ด้วยเหตุที่พระพุทธเจ้า มิได้ตรัสอธิบายว่า คันธัพพะ อันเป็นองค์ประกอบ ๑ ใน ๓ ของการเกิดสิ่งมีชีวิตในครรภ์มารดานั้นหมายถึงอะไร ตัวของท่านปยุตโตเอง ก็ได้กล่าวอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า
(๑) พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสอธิบายความหมายไว้
(๒) คำศัพท์ดังกล่าวนี้ โดยทั่วไปหมายถึง เทวดานักดนตรี(คนธรรพ์) แต่เราจะไปหลง(ยึดติด)กับความหมายที่ฟังไม่ได้ใจความอย่างนี้ไม่ได้ เพราะคำศัพท์ อาจมีความหมายได้หลายนัย
(๓) อรรถกถาจารย์ เป็นผู้แปล คันธัพพะ ในความหมายว่า สัตว์ผู้มาเกิด
ดังนั้น จึงหมายความว่า มีแนวทางในการอธิบายสภาวะสมมุติของปรากฏการณ์นี้ได้ ๒ กรณี คือ
(๑) แปลความแบบตรงตามตัวอักษรว่า คันธัพพะ หมายถึง เทวดานักดนตรี(คนธรรพ์) ซึ่งเราชาวพุทธ จะได้ความหมายของเรื่องราวที่ แฟนตาซี สุดๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเบาปัญญาอย่างสุดๆ อย่างที่ไม่สามารถอวดอ้างได้ว่าเป็นศาสนิกของศาสนาแห่งปัญญาได้เลย เช่นกัน
(๒) แปลความหมายตามที่อรรถกถาจารย์ ชี้นำ ว่าหมายถึง สัตว์ผู้มาเกิด ในกรณีนี้ จะต่างไปจากกรณีแรกในแง่ที่ว่า แม้จะไม่พิสดารพันลึก(แฟนตาซี)เท่ากับกรณีแรก แต่ก็แฝงไปด้วยแนวคิดแบบมิจฉาทิฐินอกพระพุทธศาสนา(ฝ่ายสัสสตทิฐิ) ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า จะมิทรงบัญญัติว่า สัตว์ตายแล้วเกิดอีก หรือ ไม่เกิดอีก เป็นอันขาด ดังนั้น หากเราเชื่อการแปลความหมายแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นการ "บิดเบือน" พระธรรมวินัยโดยตรงนั่นเอง
น่าขัน ที่มีชาวพุทธบางคน พยายามจะยืนยันว่า องค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่งของการเกิดสิ่งมีชีวิตในครรภ์มารดา ก็คือ เทวดาจำพวก คนธรรพ์ การกล่าวเช่นนี้ ย่อมเท่ากับเป็นการ ระบุ อย่างตรงไปตรงมาว่า การที่ มนุษย์(อย่างนายคนนั้น) จะสามารถเกิดขึ้นมาได้ จำต้องอาศัยองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ (๑) บิดามารดาร่วมกัน (๒) มารดามีระดู และ (๓) ต้องมีเทวดา คือ คนธรรพ์ นั่นจึงหมายความว่า เขาเชื่อว่า เขาสามารถเกิดขึ้นมาได้โดยมีเพียงแต่ เซลล์สืบพันธุ์ฝ่ายมารดา(ไข่) เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีเซลล์สืบพันธุ์ฝ่ายบิดา(สเปอร์ม) แต่อย่างใดทั้งสิ้น ซึ่งประเด็นปัญหา ที่พึงพิจารณา มี ๒ ประการคือ
๑) หากแม้จะอ้างถึงเทคโนโลยีการ "โคลน" ซึ่งไม่ต้องอาศัยเซลล์สืบพันธ์ฝ่ายชาย ก็ไม่สามารถอ้างได้อย่างเต็มปากเต็มคำนัก เพราะการโคลนนิ่งมนุษย์ สมควรจัดเป็น กรณียกเว้น หรือ กรณีพิเศษ มิใช่ กรณีทั่วไป แต่ข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ จัดเป็นกรณีทั่วไป ที่ผู้คนในสังคมสมัยนั้นสามารถทำความเข้าใจได้ หรือหากแม้จะอ้างถึงปรากฏการณ์ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ มันก็ยังจัดเป็นข้อยกเว้น ที่หาได้ยากในสัตว์บางจำพวก ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เฉพาะบางกรณีหรือบางช่วงเวลา อยู่ดี
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ "ความเชื่อ" ในการอธิบายความแบบสิ้นคิดของคนพวกนี้ ก็คือ ถ้าหากเขาเชื่อว่า สเปอร์ม มิได้เป็นปัจจัยสำคัญ ๑ ใน ๓ ประการ สำหรับการเกิดปฏิสนธิในครรภ์มารดา นั่นก็ย่อมหมายความว่า ภรรยา ของชายที่เป็นหมัน ก็สามารถ "ท้องป่อง" ได้โดยที่ผู้เป็นสามี ไม่จำเป็นต้อง "ระแวง" พี่ยามหน้าหมู่บ้าน หรือ น้องมอเตอร์ไซค์วินปากซอย เพราะเหตุปัจจัย หรือสิ่งสำคัญที่สามารถทำให้ภรรยาของเขา "ตั้งครรภ์" ได้ก็คือ เทวดานักดนตรี(คนธรรพ์) ต่างหาก ใช่หรือไม่ ?
