ฉันมา...จากบ้านนอก

กระทู้สนทนา
วาตภัย
+++++
วันนั้น>>>
ณ ป้ายรถเมล์
หน้า ม.ธรรมศาสตร์ ฝั่งสนามหลวง
มีชื่อป้ายตีตราระบุสถานะของผู้สร้างว่า ป้ายเนติฯ
ผู้คนต่างผลัดเปลี่ยนเวียนไปมา รอเวลานัดหมายรถสายของตน ผู้คนถูกเวียนว่ายถ่ายเทตามรอบหมุนของรถเมล์ที่ผ่านมาแต่ละสาย
ดูคล้ายกับรถรับคนไปทอดผ้าป่า หรือว่าไปร่วมงานศพมันเป็นความน่ารักน่าเอ็นดูของชุมชนเรา
>>>
บ่ายสามกว่า>>>ในวันที่ร้อนระอุเช่นนี้...
แม้หลายคนจะพึ่งออกจากห้องแอร์ที่เย็นฉ่ำ
แต่เหงื่อที่ทะยอยแทรกชอนไชดีดตัวดันทะลุรูขุมขน
มันไหลหยดรดต้นคอพอมันเยิ้ม เพิ่มเติมด้วยเครื่องสำอางรองพื้นที่ฉาบมา ผสมผสานจนงานสวยเหมือนชนเผ่ายางมะตูมเตรียมออกล่าสัตว์ นี่ถ้าเหงื่อมีรสหวาน
คงทำน้ำเชื่อมได้หลายถ้วยตวง
>>>
ต่างคนต่างไม่สนใจสิ่งรอบตัวเท่าใดนัก
มืออันเล็กเรียวและบอบบางของนักศึกษาสาวนางหนึ่ง ค่อยๆ ปาดเหงื่อที่ชุ่มคอเบาๆ สายน้ำเค็มที่ไม่ได้เกิดจากทะเล ติดมือหล่อนจนชุ่มแฉะ เผลอสะบัดไปโดนหนุ่มหน้ามนคนรูปงามยืนข้างหน้าคล้ายตั้งใจ
เขาหันมาทำตาขวางขมวดคิ้วมองอย่างถือตัว ที่ลำคอเต็มไปด้วยร่องน้ำเค็มสายพันธุ์เดียวกันราวกับโดนสาดน้ำยามสงกรานต์
เขาบรรจงหยิบกระจกใบจิ๋วมาเช็กสภาพหนังหน้าตัวเองแล้วเก็บซ่อนลงกางเกงในอย่างคล่องแคล่ว
>>>
ความร้อนอันอบอ้าว
ทำให้เหงื่อที่ยืดหยดผ่านร่องคอของบางคน
ดูเป็นงานศิลป์ชิ้นเลิศลายเส้นสดดุจยางคางคกยามฟกช้ำ โดยเฉพาะเหงื่อของซิ้มอวบๆคนหนึ่ง ที่พึ่งหิ้วของพะรุงพะรังมาจากท่าพระจันทร์
อั๊วะเป็นคนขี้ร้อน...หล่อนสบถเบาๆผ่านผ่านชายแก่ที่ยืนอยู่ข้างตน
โดยมิทันสังเกตหูที่ลุงสวมเครื่องช่วยฟังรุ่นแรก
>>>
เมื่อรถเมล์จอดเทียบจะเหยียบเท้า
ทุกคนต่างยื้อแย่งแทงตัวให้ทะลุผ่านกำแพงคน
ดึงดันเบียดตัวเข้าพุ่งชนให้ถึงซึ่งเป้าหมาย จุดนัดพบ คือ"เก้าอี้ตัวที่ว่าง"อย่างพร้อมเพรียง
เด็กน้อยตัวเล็ก คนแก่ และคนพิการค่อยๆดีดตัวขึ้นรถแบบสโลว์ไลฟ์เป็นรายสุดท้าย โดยมีพระกวักมือเรียกอยู่ลิบๆ
>>>
เวลาผ่านไป ป้ายรถเมล์
ยังคงทำหน้าที่พักพิง ให้กับผู้คนระลอกแล้วระลอกเล่า
เก้าอี้หิน ถูกปักเรียงดุจเห็ดยักษ์หัวบานทรงสี่เหลี่ยม
มันถูกปักรากฝังดินอย่างนิ่งเงียบ กาลเวลาที่โดนก้นถูไถแทนไยขัดมันวิบวับแวววาวจนน่านั่ง ทำให้ยิ่งฝังแน่นตั้งเด่นเป็นแกรนแคนย่อนรอคนหย่อนก้นอย่างทระนง
