความไม่อยู่กับร่อง
กับรอยชัดเจน จนเป็นความอุจาดอย่างยิ่ง! เพียงแค่ประเด็นว่าใครเป็นผู้ลงมือฆ่า “เอกยุทธ” ยังเป็นความขัดแย้งระหว่าง
“บอล” กับ “เบิ้ม”
เสียงเรียกร้องจากสังคมให้หน่วยงานอื่นในสำนักงานตำรวจ เช่น กองปราบ และกองบัญชาการสอบสวนกลาง
เข้ามารับผิดชอบคดี สืบสวน สอบสวน เพื่อให้เกิดความกระจ่างจนไม่เหลือประเด็นสงสัย กลับไม่มีเสียงตอบสนอง
ทั้งๆ ที่จะเป็นการกอบกู้ความน่าเชื่อถือขององค์กร ศรัทธาของประชาชน และสร้างความยุติธรรมอย่างแท้จริง
การเพิกเฉย ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สากับคำร้องของญาติของ “เอกยุทธ” ไปแจ้งความต่อตำรวจกองปราบ เท่ากับเป็นพิรุธ!
ในช่วงแรกของคดี ผบ.ตร. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แทบไม่มีบทบาทน่าเชื่อถือ ไม่ได้สร้าง
ความมั่นใจ เหมือนถูกครอบงำสั่งการของผู้ทรงอิทธิพลทางการเมือง จนลืมหลักการหน้าที่พิทักษ์คุณธรรม
นอกจากนั้น ผบ.ตร.ยังกล้ายืนยันว่า การเสียชีวิตของ “เอกยุทธ” นั้น “จากพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพ
ของผู้ต้องหาที่รวบรวมได้ มุ่งประเด็นไปที่การฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ และมองว่าเป็นประเด็นอื่นยาก” ก็ยิ่งสร้างความเฮฮาให้
ตำรวจด้วยกันอีก
ยังอธิบายอีกว่า “ส่วนแผนการประทุษร้าย หรือพฤติกรรมการก่อเหตุที่หลายฝ่ายมองว่า สรุปง่ายเกินไปนั้น ยืนยันว่า
จากการสอบปากคำคนร้าย ซึ่งเป็นคนภาคใต้จะพูดจาตรง ซึ่งสอดคล้องกับพยานหลักฐานที่เกิดขึ้น ทำให้การพิจารณาคดี
ได้ไม่ยาก”
มีบทเรียนทฤษฎีไหนในโรงเรียนตำรวจ บอกว่าอาชญากรคนใต้จะพูดจาตรง! ทำไมตำรวจไทยใจกล้าจึงหลงลม
ผู้ต้องหาอย่างง่ายดายเช่นนั้น! ไม่เห็นหรือว่าพวกแกนนำเสื้อแดง อาชญากรขี้คุก รอขึ้นศาลอาญาทุกวันนี้เป็นคนใต้
ประเภท 18 มงกุฎ โกหกพกลมสารพัด กะล่อนทอง ปลิ้นปล้อน ร้อยลิ้นกะลาวน พูดเก่งจนลิงตกต้นมะพร้าว
อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า “พนักงานสอบสวนยังไม่ปิดคดีดังกล่าว ตัวเองได้กำชับให้ทำสำนวน
คดีอย่างรอบคอบและรัดกุมที่สุด” นี่ก็เป็นรูปแบบอย่างฮา!