๒) การที่ชาวพุทธกลุ่มนี้ พยายามแปลความโดยอ้างพระบาลีพุทธพจน์ จากพระไตรปิฎก ว่ามี เทวดาจำพวกหนึ่ง เป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถทำให้หญิงตั้งครรภ์ได้ โดยไม่ต้องอาศัยเซลล์สืบพันธุ์ของฝ่ายชาย ย่อมเท่ากับเป็นการแสดงหลักฐานทางพระคัมภีร์(ผ่านการตีความของพวกเขา) สนับสนุน "ความเชื่อ" ของเพื่อนศาสนิกลัทธิอื่น ในเรื่อง การตั้งครรภ์บริสุทธิ์ของหญิงพรหมจรรย์ อันเกิดจากพระประสงค์ หรืออำนาจของพระเจ้า (จะโดยตั้งใจหรือไม่ คงมิใช่ประเด็น) !
แต่กระนั้น ในความเชื่อของเพื่อนต่างศาสนา กรณีเช่นนี้ ถือเป็นกรณีพิเศษ มิใช่กรณีทั่วไป ซึ่งพวกเขาเหล่านั้น ย่อมทราบตามความเป็นจริงอยู่แล้วว่า การที่จะเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาในครรภ์มารดาขึ้นมาได้ ก็ต้องอาศัยทั้ง (๑) เซลล์ไข่ (๒) เซลล์อสุจิ และ (๓) การปฏิสนธิ ดังนั้น เรื่องจึงกลายเป็นว่า แม้เพื่อนศาสนิกอื่น จะระบุอย่างชัดเจนว่า การตั้งครรภ์บริสุทธิ์ของหญิงพรหมจรรย์ เป็นเรื่องของ "ความเชื่อ" แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ "ความเชื่อ" เฉพาะในกรณีพิเศษเท่านั้น มิใช่กรณีที่เกิดได้ทั่วไป
ปัญหาที่ชาวพุทธไร้สติกลุ่มนี้ จะต้องอธิบาย ก็คือ การเกิดสิ่งมีชีวิตในครรภ์มารดา ที่อาศัยองค์ประกอบคือ (๑) บิดามารดาร่วมกัน (๒) มารดามีระดู และ (๓) เทวดานักดนตรี(คนธรรพ์) โดยปราศจาก เซลล์สืบพันธุ์ฝ่ายชาย(สเปอร์ม) ซึ่งถือว่าเป็นกรณีทั่วไป จะมีความเป็นไปได้อย่างไร เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง ตามความเป็นจริงในทางโลก ?
ทั้งนี้ ชาวพุทธทั้งหลายจะต้องไม่ลืมว่า อรรถกถาจารย์นี้เอง ที่กล่าวยืนยันว่า แม้เมื่อพระพุทธเจ้าตรัส สัจจะในระดับสมมุติ ก็จะทรงแสดงตามความเป็นจริงตามสภาพ ไม่เท็จ
ดังนั้น การแปล คันธัพพะ ว่าหมายถึง เทวดานักดนตรี โดยเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตในครรภ์มารดาได้ โดยปราศจาก เชื้อพันธุ์ฝ่ายชาย(สเปอร์ม)นั้น สมควรถือว่าเป็นการกล่าวตามความเป็นจริงตามสภาพ ที่ไม่เป็น "ความเท็จ" แล้วหรือไม่ ?