มันทำหน้าที่รองรับ ตูด ก้น อันฟกช้ำของคนมานับไม่ถ้วน ทั้งก้นแหลม ก้นทู่ ก้นบาน ก้นหย่อน ก้นย้อย ก้นเล็ก ก้นใหญ่ ก้นยาน แม้กระทั่งก้นรีดสีดวงแตกก็เคยรับการบดขยี้มาแล้ว
บางคนนั่งแล้วลุก บางคนลุกแล้วนั่ง บางคนนั่งแล้วตด
บางคนยังลังเลไม่มั่นใจในความปั่นป่วนก็มี
>>>
คนที่คร่ำหวอดมากประสบการณ์ชำนาญรอ มักเลือกที่จะไม่หย่อนก้นอันฟกซ้ำนั้นลง แม้เก้าอี้หินจะยั่วยวนรัณจวนก้นเพียงใด แต่ความใคร่อันน้อยนิดนี้ จะทำให้การสปีดตัวขึ้นรถช้า เมื่อคราวต้องฝ่าด่านประตูนรก ยามรถที่หมายตาใกล้เข้ามานั่นเอง
นัยว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวานสู้ไปแย่งที่นั่งบนรถนั่นดีกว่า
>>>
ก้อนลมเหม็นพัดพากลิ่นมาชอนไชรูจมูกเป็นระยะ ขนจมูกที่ดกดำต่างพากันม้วนหลบเข้าข้างใน ไร้วี่แววความรับผิดชอบใดๆ
ณ จุดมุมสุดของป้ายรถเมล์ ด้านทิศเหนือสุดปลายเก้าอี้
ฝั่งที่มีโรงละคร มันถูกจับจองรองรับร่างกายเป็นที่พาดเกยแขนขาของชายนิรนามนายหนึ่ง
ตามร่างกาย ถูกฉาบทาไปด้วยเหงื่อไคลที่ไหลวนจนแห้งกรังเป็นชั้นเหนียวจากผลิตผลของเขาเอง
มันเป็นการหมักหมมความเป็นนิรันดรที่ธรรมชาติสั่งสมมาพร้อมกาลเวลาบอกอายุไขด้วยไยผ้าที่กลิ่นกลืน
ว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมานับร้อยห่าฝนมาหลายฤดูยืนยันตามความผุของเสื้อผ้ากับกลิ่นตุๆ เต็มรูปแบบ
>>>
เขาหรือมัน สรรพนามที่มักใช้เรียกควายลับหลัง ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าคงรูปชุดดำล้วน
บ่งบอกถึงประสบการณ์ชีวิตด้วยกลิ่นสาบสาง มันเหม็นจนหืนเหมือนกลืนก้อนลมเน่าลงคอ
หากสูดดมนานๆ อาจจะเกิดอาการตาลายเป็นลม บางคนต้องงัดยาดมมาดมกลบ หลายคนไม่ยอมถอดหลอดยาจากจมูกเขาเสียบคาเดินไปมาอย่างเปิดเผยยี่ห้อเซียน มีบางคนตั้งข้อสันนิษฐานว่าจะลองทนอยู่ดมดูตรงจุดซ่อนเร้น อาจจะเพลินกับกลิ่นเหมือนติดฝิ่นติดเหล้า แรกๆอาจทรมากายาพาสำลัก พอหนักๆเข้าอาจต้องคุกเข่าอ้อนวอนมัน
สูดนานๆ จมูกจะบานและด้านชาตาจะลอยน้ำลายหยืด คลุ้มคลั่งในยามต้องการก็เป็นได้...หารู้ว่าหลายคนที่คิดแบบนั้นได้ถูกนำตัวไปเก็บไว้ที่ศาลาสองหลายรายแล้ว
อานุภาพของกลิ่นหากผู้ใดเข้ามาใกล้ในระยะประชิดลูกซองยิงถึง ถ้าไม่รีบขึ้นรถหนีในเวลาไม่กี่อึดใจ คนๆนั้นอาจจะล้มนอนชักไยแมงมุมอยู่ข้างๆ สักพักจะนิ่ง น็อค และตายในที่สุด
