หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เขาถูกเชิญตัวเข้าบ้าน "เกษะโกมล" ไปพบผู้นำยึดอำนาจ
เขาเป็นคนที่ถูกคณะรัฐประหารมองว่าเป็น "สายเหยี่ยว" และเป็น "หัวใจ" ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"
อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคนหนึ่งที่ "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองใน
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เค้นความลับมากที่สุด
วันนี้ "ภูมิธรรม เวชยชัย" ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย แก้ต่างว่า ตนเองไม่เคยเป็น "สายเหยี่ยว" แต่เป็น "สายพิราบ"
พุทธศักราช 2556 จังหวะที่ "พรรคเพื่อไทย" กำลังถูกรุมกระหน่ำจากขบวนการสมคบคิดล้มล้างรัฐบาล "ภูมิธรรม"
จึงใช้สายตาของ "เหยี่ยว" อ่านกับดักในมือศัตรู มองทะลุ "หน้ากาก" ที่ปกปิดใบหน้าอันแท้จริง
เขายืนยันกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กลุ่มอำนาจเก่าไม่สามารถเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลได้ง่ายเหมือนในอดีตอีกแล้ว !!
- มีกลุ่มจ้องล้มรัฐบาลจริงหรือไม่
ไม่อยากจะพูดสรุปว่าเป็นอย่างไร สาธารณชนน่าจะมีวิจารณญาณที่สุด ถ้าดูจากประสบการณ์ทางการเมืองก็มี
ความพยายามที่จะขยับกันเข้ามา จะโดยรู้เห็นเป็นใจ ร่วมไม้ร่วมมือกันหรือไม่ ก็ต้องมาวิเคราะห์ แต่หลายส่วน
เป็นเรื่องที่เขาเดือดร้อนจริงมีปน ๆ กัน บางทีไปพูดว่าล้มรัฐบาล มันอาจไปเหมารวมทั้งหมด ไม่ตรงความเป็นจริง
แต่ถ้าถามว่ามีกลุ่มที่คิดไม่เอารัฐบาลมีบ้างไหม เขาก็ประกาศตัวชัดเจนว่า เขาไม่อยากเอารัฐบาลนี้ บางส่วนก็ยัง
ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ ต้องจับตาดูต่อว่าเขามุ่งหวังเจตนาอะไร นอกจากนี้เวลานี้มีเรื่องรุมเร้าเข้ามาหลายอย่าง
เนื่องจากรัฐบาลได้แถลงต่อประชาชนในเรื่องที่จะทำ ไม่ทำก็เสียหาย แต่เมื่อทำแล้วยังมีปัญหา ก็ค่อย ๆ หาทางออก
ตลอดเวลาที่เป็นรัฐบาลมา 2 ปี ทำได้แค่นี้ก็ช้ามากแล้ว เพราะอุปสรรคมันเยอะ แต่เราไม่สิ้นความอดทนวันนี้มีข่าวลือ
เยอะ กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ คนนั้นคนนี้ นักธุรกิจส่วนนั้นส่วนนี้ สนับสนุนเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กลุ่มมวลชน กลุ่มที่ไม่เอารัฐบาล
พยายามจะขับเคลื่อนล้มรัฐบาล ผมก็ไม่ทราบว่าจริง ๆ แล้วมีมากมีน้อย แต่จะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยอย่างไร ก็ต้อง
สนับสนุนบนพื้นฐานของวิถีประชาธิปไตย
- ทำไมนโยบายของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยถึงติดกับดักตลอดเวลา
แนวนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นนโยบายมุ่งแก้ปัญหาของคนส่วนใหญ่ หลายนโยบายมีลักษณะคิดนอกกรอบ
ออกไปจากกรอบเดิมที่เคยปฏิบัติ ความจริงถ้าทำให้มันง่ายและดีที่สุดโดยคำนึงถึงแต่ตัวเราเองก็ไม่ต้องทำอะไรมาก
ทำไปตามกรอบที่เป็นอยู่ก็สบาย