สรุป
ประเด็นสรุป สำหรับปัญหาเรื่องนี้ ก็คือ ถ้าหากชาวพุทธบางพวก ยังยืนยันจะแปล คันธัพพะ ว่าหมายถึง เทวดานักดนตรี(คนธรรพ์) ด้วยการแปลความหมายอย่างสิ้นคิดแบบนี้ จะส่งผลให้
๑) เป็นการสร้างความชอบธรรมทางความเชื่อให้แก่ศาสนิกลัทธิอื่นในเรื่อง การตั้งครรภ์บริสุทธิ์ของหญิงพรหมจรรย์ ซึ่งเราจะไป "ดูหมิ่นถิ่นแคลน" ความเชื่อแบบนี้มิได้ เพราะชาวพุทธบางพวก ก็มีความเชื่อในลักษณะนี้เช่นกัน ผิดกันแต่ว่า ศาสนิกลัทธิอื่น เขาเชื่อว่ามีได้เฉพาะกรณีพิเศษเท่านั้น แต่ชาวพุทธไร้สติพวกนี้ กำลังพูดในลักษณะที่เป็นกรณีทั่วไป
๒) ด้วยวิทยาการสมัยปัจจุบัน เราย่อมทราบเป็นอย่างดีว่า เมื่อกล่าวถึงกรณีทั่วไป สิ่งมีชีวิตในครรภ์มารดา จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย ปัจจัย ๓ ประการ คือ (๑) เซลล์ไข่ (๒) เซลล์อสุจิ และ (๓) การปฏิสนธิ และชาวพุทธทั้งหลายย่อมทราบเป็นอย่างดีด้วยว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสสมมุติกถา ก็ย่อมแสดงตามความเป็นจริงตามสภาพ ไม่เท็จ แต่การกล่าวถึงการเกิดของสิ่งมีชีวิตในครรภ์ในกรณีทั่วไป โดยปราศจากเซลล์สืบพันธุ์ฝ่ายชาย ย่อมเป็นคำกล่าวที่ไม่ตรงกับสภาพตามความเป็นจริง ซึ่งในกรณีเช่นนี้ สามารถให้คำอธิบายได้ ๒ ประการ คือ
(๒.๑) ในเมื่อพระพุทธเจ้าย่อมมิอาจ ตรัสความเท็จหรือตรัสไม่ตรงตามความเป็นจริง ดังนั้น การแปล คันธัพพะ ว่าหมายถึง เทวดาบางพวก อันนำมาสู่ข้อสรุปที่ผิดไปจากความเป็นจริงตามธรรมชาติ ในทำนองว่า ปัจจัยในการเกิดสิ่งมีชีวิตในครรภ์มารดาคือ เทวดาบางพวก ไม่ใช่ เซลล์สเปอร์ม จึงเป็นการแปลผิด หรือเป็นการตีความผิดโดยชาวพุทธไร้สติกลุ่มนั้น(เท่านั้น) โดยที่มิใช่พระประสงค์ของพระพุทธเจ้า
(๒.๒) แต่หากจะยืนยันว่า ต้องแปลอย่างนี้เท่านั้น มิสามารถแปลเป็นอย่างอื่นได้ ก็ต้องสรุปความว่า พระบาลีส่วนนี้ มิใช่พุทธพจน์เดิมแท้ แต่ได้ถูกเพิ่มเติมขึ้นมาในภายหลัง เพราะเป็นไปมิได้เลย ที่พระพุทธเจ้าจะตรัสในสิ่งที่ค้านกับข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ ที่สามารถตรวจสอบพิสูจน์ได้ แต่หากท่านทั้งหลายมิยอมรับข้อสรุปนี้ ก็แปลว่า ชาวพุทธทั้งหลายในปัจจุบันนี้ สามารถยอมรับได้ว่า พระพุทธเจ้าก็สามารถตรัสแสดงในสิ่งที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงตามธรรมชาติได้เช่นกัน (แต่ผมไม่เอาด้วยหรอกนะ) !