>>>
ชายนิรนาม มีร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งสดและแห้ง
ทั้งแผลเล็ก แผลใหญ่ แผลพุพอง แผลเป็นหนอง
นั่นเหตุเพราะไม่ได้ใช้โทนาฟมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง

เส้นผมที่ยาวจนปลายหลบเข้าไปซุกซ่อนข้างในหัวมันฟูฟ่องคล้ายปล่องภูเขาไฟปะทุ มันบ่งบอกถึงพรหมจรรย์ในยุค 4.0 ว่าไม่เคยผ่านด่างทับทิม กำมะถัน ใบน้อยหน่า ใบมะกรูดหรือแม้แต่คอลีนฆ่าเชื้อใดๆ มานานแรมปี
>>>
อากาศที่ร้อนอบยามลมสงบเช่นนี้...มันเป็นแหล่งบ่มเพาะจุลทรีย์และปรสิตชั้นเลิศ
แม้แดดจะอ่อนล้าโรยราไปเยอะแล้ว แต่เหงื่อไคล...ที่ไหลเวียนวนพร้อมระคนกลิ่นสาบสางยามพลิกตัว ดังพญาจามรีพลัดถิ่นขยับกายเกาจั๊กแร้
แห่ฟุ้งออกมาอย่างบ้าคลั่ง เสมือนเฮอริเคนระดับห้าเข้าทำลายเซลล์ประสาทให้ตื่นตัวระลอกแล้วระลอกเล่า
>>>
ทุกครั้งที่ลมจากแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านมาทัก
หลายคนที่ยืนรอรถเมล์ จะโยกตัวเอียงหลบกระแสลมพร้อมๆกัน มันช่างเป็นภาพที่พร้อมเพรียงหาดูยากและงดงามคล้ายพระเอกคีนูลีฟ หลบห่ากระสุนจากฝูงปืน
>>>
เก้าอี้หัวเห็ดทรงสี่เหลี่ยมขัดมันตัวแล้วตัวเล่า ที่ผลัดกันเว้นว่าง บางคนผละตัวลุกออกจากเก้าอี้ ทำทีว่ารถกูมา
แล้ว สักพักจึงแสดงท่าผิดหวังแก้เก้อ เดินวนไปมา อย่างมีชัย
>>>
ชายหนุ่มหน้ามนคนหนึ่งเผลอกระแทกก้นนั่งลงอย่างแรงเพราะกลัวโดนแซงแย่งที่ เขาต้องสูดทนดมเอากลิ่นสาบสางยั่วยวนอาหารในกระเพาะให้ออกมาชั่วขณะ
เขารู้กฎดีว่าจำต้องทนสักพักก่อน จะผละลุกทันทีไม่ได้ มันเป็นธรรมเนียมของที่นี่
เพราะจะทำให้ดูเป็นผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดินอาจถูกตราว่ารังเกียจคนจน เหล่าสุจริตชุมชนจะพร้อมกันประนามสาปด้วยความสามัคคีชุมนุมส่งสายตามาเยาะเย้ยเป็นอันดับต้น ตามด้วยคำถากถางจนแทบจะสิ้นบุญว่าไม่อดทนพอเบาๆตาม
ซึ่งเขาพึ่งเผชิญมาจากอีกฝั่ง ที่ชื่อป้ายคลองหลอด
>>>
เขาจำต้องทนนั่งนิ่งกลั้นลมปราณ...แล้วค่อยๆ ทำทีชะเง้อตามองรถ เป็นระยะ
รถที่ทิ้งระยะห่างจนเกือบสิ้นหวัง แต่มันก็ช่วยให้เขาแก้ตัวได้ รถเมล์ที่หมายตามาลิบๆ เขาพุ่งตัวทะยานออกมา ความแรงของความหนุ่ม ทำเอาเด้งไปอีกฟากของถนน
งานดี สำเร็จแล้ว เขานึกชมตัวเองอยู่ในใจ
เอี๊ยดดดด...กร๊อบบบบ!!!
