ศาลฎีกาได้พิพากษายกฟ้องคดีสามหนาห้าห่วง โดยเป็นการพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
ที่ศาลล่างทั้งสองได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยได้กระทำความผิด และลงโทษจำคุก
ผลจากการพิพากษากลับของศาลฎีกา เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาถึงรายละเอียดด้วยว่าเหตุผลในการพิพากษาและ
ผลของคำพิพากษานั้นเป็นอย่างไร
มิฉะนั้นก็จะเกิดความสับสนและถูกคนบางจำพวกเอาไปหลอกลวงว่า คดีสามหนาห้าห่วงนั้นจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษคดีสามหนาห้าห่วงด้วยเหตุผลหลักสองประการคือ
ประการแรก ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า โจทก์ผู้ฟ้องคดีนี้ เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการเลือกตั้ง จึงมีอำนาจฟ้องคดี
ประการที่สอง เมื่อวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว ศาลล่างทั้งสองก็วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดีคือปัญหาว่าจำเลย
ได้กระทำความผิดตามฟ้องจริงหรือไม่ ซึ่งศาลล่างทั้งสองพิพากษาตรงกันว่า จำเลยในคดีนี้ได้กระทำความผิด
ตามฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาลงโทษจำคุก และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก
เช่นเดียวกัน
ฝ่ายจำเลยได้ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา หลังจากใช้เวลาพิจารณาเกือบ 3 ปี ในที่สุดศาลฎีกาก็มี
คำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเป็นว่า ให้ยกฟ้องคดีนี้ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป
เหตุผลการวินิจฉัยของศาลฎีกามีเนื้อใหญ่ใจความอยู่ตรงประเด็นว่าโจทก์ผู้ฟ้องคดีนี้มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ซึ่งศาลเห็นว่า
แม้โจทก์เป็นสมาชิกพรรคการเมืองและลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ไม่ใช่ผู้เสียหาย
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ผู้เสียหายเสียแล้ว คดีก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า จำเลยในคดีนี้
ได้กระทำความผิดหรือไม่ จึงพิพากษากลับ
ดังนั้นจึงต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าการพิพากษากลับในคดีนี้ เกิดจากผู้ฟ้องคดีไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งจะเป็นบรรทัดฐานต่อไปว่า
แม้เป็นพรรคการเมือง เป็นสมาชิกพรรคการเมือง และเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง หากเห็นว่า กกต. ได้กระทำความผิดทุจริต
ในการเลือกตั้งเสียเอง ก็ไม่สามารถฟ้องคดีได้
ดังนั้นหาก กกต.ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทุจริตในการเลือกตั้งซึ่งมีโทษร้ายแรง นอกจากประชาชนทั่วไปที่ใช้สิทธิ์
เลือกตั้งจะฟ้องคดีเอาความอันใดไม่ได้แล้ว แม้พรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งก็ไม่สามารถ
ฟ้องร้องเอาผิด กกต. ได้เพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อเป็นเช่นนี้ หาก กกต. ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในการเลือกตั้งประการใดๆ ก็ได้แต่ไปแจ้งความเอากับตำรวจ
ทำการสืบสวนสอบสวน แล้วส่งไปอัยการฟ้องคดีต่อศาล เมื่อเป็นเช่นนี้ชนชาวไทยทั้งหลายก็ย่อมซาบซึ้งและแจ้งแก่ใจ
เป็นอันดีว่านับแต่บัดนี้ไปคงยากที่ใครๆ จะฟ้องร้องเอาผิดในคดีที่ กกต. ทุจริตทำความผิดในการเลือกตั้งได้อีกแล้ว
แม้ขนาดก่อนหน้าที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาคดีนี้และผู้คนทั้งหลายยังเข้าใจอยู่ว่าพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง
ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เป็นผู้เสียหายที่สามารถฟ้องคดีได้ ก็ยังโกงเลือกตั้งกันลั่นบ้านสนั่นเมืองดังที่
รู้เห็นกันอยู่
นั่นคือผลและบรรทัดฐานที่จะเกิดขึ้นจากการพิพากษากลับของศาลฎีกาในคดีนี้
และต้องทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งด้วยว่า แม้ศาลฎีกาจะพิพากษากลับยกฟ้องคดีนี้แต่ศาลก็ยังมิได้วินิจฉัยว่าจำเลย
ในคดีนี้ได้กระทำความผิดหรือไม่ได้กระทำความผิด เพราะศาลฎีกามิได้วินิจฉัยปัญหานี้ เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะ
ต้องวินิจฉัย
ดังนั้นจึงคงเหลือผลจากคำวินิจฉัยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ได้วินิจฉัยตัดสินมาแล้วตรงกันทั้งสองศาลว่า จำเลย
ในคดีนี้กระทำความผิดและไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยดังกล่าวแต่ประการใด