แต่การเมืองไทยเป็นอย่างนี้มานานแล้ว และคนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร สิ่งที่เราพยายามทำคือพยายามคิด
กรอบใหม่ ๆ เพื่อทำให้การบริหารจัดการทั้งหมดมีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าคิดสิ่งใหม่ก็มีจุดอ่อน บางทีเป็นเรื่องบกพร่อง
ที่เราคาดการณ์ไม่ถึง บางทีทำดีแล้ว แต่การประชาสัมพันธ์ไม่เพียงพอ เช่น นโยบายจำนำข้าว วันนี้เป็นหน้าที่ของ
รัฐมนตรีที่บริหารโครงการต้องหยิบเอารายละเอียดมา
ความจริงต้องเข้าใจว่าการทำจำนำข้าว คือการดูแลเกษตรกร หรือดูแลคนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ได้คิดเรื่องกำไร หรือขาดทุน
คิดแต่ว่าดูแลเกษตรกรอย่างไร ขาดทุนก็ยังต้องยอม
ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์เคยทำเรื่องประกันราคาข้าว ปีหนึ่งขาดทุนเกือบแสนล้านบาทเหมือนกันเขามีหน้าที่ไปดูแล
เกษตรกร ดังนั้นเรื่องการขาดทุนจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่
- การทำงานของรัฐบาลตอนนี้ถือว่าเพลี่ยงพล้ำให้ฝ่ายตรงข้ามหรือไม่
ผมไม่คิดว่าเพลี่ยงพล้ำหรือไม่ แต่เรายังเดินหน้าทำในสิ่งที่ยึดมั่น เชื่อมั่น และสิ่งที่เราตัดสินใจทำให้ประชาชน เพียงแต่
เราอาจใช้เวลาประชาสัมพันธ์งานน้อยไป นายกฯก็มุ่งมั่นทำงานไป รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ไปผลักดันนโยบายจนลืมชี้แจง
ประชาชนคู่ขนาน
วันนี้เราต้องปิดจุดอ่อนที่เราให้ความสำคัญน้อยให้มันมากขึ้น ต้องชี้แจงทำความเข้าใจมากขึ้น แล้วหลายเรื่องผมคิด
ว่าถ้าเอามาแบให้เขาดูแล้วคนจะเข้าใจ
- ประเมินว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้วิธีเดิม ๆ ในการล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์หรือไม่
เราไม่ประมาท ก็พยายามจะดูว่ามีตำหนิติเตียนอะไร เคลื่อนไหวยังไง หน้าที่ของเราก็มีเพียงทำให้ประชาชนได้เห็น
ได้ทราบ แล้วเราก็มุ่งมั่นทำงานของเราให้เต็มที่ และต้องใช้วิจารณญาณให้มากหน่อย ไม่ยอมตกไปอยู่ในหลุมพราง
ของเขาที่พยายามขุดล่อเรา อะไรที่หลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยง อะไรที่เป็นหลักการก็ให้ประชาชนตัดสินใจ ผมคิดว่า
ต้องสู้กันอย่างนี้ ใครที่เป็นฝ่ายยืนอยู่ข้างการเปลี่ยนแปลงที่อำนวยประโยชน์ให้คนส่วนใหญ่ หรือการเปลี่ยนแปลง
ที่ทำให้ประเทศสังคมไทยมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น คนนั้นก็จะได้รับการปกป้องดูแลจากคนส่วนใหญ่
- ประเมินไพ่ในมือศัตรูอย่างไร
ผมไม่ค่อยสนใจไพ่ในมือศัตรูเท่าไหร่ ผมสนใจเพียงว่าเรายืนหลักตัวเองให้มั่น ทำความเข้าใจประชาชนให้เยอะ ทำสิ่งที่
คิดว่าเป็นประโยชน์กับประชาชนให้หมด และรับฟังข้อคิดเห็นดี ๆ จากมิตร เพื่อนมิตร และรับฟังข้อคิดเห็นดี ๆ จากคนที่
สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย เอามาใช้แก้ปัญหาให้มากที่สุด