จบ
กุมารทองแฟนตาซี กับ กำเนิดมนุษย์ ในหญิงพรหมจารีย์
(๑) พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสอธิบายความหมายไว้
(๒) คำศัพท์ดังกล่าวนี้ โดยทั่วไปหมายถึง เทวดานักดนตรี(คนธรรพ์) แต่เราจะไปหลง(ยึดติด)กับความหมายที่ฟังไม่ได้ใจความอย่างนี้ไม่ได้ เพราะคำศัพท์ อาจมีความหมายได้หลายนัย
(๓) อรรถกถาจารย์ เป็นผู้แปล คันธัพพะ ในความหมายว่า สัตว์ผู้มาเกิด
ดังนั้น จึงหมายความว่า มีแนวทางในการอธิบายสภาวะสมมุติของปรากฏการณ์นี้ได้ ๒ กรณี คือ
(๑) แปลความแบบตรงตามตัวอักษรว่า คันธัพพะ หมายถึง เทวดานักดนตรี(คนธรรพ์) ซึ่งเราชาวพุทธ จะได้ความหมายของเรื่องราวที่ แฟนตาซี สุดๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเบาปัญญาอย่างสุดๆ อย่างที่ไม่สามารถอวดอ้างได้ว่าเป็นศาสนิกของศาสนาแห่งปัญญาได้เลย เช่นกัน
(๒) แปลความหมายตามที่อรรถกถาจารย์ ชี้นำ ว่าหมายถึง สัตว์ผู้มาเกิด ในกรณีนี้ จะต่างไปจากกรณีแรกในแง่ที่ว่า แม้จะไม่พิสดารพันลึก(แฟนตาซี)เท่ากับกรณีแรก แต่ก็แฝงไปด้วยแนวคิดแบบมิจฉาทิฐินอกพระพุทธศาสนา(ฝ่ายสัสสตทิฐิ) ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า จะมิทรงบัญญัติว่า สัตว์ตายแล้วเกิดอีก หรือ ไม่เกิดอีก เป็นอันขาด ดังนั้น หากเราเชื่อการแปลความหมายแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นการ "บิดเบือน" พระธรรมวินัยโดยตรงนั่นเอง
น่าขัน ที่มีชาวพุทธบางคน พยายามจะยืนยันว่า องค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่งของการเกิดสิ่งมีชีวิตในครรภ์มารดา ก็คือ เทวดาจำพวก คนธรรพ์ การกล่าวเช่นนี้ ย่อมเท่ากับเป็นการ ระบุ อย่างตรงไปตรงมาว่า การที่ มนุษย์(อย่างนายคนนั้น) จะสามารถเกิดขึ้นมาได้ จำต้องอาศัยองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ (๑) บิดามารดาร่วมกัน (๒) มารดามีระดู และ (๓) ต้องมีเทวดา คือ คนธรรพ์ นั่นจึงหมายความว่า เขาเชื่อว่า เขาสามารถเกิดขึ้นมาได้โดยมีเพียงแต่ เซลล์สืบพันธุ์ฝ่ายมารดา(ไข่) เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีเซลล์สืบพันธุ์ฝ่ายบิดา(สเปอร์ม) แต่อย่างใดทั้งสิ้น ซึ่งประเด็นปัญหา ที่พึงพิจารณา มี ๒ ประการคือ
๑) หากแม้จะอ้างถึงเทคโนโลยีการ "โคลน" ซึ่งไม่ต้องอาศัยเซลล์สืบพันธ์ฝ่ายชาย ก็ไม่สามารถอ้างได้อย่างเต็มปากเต็มคำนัก เพราะการโคลนนิ่งมนุษย์ สมควรจัดเป็น กรณียกเว้น หรือ กรณีพิเศษ มิใช่ กรณีทั่วไป แต่ข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ จัดเป็นกรณีทั่วไป ที่ผู้คนในสังคมสมัยนั้นสามารถทำความเข้าใจได้ หรือหากแม้จะอ้างถึงปรากฏการณ์ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ มันก็ยังจัดเป็นข้อยกเว้น ที่หาได้ยากในสัตว์บางจำพวก ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เฉพาะบางกรณีหรือบางช่วงเวลา อยู่ดี
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ "ความเชื่อ" ในการอธิบายความแบบสิ้นคิดของคนพวกนี้ ก็คือ ถ้าหากเขาเชื่อว่า สเปอร์ม มิได้เป็นปัจจัยสำคัญ ๑ ใน ๓ ประการ สำหรับการเกิดปฏิสนธิในครรภ์มารดา นั่นก็ย่อมหมายความว่า ภรรยา ของชายที่เป็นหมัน ก็สามารถ "ท้องป่อง" ได้โดยที่ผู้เป็นสามี ไม่จำเป็นต้อง "ระแวง" พี่ยามหน้าหมู่บ้าน หรือ น้องมอเตอร์ไซค์วินปากซอย เพราะเหตุปัจจัย หรือสิ่งสำคัญที่สามารถทำให้ภรรยาของเขา "ตั้งครรภ์" ได้ก็คือ เทวดานักดนตรี(คนธรรพ์) ต่างหาก ใช่หรือไม่ ?