>>>
สถานการณ์ลุกๆนั่งๆ ทำให้เกิดรอยแห่วงกลางแถวยาว
เก้าอี้หิน ที่เรียงรายอย่างได้ระยะมาตราส่วน ทำให้มองดูเหมือนคนฟันหลอสลับซี่ไปมา
>>>
ระยะห่างของรถเมล์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันขยายตามเวลาที่รีบเร่ง ยิ่งเร่งมาก ก็ยิ่งห่างมาก ณ จุดนี้ อนาคตมืดบอดหากจะรอโครงการรถไฟฟ้าบนดินหรือใต้ดิน เพราะมันคือสนามหลวง
กลิ่นสาบเริ่มรุนแรงขึ้นตามความร้อนของอากาศ และปะทุแรงขึ้นตามแรงปะทะของกระแสลม
บางคนที่ไม่ใช่คนอึดทะลุมิติ ไม่มียาดม ค่อยๆล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูกบ้าง
ทำหน้าฟุตฟิตเพื่อให้จมูกผิดรูป เพื่อหน่วงลมให้ทะยอยเข้าช้าๆบ้าง มันช่างเป็นกิจกรรมที่ยอดเยี่ยมนัก
>>>
แต่ไม่ว่าใครจะทำหน้าอย่างไร เพื่อหลบเลี่ยงวาตภัยเฮอริเคนซ่อนกลิ่นนี้
ถ้าอยู่ในรัสมีของเอ็ม 79 ยิงถึง ก็ย่อมได้รับกลิ่นนั้นอย่างสมบูรณ์และเป็นธรรมฯ ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มสองรูจมูก ไม่เลือกว่าจะดั้งเดิมหรือเพิ่มเติมมา สรุปว่าไม่รอดสักราย
>>>
ชายนิรนามนั้น ยังคงหลับนิ่ง ดุจพญาจามรีอิ่มท้อง ไม่ไหวติง เขาไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมา ไม่มีลีลา แสดงท่าความเอียงอายให้ใครเห็น
เขาสง่างามไม่หลุกหลิกพลิกตัวให้เสียเวลาหลับไหล
แม้จะมีหลายสิบสายตาที่มองเมียงเอียงๆมาอย่างครุ่นคิด คิดแนะนำในใจ
>>>
สภาวะเช่นนี้ ภาษาหมอศิริราชเรียกว่าภาวะการหลับลึกนั่นเอง
แม้จะลึกแค่ไหนก็ไม่มีใครหยั่งถึง นอกจากพญาจามรีผู้นี้เองเท่านั้น แต่ก็มีบ้างที่เสียงเคี้ยวปากจับๆ อย่างเอร็ดอร่อย เล็ดลอดมา
พอให้คนที่ป้ายรถเมล์นั้นลุ้นเล่นเป็นระยะ ว่าจะตื่นหรือจะต่อ จนกลายเป็นลงขันแทงพนันของสองฝั่ง ตื่น-หรือนอนต่อ...เฮ... เสียงของฝ่ายชนะพนันดังขึ้นเป็นระยะ
เขาก็พลิกตัวนอนต่ออย่างเงียบ เหมือนกลัวจะรบกวนคนข้างๆ
มันช่างเป็นการนอนที่มีความสุขยิ่งนัก เขาไม่รู้สึกรู้สาไม่ยี่หระ
ไม่หดหู่ ไม่ไว้ท่าลีลาเขินต่อสายตาที่เมินมองใดๆ เลย
>>>
มีให้ลุ้นบ้าง ที่นานๆ ทีเขาจะขยับตัวเกา ตบยุง เหลือบ ริ้น ที่บินว่อน ให้หายรำคาญ
หรือไม่ก็อาการงอเข่ายืดเหยียดบ้างในบางบริบท เพื่อผ่อนคลายนรชาติเกยก่ายให้พอดีกับเก้าอี้หิน
>>>
อากาศธาตุที่ก่อตัวในลำคอพุ่งกระทบกระดูกอ่อนชนผนังกรองเสียงดังลั่นสั่นสะเทือนแล้วจึงค่อยเคลื่อนออกมาเป็นจังหวะเข้าออก มันคือการก่อกำเนิดวาตภัยเล็กๆที่เรียกว่ากรน
บ่งบอกให้ชุมชนคนมารอ...พอสิ้นหวัง
ต่างคนต่างแยกย้าย กุมมือกอดก่าย ร่ำลาอาลัย ร้องไห้ปานจะขาดใจว่าพรุ่งนี้พบกันใหม่...เหลือไว้เพียงชายนิรนามจามรีพลัดถิ่นเพียงลำพัง
>>>
ชายหนุ่มผู้หลับไหลน้ำลายซึม...ค่อยๆลืมตาที่ขุ่นมัวจ้องมองมาที่ท้องสนามหลวง เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่เขานอนที่นี่...เขานอนมองสนามหลวงพร้อมกับบอกตัวเองอยู่เสมอว่า เขาจะอยู่ที่นี่ จะจงรักและดูแลที่นี่ ด้วยความรักความภักดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่...จนกว่าร่างกายจะสิ้นลม
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ สถานที่กลางแจ้ง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่