- วันนี้มิตรอย่างคนเสื้อแดงบางฝ่ายก็แปรพักตร์ ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำอยู่บางเรื่อง
เป็นเรื่องธรรมดา ผมไม่ได้คิดว่าเป็นวิกฤตที่น่ากังวลใจหรือห่วงใย แม้คนเสื้อแดงส่วนใหญ่จะมีความไม่สบายใจบ้าง
ก็วิจารณ์บนพื้นฐานที่รัก และอยากเห็นระบอบประชาธิปไตยเดินหน้า และเราพยายามตอบสนองคนทุกส่วนให้มากที่สุด
และแก้ปัญหา ลำพังเพียงตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่กับแก้ปัญหาให้ได้มันก็หนักแล้ว ยังมีแรงต้านจาก
คนที่คอยเตะขัดขาอีก มันก็เป็นความยากลำบากมากขึ้น
- ยังมั่นใจว่ามีเสียงข้างมากจะอุ้มรัฐบาลต่อไปได้
วันนี้ขอให้รักษาระบอบประชาธิปไตย รักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ แต่ถ้าดูจากการเลือกตั้งใน กทม.ก็ถือว่าครึ่ง
ครึ่ง หรือการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ก็ห่างกันไม่ถึง 2-3 เปอร์เซ็นต์ ผมไม่คิดว่าฝ่ายที่รักษาอำนาจเดิมของกลุ่มตนจะมีพลัง
ที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามใจปรารถนาของตัวเอง วันนี้กระแสโลกเป็นกระแสประชาธิปไตย แล้วเชื่อว่าคนส่วนใหญ่
ตื่นตัวขึ้นมาไม่เหมือนในอดีต เพราะเป็นสังคมข่าวสาร การรับรู้ของคนมันกว้างขวางขึ้น ทุกฝ่ายต้องปรับตัว ฝ่ายที่ต้าน
การเปลี่ยนแปลงเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ถนัดเหมือนเดิม ผมไม่เชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จได้ทุกครั้ง
- การออกมาเคลื่อนไหวของหน้ากากขาวก็ไม่มีพลังพอที่จะล้มรัฐบาลได้เหมือนที่กลุ่มพันธมิตรฯเคยทำ
กลุ่มหน้ากากขาวในสายตาผมก็เป็นสิทธิที่จะเคลื่อนไหวแสดงออก แต่ความเป็นจริงก็คือคนกลุ่มเดิม แต่เปลี่ยนรูปแบบ
ในเมื่อเขารู้ว่าไม่มีคนจำนวนมากยืนอยู่ข้างเขา เขาก็ใช้คนจำนวนน้อยปกปิดใบหน้า แล้วทำให้เห็นว่ามีอยู่ทั่ว ๆ ไป
- เป็นเรื่องปกติหรือไม่ที่กลุ่มต่าง ๆ หาเรื่องมาดิสเครดิตรัฐบาล
ในช่วงที่รัฐบาลบริหารประเทศมาครึ่งเทอม เป็นเรื่องธรรมดาของสังคมไทย มีแค่ยุคไทยรักไทยเท่านั้นที่พิสูจน์ตนเอง
ได้ว่าครบ 4 ปี ที่ผ่านมาเราไม่อดทนพอเหมือนกับสังคมประชาธิปไตยที่เขาพัฒนาแล้วที่รอไป แต่หน้าที่เราไม่มีปัญหา
ยิ่งเขาออกมาเคลื่อนไหวก็เหมือนกับเป็นกระจกช่วยเราส่อง บางเรื่องเกินความจริงเราก็ต้องระมัดระวัง ที่สำคัญเราต้อง
ยืนยันว่านายกฯ รัฐบาล เราไม่มีเจตนาหาประโยชน์ หรือคอร์รัปชั่นจากการทำนโยบายต่าง ๆ
- หลังจากนี้รัฐบาลจะเดินหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน และบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน เต็มสูบ
เราชัดเจนตลอดว่าเราจะทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ส่วนจะทำไปได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงของประเทศ
ติดขัดตรงไหนก็ต้องว่ากัน
- กลัวติดกับดักไหม เพราะโครงการ 2 ล้านล้าน ฝ่ายค้านเตรียมไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ ส่วนโครงการน้ำ ป.ป.ช.
