จากมติชนออนไลน์
เว็บไซต์อิระวดี รายงานว่า พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ร่วมหารือที่นครย่างกุ้งเป็นเวลา 2 วัน เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อร่างกฎหมายศาสนาที่จะเพิ่มข้อจำกัดเกี่ยวกับการสมรสระหว่างสตรีชาวพุทธกับชายชาวมุสลิม

ภาพ: irrawaddy.org
ก่อนหน้าการประชุมดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองมอว์บี ทางตอนเหนือของนครย่างกุ้ง โดยมีพระสงฆ์จากทั่วประเทศกว่า 200 รูปเข้าร่วม พระสงฆ์หลายรูปได้กล่าวว่า จะร่วมประชุมเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิม โดยเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ประชุมลงความเห็นว่า การห้ามการแต่งงานข้ามศาสนาจะช่วยปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างระหว่างชุมชนในพม่าได้
พระอู ธัมมปิยะ โฆษกของที่ประชุม กล่าวว่า การจัดประชุมครั้งนี้มีวัตถุุประสงค์เพื่อปกป้องชาวพุทธและศาสนาพุทธ และเพื่อก่อให้เกิดสันติภาพและความสมัครสมานในสังคม
ด้านพระวิราทู พระสงฆ์ซึ่งมีแนวคิดชาตินิยมสุดขั้ว กล่าวแสดงความยินดีกับแผนการที่ดังกล่าว เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีกฎหมายในลักษณะนี้เพื่อปกป้องเสรีภาพของสตรีชาวพุทธ ทั้งนี้
พระวิราทู เป็นผู้นำการรณรงค์ที่เรียกว่า 969 ที่เรียกร้องให้ชาวพุทธไม่ทำธุรกิจกับชาวมุสลิม และให้อุดหนุนเฉพาะร้านพุทธด้วยกันเท่านั้น
มติที่ประชุม ยังระบุให้มีการรวมรวมรายชื่อเพื่อกดดันรัฐสภาให้ออกกฎหมายดังกล่าว และเสริมว่าเรียมยื่นจดหมายให้แก่ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง, นางออง ซาร ซูจี ผูันำพรรคฝ่ายค้าน และส.ส.คนอื่นๆ
พระอู ธัมมปิยะกล่าวว่า กฎหมายนี้ จะดำเนินรอยตามข้อจำกัดด้านการแต่งงานข้ามศาสนา เช่นในสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยพบว่า หลังจากบังคับใช้กฎหมายนี้แล้วป สิงคโปร์มีแต่ความความสงบสุขและราบรื่น จึงไม่น่ามีปัญหาที่จะผ่านกฎหมายในลักษณะเดียวกันนี้ในพม่า
ร่างกฎหมายที่เสนอโดยพระสงฆ์ครั้งนี้ กำหนดให้สตรีชาวพุทธที่ต้องการสมรสกับชายชาวมุสลิม จะต้องขออนุญาตจากพ่อแม่และเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นก่อน
นอกจากนี้ ชายมุสลิมที่จะแต่งงานกับสตรีพุทธ จะต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นพุทธด้วย ทั้งนี้ ผู้ที่ฝ่าฝืน อาจถูกตัดสินลงโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี และถูกยึดอสังหาริมทรัพย์
ด้านนายจ่อ ขิ่น เลขาธิการสหพันธ์มุสลิมพม่า กล่าวว่า ร่างกฎหมายนี้ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เพราะเมื่อมองในแง่ดังกล่าวแล้ว ข้อกำหนดดังกล่าวอาจเป็นการกระทำในทางที่ไม่ถูกต้อง เขาอ้างคำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ฉบับที่ 16 ที่ระบุว่า ชายและหญิงที่มีอายุสมควรแก่วัย ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเชื้อชาติ สัญชาติหรือศาสนา มีสิทธิสมควรในการสมรสและสร้างครอบครัว อย่างไรก็ดี เขาแสดงความแคลงใจว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบจากสภาหรือไม่ เนื่องจากยังจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนอีกมาก และหากจะต้องผ่านจริง เขาเชื่อว่ามันจะไม่เกิดขึ้น
ด้านนายคยี มินต์ ทนายอาวุโสและสมาชิกเครือข่ายทนายความพม่า เตือนว่า รัฐบาลควรระมัดระวังไม่ผ่านกฎหมายใดๆที่จะออกมาเพื่อคุ้มครองศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
ข้อเสนอครั้งนี้มีขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ปะทะหลายครั้งระหว่างประชาชนสองศาสนา ที่รวมถึงเหตุการณ์ที่รัฐยะไข่เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้วที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และประชาชนกว่า 150,000 คน ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมต้องไร้ที่อยู่อาศัย ทั้งนี้
พระสงฆ์ที่มีแนวคิดชาตินิยมสุดขั้ว ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนความรุนแรงอย่างเปิดเผย โดยเรียกร้องให้นำช่าวมุสลิมออกจากเมืองและหมู่บ้านต่างๆ เพื่อสร้างสังคมชาวพุทธที่แท้จริง และในบางกรณีพบว่าพระสงฆ์เป็นผู้ร่วมหรือก่อเหตุความรุนแรงเสียเอง
พระสงฆ์พม่าลงมติห้ามการแต่งงาน"หญิงพุทธ-ชายมุสลิม"