ผบ.ตร.กล้าสั่งให้ กองบัญชาการสอบสวนกลาง และกองปราบ รับผิดชอบคดี เริ่มต้นใหม่หรือไม่ หลักฐานบางส่วน
อาจถูกทำลาย ซ่อนเร้น จนยากแก่การสืบสวน! แต่ร่องรอยของอาชญากรรม การฆาตกรรมที่ไม่เนียน ยังมีเหลือ ถ้า
สอบสวนอย่างจริงจัง
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000073032
เอมายืนยัน ว่า เป็นวีระบุรุณ จริงๆ
"อาชญากรรม" อำพราง "ฆาตกรรม" ...โดย โสภณ องค์การณ์ ... ผู้จัดการออนไลน์
อย่างอุกอาจ แต่ความพยายามปกปิด ซ่อนเร้น ไม่แสวงหาพยานหลักฐานแวดล้อมให้ครบ จำกัดประเด็นข้อสงสัย
และเบี่ยงเบนตัดตอนรูปคดี โดยเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องรับผิดชอบการสืบสวน สอบสวน ด้วยการเร่งสรุปผลโดยเร็วว่า
เป็นการชิงทรัพย์ธรรมดานั้นเป็น “อาชญากรรม” ที่โหดเหี้ยมอำมหิต เลือดเย็นกว่า
ในการสอบสวนคดีฆาตกรรมหรืออาชญากรรมทุกคดี กระทำโดยเจ้าหน้าที่มืออาชีพ สุจริต เที่ยงธรรม
ในสังคมที่เจริญแล้ว จะต้องบรรลุให้ถึงจุด “ไร้ความสงสัยอันมีเหตุผลทุกประการ” หรือ “Beyond All Reasonable Doubts”
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนยุติธรรม เริ่มต้นจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผ่านไปยังอัยการ และตุลาการในศาล
ในประเทศสหรัฐฯ การสอบสวนมักควบคู่ไปกับการหารือกับอัยการ เพื่อความน่าเชื่อถือ ให้ได้ตัวผู้ร้ายตัวจริง
มารับโทษตามกฎหมาย โดยที่เหยื่อและครอบครัวได้รับความยุติธรรมอย่างพร้อมมูล ในคดีมีผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง
เอฟบีไอมักมีส่วนร่วม
แต่การฆาตกรรมของ “เอกยุทธ” นั้นเต็มไปด้วยเงื่อนงำทุกขั้นตอน เริ่มต้นจากการจับกุมตัว การนำตัวไปที่ต่างๆ
การสังหารอย่างเหี้ยมโหด การซ่อนเร้นศพ การสืบสวน สอบสวนด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ เร่งรีบแบบสุกเอาเผากิน
เพื่ออยากปิดคดีให้เป็นคดีประสงค์ต่อทรัพย์และฆ่าเหยื่อทิ้ง แต่ละขั้นตอนมีพิรุธ ทิ้งเงื่อนงำมากมาย
แทนที่การสอบสวนจะสร้างความกระจ่างไม่ให้เหลือความสงสัย ผลที่ออกมากลับสร้างคำถามต่อเนื่องจากสังคม
และผู้อยากทราบข้อเท็จจริง ทำให้ตำรวจต้องวุ่นหาคำอธิบาย! แต่ยิ่งอธิบายมากเท่าไหร่ คำถามใหม่ก็ผุดขึ้นมา เพราะ
ความไม่เนียนสนิท
เริ่มต้นของคดี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ต้องประกาศไม่ขอรับผิดชอบสอบสวน
สะสางคดีนี้ เมื่อตัวเองและลูกน้องเป็นคู่กรณีโดยตรงกับ “เอกยุทธ” ไม่ว่าจะอ้างความเป็นมืออาชีพ รักความยุติธรรม
อย่างไรก็ตาม เมื่อสังคมรับทราบพฤติกรรมแต่หนหลังในการปฏิบัติหน้าที่ ย่อมไม่มีความเชื่อมั่น เชื่อถือ
ยิ่งมือขวา มือซ้าย มีมลทินติดตัว ไปจับกุมโดยไม่มีหน้าที่โดยตรง แต่เข้าไป รับผิดชอบสืบสวน สอบสวนอย่าง
ขมีขมัน เป็นการสร้างพิรุธ ข้อสงสัยให้มากกว่าที่เป็นอยู่! รวบรัดว่าเป็นการฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ ผสมกับความแค้นโดยคนขับรถ
เป็นต้นเหตุ
การอธิบายหลักฐานทุกขั้นตอนโดย “คำรณวิทย์” และคณะ ได้สร้างความขบขันเฮฮาในวงการตำรวจสายนักสืบ
นักสอบสวน นักอุ้ม ซึ่งกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ลำพังเด็ก “บอล” และ “เบิ้ม” ไม่มีสติปัญญา ศักยภาพในการประกอบ