ก็จับตาการทุจริต
ถ้าเรามั่นใจว่าเราคิดดีกับประเทศและคนส่วนใหญ่ และยอมรับฟัง ยินดีรับฟังคนที่มองจากมุมนอก ก็ไม่น่ามีอะไรน่ากังวลใจ
การตรวจสอบ คอยดูแล เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว อย่างเรื่องน้ำ พอรู้ว่า ป.ป.ช.สนใจ คนของรัฐบาลก็เข้าพบทำความเข้าใจ
- พรรคเพื่อไทยมักมองว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. คือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล กลัวไหมว่าจะติดกับดัก
ผมไม่เคยพูดว่าอยู่คนละฝ่ายกับเรา แต่เมื่อกลไกต่าง ๆ ไม่เอื้ออำนวยนัก ก็ต้องไปพึ่งประชาชนเป็นหลัก แต่ไม่น่ากังวลใจ
อะไร เมื่อถึงที่สุด ทุกอย่างก็ต้องเดินไปตามหลักการที่ถูกต้อง ไม่มีใครสามารถบิดพลิ้วหลักการ หรือหลักที่ดี ๆ ถูกต้องไปได้
- ถ้ารัฐบาลผลักดันโครงการต่าง ๆ ในช่วงครึ่งเทอมหลัง จะอยู่ยาวเหมือนพรรคไทยรักไทยไหม
วันนี้... เราคิดว่าเรามีหน้าที่ทำงานตามแนวนโยบายที่เราผลักดัน ถ้าตราบใดเรายังมีประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างเต็มที่
ประโยชน์ยังตกอยู่ในมือของประชาชน ประชาชนก็จะปกป้องเรา เมื่อประชาชนปกป้องเรา ใครก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเขาทำอะไร
เขาก็กำลังยืนอยู่ตรงข้ามประชาชนส่วนใหญ่ เขาก็อยู่ไม่ได้
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1371296365
ยิ่งเขาออกมาเคลื่อนไหวก็เหมือนกับเป็นกระจกช่วยเราส่อง บางเรื่องเกินความจริงเราก็ต้องระมัดระวัง ที่สำคัญเราต้อง
ยืนยันว่านายกฯ รัฐบาล เราไม่มีเจตนาหาประโยชน์ หรือคอร์รัปชั่นจากการทำนโยบายต่าง ๆ
ชอบที่บอกนี่คือ
"กระจกช่วยเราส่อง" เพราะเท่ากับยอมรับการตรวจสอบการทำงาน ของฝ่ายตรงกันข้าม
ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ ยอมรับแบบนี้ น่าจะอยู่ได้ยาว นี่คือคคห.ของแม่บ้านพรรค ที่ไม่ควรมองข้าม
"ภูมิธรรม เวชยชัย" มองทะลุหน้ากาก อ่านกับดักในมือศัตรู "ไม่ยอมตกหลุมพราง ที่ขุดล่อเรา" .... ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เขาเป็นคนที่ถูกคณะรัฐประหารมองว่าเป็น "สายเหยี่ยว" และเป็น "หัวใจ" ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"
อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคนหนึ่งที่ "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองใน
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เค้นความลับมากที่สุด
วันนี้ "ภูมิธรรม เวชยชัย" ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย แก้ต่างว่า ตนเองไม่เคยเป็น "สายเหยี่ยว" แต่เป็น "สายพิราบ"
พุทธศักราช 2556 จังหวะที่ "พรรคเพื่อไทย" กำลังถูกรุมกระหน่ำจากขบวนการสมคบคิดล้มล้างรัฐบาล "ภูมิธรรม"
จึงใช้สายตาของ "เหยี่ยว" อ่านกับดักในมือศัตรู มองทะลุ "หน้ากาก" ที่ปกปิดใบหน้าอันแท้จริง
เขายืนยันกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กลุ่มอำนาจเก่าไม่สามารถเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลได้ง่ายเหมือนในอดีตอีกแล้ว !!