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่คนทั้งหลายจะได้ทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า คดีสามหนาห้าห่วงนี้มีผลสรุปอย่างนี้คือ
ข้อแรก ศาลล่างทั้งสองได้พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นเรื่องจำเลยในคดีนี้ได้กระทำความผิดหรือไม่มาแล้ว และได้วินิจฉัย
ว่าจำเลยในคดีนี้ได้กระทำความผิดจริงตามฟ้องจึงพิพากษาจำคุก และคำวินิจฉัยนี้มิได้ถูกวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นหรือ
เปลี่ยนแปลงไปโดยคำพิพากษาของศาลฎีกา เพราะศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่มีความจำเป็นต้องวินิจฉัย ซึ่งเป็นไปตาม
บรรทัดฐานในการทำคำพิพากษาของศาลที่ว่าเมื่อผู้ฟ้องไม่มีอำนาจฟ้องเสียแล้วก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่น
ข้อสอง ศาลฎีกายกฟ้องคดีนี้และปล่อยตัวจำเลยพ้นข้อหาด้วยเหตุผลว่า โจทก์ผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง
ซึ่งเป็นบรรทัดฐานในทางกฎหมาย
ในฐานะที่ผู้เขียนเรื่องนี้เป็นนักกฎหมาย มีความเห็นในคดีนี้เช่นเดียวกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งในประเด็นอำนาจ
ฟ้องและในประเด็นข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำความผิดหรือไม่
แต่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลฎีกาในปัญหาที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเห็นว่าพรรคการเมืองและสมาชิก
พรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งคือผู้เสียหายจากการกระทำของ กกต. ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ แต่เห็นด้วยว่า
เมื่อศาลวินิจฉัยว่าไม่มีอำนาจฟ้องแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นต่อไปดังคำวินิจฉัยของศาลฎีกานั้น
ในระบอบประชาธิปไตยนั้น เมื่อสถาบันศาลยุติธรรมพิพากษาอย่างไรก็ต้องสิ้นสุดยุติไปตามนั้น และนั่นแหละคือ
ความยุติธรรมตามกฎหมาย ไม่ใช่ความยุติธรรมตามอำเภอใจ ดังที่กล่าวอ้างเป็นเหตุกล่าวหาว่าร้ายศาลอยู่ในขณะนี้
http://www.naewna.com/politic/columnist/7178
ก่อนจะถึงบรรทัดสุดท้าย ...ศาลก็เละ ไปเรียบร้อยแล้ว
ประชาธิปไตยต้องยอมรับอำนาจศาล ..... คอลัมน์บ้านเกิดเมืองนอน ....สิริอัญญา ....... แนวหน้าออนไลน์
ที่ศาลล่างทั้งสองได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยได้กระทำความผิด และลงโทษจำคุก
ผลจากการพิพากษากลับของศาลฎีกา เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาถึงรายละเอียดด้วยว่าเหตุผลในการพิพากษาและ
ผลของคำพิพากษานั้นเป็นอย่างไร
มิฉะนั้นก็จะเกิดความสับสนและถูกคนบางจำพวกเอาไปหลอกลวงว่า คดีสามหนาห้าห่วงนั้นจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษคดีสามหนาห้าห่วงด้วยเหตุผลหลักสองประการคือ
ประการแรก ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า โจทก์ผู้ฟ้องคดีนี้ เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการเลือกตั้ง จึงมีอำนาจฟ้องคดี
ประการที่สอง เมื่อวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว ศาลล่างทั้งสองก็วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดีคือปัญหาว่าจำเลย
ได้กระทำความผิดตามฟ้องจริงหรือไม่ ซึ่งศาลล่างทั้งสองพิพากษาตรงกันว่า จำเลยในคดีนี้ได้กระทำความผิด
ตามฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาลงโทษจำคุก และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก
เช่นเดียวกัน
ฝ่ายจำเลยได้ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา หลังจากใช้เวลาพิจารณาเกือบ 3 ปี ในที่สุดศาลฎีกาก็มี
คำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเป็นว่า ให้ยกฟ้องคดีนี้ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป
เหตุผลการวินิจฉัยของศาลฎีกามีเนื้อใหญ่ใจความอยู่ตรงประเด็นว่าโจทก์ผู้ฟ้องคดีนี้มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ซึ่งศาลเห็นว่า
แม้โจทก์เป็นสมาชิกพรรคการเมืองและลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ไม่ใช่ผู้เสียหาย
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ผู้เสียหายเสียแล้ว คดีก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า จำเลยในคดีนี้
ได้กระทำความผิดหรือไม่ จึงพิพากษากลับ