๒) การที่ชาวพุทธกลุ่มนี้ พยายามแปลความโดยอ้างพระบาลีพุทธพจน์ จากพระไตรปิฎก ว่ามี เทวดาจำพวกหนึ่ง เป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถทำให้หญิงตั้งครรภ์ได้ โดยไม่ต้องอาศัยเซลล์สืบพันธุ์ของฝ่ายชาย ย่อมเท่ากับเป็นการแสดงหลักฐานทางพระคัมภีร์(ผ่านการตีความของพวกเขา) สนับสนุน "ความเชื่อ" ของเพื่อนศาสนิกลัทธิอื่น ในเรื่อง การตั้งครรภ์บริสุทธิ์ของหญิงพรหมจรรย์ อันเกิดจากพระประสงค์ หรืออำนาจของพระเจ้า (จะโดยตั้งใจหรือไม่ คงมิใช่ประเด็น) !
แต่กระนั้น ในความเชื่อของเพื่อนต่างศาสนา กรณีเช่นนี้ ถือเป็นกรณีพิเศษ มิใช่กรณีทั่วไป ซึ่งพวกเขาเหล่านั้น ย่อมทราบตามความเป็นจริงอยู่แล้วว่า การที่จะเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาในครรภ์มารดาขึ้นมาได้ ก็ต้องอาศัยทั้ง (๑) เซลล์ไข่ (๒) เซลล์อสุจิ และ (๓) การปฏิสนธิ ดังนั้น เรื่องจึงกลายเป็นว่า แม้เพื่อนศาสนิกอื่น จะระบุอย่างชัดเจนว่า การตั้งครรภ์บริสุทธิ์ของหญิงพรหมจรรย์ เป็นเรื่องของ "ความเชื่อ" แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ "ความเชื่อ" เฉพาะในกรณีพิเศษเท่านั้น มิใช่กรณีที่เกิดได้ทั่วไป
ปัญหาที่ชาวพุทธไร้สติกลุ่มนี้ จะต้องอธิบาย ก็คือ การเกิดสิ่งมีชีวิตในครรภ์มารดา ที่อาศัยองค์ประกอบคือ (๑) บิดามารดาร่วมกัน (๒) มารดามีระดู และ (๓) เทวดานักดนตรี(คนธรรพ์) โดยปราศจาก เซลล์สืบพันธุ์ฝ่ายชาย(สเปอร์ม) ซึ่งถือว่าเป็นกรณีทั่วไป จะมีความเป็นไปได้อย่างไร เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง ตามความเป็นจริงในทางโลก ?
ทั้งนี้ ชาวพุทธทั้งหลายจะต้องไม่ลืมว่า อรรถกถาจารย์นี้เอง ที่กล่าวยืนยันว่า แม้เมื่อพระพุทธเจ้าตรัส สัจจะในระดับสมมุติ ก็จะทรงแสดงตามความเป็นจริงตามสภาพ ไม่เท็จ
ดังนั้น การแปล คันธัพพะ ว่าหมายถึง เทวดานักดนตรี โดยเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตในครรภ์มารดาได้ โดยปราศจาก เชื้อพันธุ์ฝ่ายชาย(สเปอร์ม)นั้น สมควรถือว่าเป็นการกล่าวตามความเป็นจริงตามสภาพ ที่ไม่เป็น "ความเท็จ" แล้วหรือไม่ ?