- มีกลุ่มจ้องล้มรัฐบาลจริงหรือไม่
ไม่อยากจะพูดสรุปว่าเป็นอย่างไร สาธารณชนน่าจะมีวิจารณญาณที่สุด ถ้าดูจากประสบการณ์ทางการเมืองก็มี
ความพยายามที่จะขยับกันเข้ามา จะโดยรู้เห็นเป็นใจ ร่วมไม้ร่วมมือกันหรือไม่ ก็ต้องมาวิเคราะห์ แต่หลายส่วน
เป็นเรื่องที่เขาเดือดร้อนจริงมีปน ๆ กัน บางทีไปพูดว่าล้มรัฐบาล มันอาจไปเหมารวมทั้งหมด ไม่ตรงความเป็นจริง
แต่ถ้าถามว่ามีกลุ่มที่คิดไม่เอารัฐบาลมีบ้างไหม เขาก็ประกาศตัวชัดเจนว่า เขาไม่อยากเอารัฐบาลนี้ บางส่วนก็ยัง
ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ ต้องจับตาดูต่อว่าเขามุ่งหวังเจตนาอะไร นอกจากนี้เวลานี้มีเรื่องรุมเร้าเข้ามาหลายอย่าง
เนื่องจากรัฐบาลได้แถลงต่อประชาชนในเรื่องที่จะทำ ไม่ทำก็เสียหาย แต่เมื่อทำแล้วยังมีปัญหา ก็ค่อย ๆ หาทางออก
ตลอดเวลาที่เป็นรัฐบาลมา 2 ปี ทำได้แค่นี้ก็ช้ามากแล้ว เพราะอุปสรรคมันเยอะ แต่เราไม่สิ้นความอดทนวันนี้มีข่าวลือ
เยอะ กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ คนนั้นคนนี้ นักธุรกิจส่วนนั้นส่วนนี้ สนับสนุนเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กลุ่มมวลชน กลุ่มที่ไม่เอารัฐบาล
พยายามจะขับเคลื่อนล้มรัฐบาล ผมก็ไม่ทราบว่าจริง ๆ แล้วมีมากมีน้อย แต่จะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยอย่างไร ก็ต้อง
สนับสนุนบนพื้นฐานของวิถีประชาธิปไตย
- ทำไมนโยบายของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยถึงติดกับดักตลอดเวลา
แนวนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นนโยบายมุ่งแก้ปัญหาของคนส่วนใหญ่ หลายนโยบายมีลักษณะคิดนอกกรอบ
ออกไปจากกรอบเดิมที่เคยปฏิบัติ ความจริงถ้าทำให้มันง่ายและดีที่สุดโดยคำนึงถึงแต่ตัวเราเองก็ไม่ต้องทำอะไรมาก
ทำไปตามกรอบที่เป็นอยู่ก็สบาย
แต่การเมืองไทยเป็นอย่างนี้มานานแล้ว และคนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร สิ่งที่เราพยายามทำคือพยายามคิด
กรอบใหม่ ๆ เพื่อทำให้การบริหารจัดการทั้งหมดมีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าคิดสิ่งใหม่ก็มีจุดอ่อน บางทีเป็นเรื่องบกพร่อง
ที่เราคาดการณ์ไม่ถึง บางทีทำดีแล้ว แต่การประชาสัมพันธ์ไม่เพียงพอ เช่น นโยบายจำนำข้าว วันนี้เป็นหน้าที่ของ
รัฐมนตรีที่บริหารโครงการต้องหยิบเอารายละเอียดมา
ความจริงต้องเข้าใจว่าการทำจำนำข้าว คือการดูแลเกษตรกร หรือดูแลคนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ได้คิดเรื่องกำไร หรือขาดทุน
คิดแต่ว่าดูแลเกษตรกรอย่างไร ขาดทุนก็ยังต้องยอม
ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์เคยทำเรื่องประกันราคาข้าว ปีหนึ่งขาดทุนเกือบแสนล้านบาทเหมือนกันเขามีหน้าที่ไปดูแล