อาชญากรรมขนาดนี้ได้! ต้องเป็นฝีมือของนักฆ่าอาชีพ และตำรวจเท่านั้น ไม่ว่าจะยังอยู่ในหรือนอกราชการ
พิรุธต่างๆ การเร่งปิดคดี มีคำถามทุกขั้นตอน เช่น การขุดศพ การพิสูจน์หลักฐาน การไม่พยายามเสาะหาทรัพย์สิน
ของผู้ตาย ตอกย้ำให้เห็นว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่บางคนนั้น ถ้าไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ย่อมถูกสงสัยว่าเป็นการ “รับงาน”
มา “เก็บ” และ “กวาด” ให้เนียน ไร้ร่องรอย ภายใต้คำสั่งของผู้มีอิทธิพลทางการเมืองคับประเทศ
มีคำกล่าวว่า “อาชญากรรมทุกครั้ง ย่อมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ” ในกรณี “เอกยุทธ” นั้นมีร่องรอย ความไม่อยู่กับร่อง
กับรอยชัดเจน จนเป็นความอุจาดอย่างยิ่ง! เพียงแค่ประเด็นว่าใครเป็นผู้ลงมือฆ่า “เอกยุทธ” ยังเป็นความขัดแย้งระหว่าง
“บอล” กับ “เบิ้ม”
เสียงเรียกร้องจากสังคมให้หน่วยงานอื่นในสำนักงานตำรวจ เช่น กองปราบ และกองบัญชาการสอบสวนกลาง
เข้ามารับผิดชอบคดี สืบสวน สอบสวน เพื่อให้เกิดความกระจ่างจนไม่เหลือประเด็นสงสัย กลับไม่มีเสียงตอบสนอง
ทั้งๆ ที่จะเป็นการกอบกู้ความน่าเชื่อถือขององค์กร ศรัทธาของประชาชน และสร้างความยุติธรรมอย่างแท้จริง
การเพิกเฉย ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สากับคำร้องของญาติของ “เอกยุทธ” ไปแจ้งความต่อตำรวจกองปราบ เท่ากับเป็นพิรุธ!
ในช่วงแรกของคดี ผบ.ตร. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แทบไม่มีบทบาทน่าเชื่อถือ ไม่ได้สร้าง
ความมั่นใจ เหมือนถูกครอบงำสั่งการของผู้ทรงอิทธิพลทางการเมือง จนลืมหลักการหน้าที่พิทักษ์คุณธรรม
นอกจากนั้น ผบ.ตร.ยังกล้ายืนยันว่า การเสียชีวิตของ “เอกยุทธ” นั้น “จากพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพ
ของผู้ต้องหาที่รวบรวมได้ มุ่งประเด็นไปที่การฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ และมองว่าเป็นประเด็นอื่นยาก” ก็ยิ่งสร้างความเฮฮาให้
ตำรวจด้วยกันอีก
ยังอธิบายอีกว่า “ส่วนแผนการประทุษร้าย หรือพฤติกรรมการก่อเหตุที่หลายฝ่ายมองว่า สรุปง่ายเกินไปนั้น ยืนยันว่า
จากการสอบปากคำคนร้าย ซึ่งเป็นคนภาคใต้จะพูดจาตรง ซึ่งสอดคล้องกับพยานหลักฐานที่เกิดขึ้น ทำให้การพิจารณาคดี
ได้ไม่ยาก”
มีบทเรียนทฤษฎีไหนในโรงเรียนตำรวจ บอกว่าอาชญากรคนใต้จะพูดจาตรง! ทำไมตำรวจไทยใจกล้าจึงหลงลม
ผู้ต้องหาอย่างง่ายดายเช่นนั้น! ไม่เห็นหรือว่าพวกแกนนำเสื้อแดง อาชญากรขี้คุก รอขึ้นศาลอาญาทุกวันนี้เป็นคนใต้
ประเภท 18 มงกุฎ โกหกพกลมสารพัด กะล่อนทอง ปลิ้นปล้อน ร้อยลิ้นกะลาวน พูดเก่งจนลิงตกต้นมะพร้าว
อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า “พนักงานสอบสวนยังไม่ปิดคดีดังกล่าว ตัวเองได้กำชับให้ทำสำนวน
คดีอย่างรอบคอบและรัดกุมที่สุด” นี่ก็เป็นรูปแบบอย่างฮา!
ผบ.ตร.กล้าสั่งให้ กองบัญชาการสอบสวนกลาง และกองปราบ รับผิดชอบคดี เริ่มต้นใหม่หรือไม่ หลักฐานบางส่วน
อาจถูกทำลาย ซ่อนเร้น จนยากแก่การสืบสวน! แต่ร่องรอยของอาชญากรรม การฆาตกรรมที่ไม่เนียน ยังมีเหลือ ถ้า
สอบสวนอย่างจริงจัง
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000073032
เอมายืนยัน ว่า เป็นวีระบุรุณ จริงๆ