สรุป
ประเด็นสรุป สำหรับปัญหาเรื่องนี้ ก็คือ ถ้าหากชาวพุทธบางพวก ยังยืนยันจะแปล คันธัพพะ ว่าหมายถึง เทวดานักดนตรี(คนธรรพ์) ด้วยการแปลความหมายอย่างสิ้นคิดแบบนี้ จะส่งผลให้
๑) เป็นการสร้างความชอบธรรมทางความเชื่อให้แก่ศาสนิกลัทธิอื่นในเรื่อง การตั้งครรภ์บริสุทธิ์ของหญิงพรหมจรรย์ ซึ่งเราจะไป "ดูหมิ่นถิ่นแคลน" ความเชื่อแบบนี้มิได้ เพราะชาวพุทธบางพวก ก็มีความเชื่อในลักษณะนี้เช่นกัน ผิดกันแต่ว่า ศาสนิกลัทธิอื่น เขาเชื่อว่ามีได้เฉพาะกรณีพิเศษเท่านั้น แต่ชาวพุทธไร้สติพวกนี้ กำลังพูดในลักษณะที่เป็นกรณีทั่วไป
๒) ด้วยวิทยาการสมัยปัจจุบัน เราย่อมทราบเป็นอย่างดีว่า เมื่อกล่าวถึงกรณีทั่วไป สิ่งมีชีวิตในครรภ์มารดา จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย ปัจจัย ๓ ประการ คือ (๑) เซลล์ไข่ (๒) เซลล์อสุจิ และ (๓) การปฏิสนธิ และชาวพุทธทั้งหลายย่อมทราบเป็นอย่างดีด้วยว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสสมมุติกถา ก็ย่อมแสดงตามความเป็นจริงตามสภาพ ไม่เท็จ แต่การกล่าวถึงการเกิดของสิ่งมีชีวิตในครรภ์ในกรณีทั่วไป โดยปราศจากเซลล์สืบพันธุ์ฝ่ายชาย ย่อมเป็นคำกล่าวที่ไม่ตรงกับสภาพตามความเป็นจริง ซึ่งในกรณีเช่นนี้ สามารถให้คำอธิบายได้ ๒ ประการ คือ
(๒.๑) ในเมื่อพระพุทธเจ้าย่อมมิอาจ ตรัสความเท็จหรือตรัสไม่ตรงตามความเป็นจริง ดังนั้น การแปล คันธัพพะ ว่าหมายถึง เทวดาบางพวก อันนำมาสู่ข้อสรุปที่ผิดไปจากความเป็นจริงตามธรรมชาติ ในทำนองว่า ปัจจัยในการเกิดสิ่งมีชีวิตในครรภ์มารดาคือ เทวดาบางพวก ไม่ใช่ เซลล์สเปอร์ม จึงเป็นการแปลผิด หรือเป็นการตีความผิดโดยชาวพุทธไร้สติกลุ่มนั้น(เท่านั้น) โดยที่มิใช่พระประสงค์ของพระพุทธเจ้า
(๒.๒) แต่หากจะยืนยันว่า ต้องแปลอย่างนี้เท่านั้น มิสามารถแปลเป็นอย่างอื่นได้ ก็ต้องสรุปความว่า พระบาลีส่วนนี้ มิใช่พุทธพจน์เดิมแท้ แต่ได้ถูกเพิ่มเติมขึ้นมาในภายหลัง เพราะเป็นไปมิได้เลย ที่พระพุทธเจ้าจะตรัสในสิ่งที่ค้านกับข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ ที่สามารถตรวจสอบพิสูจน์ได้ แต่หากท่านทั้งหลายมิยอมรับข้อสรุปนี้ ก็แปลว่า ชาวพุทธทั้งหลายในปัจจุบันนี้ สามารถยอมรับได้ว่า พระพุทธเจ้าก็สามารถตรัสแสดงในสิ่งที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงตามธรรมชาติได้เช่นกัน (แต่ผมไม่เอาด้วยหรอกนะ) !
จบ