เว็บไซต์อิระวดี รายงานว่า พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ร่วมหารือที่นครย่างกุ้งเป็นเวลา 2 วัน เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อร่างกฎหมายศาสนาที่จะเพิ่มข้อจำกัดเกี่ยวกับการสมรสระหว่างสตรีชาวพุทธกับชายชาวมุสลิม
ภาพ: irrawaddy.org
ก่อนหน้าการประชุมดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองมอว์บี ทางตอนเหนือของนครย่างกุ้ง โดยมีพระสงฆ์จากทั่วประเทศกว่า 200 รูปเข้าร่วม พระสงฆ์หลายรูปได้กล่าวว่า จะร่วมประชุมเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิม โดยเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ประชุมลงความเห็นว่า การห้ามการแต่งงานข้ามศาสนาจะช่วยปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างระหว่างชุมชนในพม่าได้
พระอู ธัมมปิยะ โฆษกของที่ประชุม กล่าวว่า การจัดประชุมครั้งนี้มีวัตถุุประสงค์เพื่อปกป้องชาวพุทธและศาสนาพุทธ และเพื่อก่อให้เกิดสันติภาพและความสมัครสมานในสังคม
ด้านพระวิราทู พระสงฆ์ซึ่งมีแนวคิดชาตินิยมสุดขั้ว กล่าวแสดงความยินดีกับแผนการที่ดังกล่าว เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีกฎหมายในลักษณะนี้เพื่อปกป้องเสรีภาพของสตรีชาวพุทธ ทั้งนี้ พระวิราทู เป็นผู้นำการรณรงค์ที่เรียกว่า 969 ที่เรียกร้องให้ชาวพุทธไม่ทำธุรกิจกับชาวมุสลิม และให้อุดหนุนเฉพาะร้านพุทธด้วยกันเท่านั้น
มติที่ประชุม ยังระบุให้มีการรวมรวมรายชื่อเพื่อกดดันรัฐสภาให้ออกกฎหมายดังกล่าว และเสริมว่าเรียมยื่นจดหมายให้แก่ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง, นางออง ซาร ซูจี ผูันำพรรคฝ่ายค้าน และส.ส.คนอื่นๆ
พระอู ธัมมปิยะกล่าวว่า กฎหมายนี้ จะดำเนินรอยตามข้อจำกัดด้านการแต่งงานข้ามศาสนา เช่นในสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยพบว่า หลังจากบังคับใช้กฎหมายนี้แล้วป สิงคโปร์มีแต่ความความสงบสุขและราบรื่น จึงไม่น่ามีปัญหาที่จะผ่านกฎหมายในลักษณะเดียวกันนี้ในพม่า
ร่างกฎหมายที่เสนอโดยพระสงฆ์ครั้งนี้ กำหนดให้สตรีชาวพุทธที่ต้องการสมรสกับชายชาวมุสลิม จะต้องขออนุญาตจากพ่อแม่และเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นก่อน นอกจากนี้ ชายมุสลิมที่จะแต่งงานกับสตรีพุทธ จะต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นพุทธด้วย ทั้งนี้ ผู้ที่ฝ่าฝืน อาจถูกตัดสินลงโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี และถูกยึดอสังหาริมทรัพย์
ด้านนายจ่อ ขิ่น เลขาธิการสหพันธ์มุสลิมพม่า กล่าวว่า ร่างกฎหมายนี้ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เพราะเมื่อมองในแง่ดังกล่าวแล้ว ข้อกำหนดดังกล่าวอาจเป็นการกระทำในทางที่ไม่ถูกต้อง เขาอ้างคำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ฉบับที่ 16 ที่ระบุว่า ชายและหญิงที่มีอายุสมควรแก่วัย ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเชื้อชาติ สัญชาติหรือศาสนา มีสิทธิสมควรในการสมรสและสร้างครอบครัว อย่างไรก็ดี เขาแสดงความแคลงใจว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบจากสภาหรือไม่ เนื่องจากยังจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนอีกมาก และหากจะต้องผ่านจริง เขาเชื่อว่ามันจะไม่เกิดขึ้น
ด้านนายคยี มินต์ ทนายอาวุโสและสมาชิกเครือข่ายทนายความพม่า เตือนว่า รัฐบาลควรระมัดระวังไม่ผ่านกฎหมายใดๆที่จะออกมาเพื่อคุ้มครองศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
ข้อเสนอครั้งนี้มีขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ปะทะหลายครั้งระหว่างประชาชนสองศาสนา ที่รวมถึงเหตุการณ์ที่รัฐยะไข่เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้วที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และประชาชนกว่า 150,000 คน ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมต้องไร้ที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ พระสงฆ์ที่มีแนวคิดชาตินิยมสุดขั้ว ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนความรุนแรงอย่างเปิดเผย โดยเรียกร้องให้นำช่าวมุสลิมออกจากเมืองและหมู่บ้านต่างๆ เพื่อสร้างสังคมชาวพุทธที่แท้จริง และในบางกรณีพบว่าพระสงฆ์เป็นผู้ร่วมหรือก่อเหตุความรุนแรงเสียเอง