ดังนั้นจึงต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าการพิพากษากลับในคดีนี้ เกิดจากผู้ฟ้องคดีไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งจะเป็นบรรทัดฐานต่อไปว่า
แม้เป็นพรรคการเมือง เป็นสมาชิกพรรคการเมือง และเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง หากเห็นว่า กกต. ได้กระทำความผิดทุจริต
ในการเลือกตั้งเสียเอง ก็ไม่สามารถฟ้องคดีได้
ดังนั้นหาก กกต.ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทุจริตในการเลือกตั้งซึ่งมีโทษร้ายแรง นอกจากประชาชนทั่วไปที่ใช้สิทธิ์
เลือกตั้งจะฟ้องคดีเอาความอันใดไม่ได้แล้ว แม้พรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งก็ไม่สามารถ
ฟ้องร้องเอาผิด กกต. ได้เพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อเป็นเช่นนี้ หาก กกต. ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในการเลือกตั้งประการใดๆ ก็ได้แต่ไปแจ้งความเอากับตำรวจ
ทำการสืบสวนสอบสวน แล้วส่งไปอัยการฟ้องคดีต่อศาล เมื่อเป็นเช่นนี้ชนชาวไทยทั้งหลายก็ย่อมซาบซึ้งและแจ้งแก่ใจ
เป็นอันดีว่านับแต่บัดนี้ไปคงยากที่ใครๆ จะฟ้องร้องเอาผิดในคดีที่ กกต. ทุจริตทำความผิดในการเลือกตั้งได้อีกแล้ว
แม้ขนาดก่อนหน้าที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาคดีนี้และผู้คนทั้งหลายยังเข้าใจอยู่ว่าพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง
ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เป็นผู้เสียหายที่สามารถฟ้องคดีได้ ก็ยังโกงเลือกตั้งกันลั่นบ้านสนั่นเมืองดังที่
รู้เห็นกันอยู่
นั่นคือผลและบรรทัดฐานที่จะเกิดขึ้นจากการพิพากษากลับของศาลฎีกาในคดีนี้
และต้องทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งด้วยว่า แม้ศาลฎีกาจะพิพากษากลับยกฟ้องคดีนี้แต่ศาลก็ยังมิได้วินิจฉัยว่าจำเลย
ในคดีนี้ได้กระทำความผิดหรือไม่ได้กระทำความผิด เพราะศาลฎีกามิได้วินิจฉัยปัญหานี้ เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะ
ต้องวินิจฉัย
ดังนั้นจึงคงเหลือผลจากคำวินิจฉัยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ได้วินิจฉัยตัดสินมาแล้วตรงกันทั้งสองศาลว่า จำเลย
ในคดีนี้กระทำความผิดและไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยดังกล่าวแต่ประการใด
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่คนทั้งหลายจะได้ทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า คดีสามหนาห้าห่วงนี้มีผลสรุปอย่างนี้คือ
ข้อแรก ศาลล่างทั้งสองได้พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นเรื่องจำเลยในคดีนี้ได้กระทำความผิดหรือไม่มาแล้ว และได้วินิจฉัย
ว่าจำเลยในคดีนี้ได้กระทำความผิดจริงตามฟ้องจึงพิพากษาจำคุก และคำวินิจฉัยนี้มิได้ถูกวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นหรือ
เปลี่ยนแปลงไปโดยคำพิพากษาของศาลฎีกา เพราะศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่มีความจำเป็นต้องวินิจฉัย ซึ่งเป็นไปตาม
บรรทัดฐานในการทำคำพิพากษาของศาลที่ว่าเมื่อผู้ฟ้องไม่มีอำนาจฟ้องเสียแล้วก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่น
ข้อสอง ศาลฎีกายกฟ้องคดีนี้และปล่อยตัวจำเลยพ้นข้อหาด้วยเหตุผลว่า โจทก์ผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง
ซึ่งเป็นบรรทัดฐานในทางกฎหมาย
ในฐานะที่ผู้เขียนเรื่องนี้เป็นนักกฎหมาย มีความเห็นในคดีนี้เช่นเดียวกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งในประเด็นอำนาจ
ฟ้องและในประเด็นข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำความผิดหรือไม่
แต่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลฎีกาในปัญหาที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเห็นว่าพรรคการเมืองและสมาชิก
พรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งคือผู้เสียหายจากการกระทำของ กกต. ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ แต่เห็นด้วยว่า
เมื่อศาลวินิจฉัยว่าไม่มีอำนาจฟ้องแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นต่อไปดังคำวินิจฉัยของศาลฎีกานั้น
ในระบอบประชาธิปไตยนั้น เมื่อสถาบันศาลยุติธรรมพิพากษาอย่างไรก็ต้องสิ้นสุดยุติไปตามนั้น และนั่นแหละคือ
ความยุติธรรมตามกฎหมาย ไม่ใช่ความยุติธรรมตามอำเภอใจ ดังที่กล่าวอ้างเป็นเหตุกล่าวหาว่าร้ายศาลอยู่ในขณะนี้
http://www.naewna.com/politic/columnist/7178
ก่อนจะถึงบรรทัดสุดท้าย ...ศาลก็เละ ไปเรียบร้อยแล้ว