เกษตรกร ดังนั้นเรื่องการขาดทุนจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่
- การทำงานของรัฐบาลตอนนี้ถือว่าเพลี่ยงพล้ำให้ฝ่ายตรงข้ามหรือไม่
ผมไม่คิดว่าเพลี่ยงพล้ำหรือไม่ แต่เรายังเดินหน้าทำในสิ่งที่ยึดมั่น เชื่อมั่น และสิ่งที่เราตัดสินใจทำให้ประชาชน เพียงแต่
เราอาจใช้เวลาประชาสัมพันธ์งานน้อยไป นายกฯก็มุ่งมั่นทำงานไป รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ไปผลักดันนโยบายจนลืมชี้แจง
ประชาชนคู่ขนาน
วันนี้เราต้องปิดจุดอ่อนที่เราให้ความสำคัญน้อยให้มันมากขึ้น ต้องชี้แจงทำความเข้าใจมากขึ้น แล้วหลายเรื่องผมคิด
ว่าถ้าเอามาแบให้เขาดูแล้วคนจะเข้าใจ
- ประเมินว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้วิธีเดิม ๆ ในการล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์หรือไม่
เราไม่ประมาท ก็พยายามจะดูว่ามีตำหนิติเตียนอะไร เคลื่อนไหวยังไง หน้าที่ของเราก็มีเพียงทำให้ประชาชนได้เห็น
ได้ทราบ แล้วเราก็มุ่งมั่นทำงานของเราให้เต็มที่ และต้องใช้วิจารณญาณให้มากหน่อย ไม่ยอมตกไปอยู่ในหลุมพราง
ของเขาที่พยายามขุดล่อเรา อะไรที่หลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยง อะไรที่เป็นหลักการก็ให้ประชาชนตัดสินใจ ผมคิดว่า
ต้องสู้กันอย่างนี้ ใครที่เป็นฝ่ายยืนอยู่ข้างการเปลี่ยนแปลงที่อำนวยประโยชน์ให้คนส่วนใหญ่ หรือการเปลี่ยนแปลง
ที่ทำให้ประเทศสังคมไทยมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น คนนั้นก็จะได้รับการปกป้องดูแลจากคนส่วนใหญ่
- ประเมินไพ่ในมือศัตรูอย่างไร
ผมไม่ค่อยสนใจไพ่ในมือศัตรูเท่าไหร่ ผมสนใจเพียงว่าเรายืนหลักตัวเองให้มั่น ทำความเข้าใจประชาชนให้เยอะ ทำสิ่งที่
คิดว่าเป็นประโยชน์กับประชาชนให้หมด และรับฟังข้อคิดเห็นดี ๆ จากมิตร เพื่อนมิตร และรับฟังข้อคิดเห็นดี ๆ จากคนที่
สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย เอามาใช้แก้ปัญหาให้มากที่สุด
- วันนี้มิตรอย่างคนเสื้อแดงบางฝ่ายก็แปรพักตร์ ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำอยู่บางเรื่อง
เป็นเรื่องธรรมดา ผมไม่ได้คิดว่าเป็นวิกฤตที่น่ากังวลใจหรือห่วงใย แม้คนเสื้อแดงส่วนใหญ่จะมีความไม่สบายใจบ้าง
ก็วิจารณ์บนพื้นฐานที่รัก และอยากเห็นระบอบประชาธิปไตยเดินหน้า และเราพยายามตอบสนองคนทุกส่วนให้มากที่สุด
และแก้ปัญหา ลำพังเพียงตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่กับแก้ปัญหาให้ได้มันก็หนักแล้ว ยังมีแรงต้านจาก
คนที่คอยเตะขัดขาอีก มันก็เป็นความยากลำบากมากขึ้น
- ยังมั่นใจว่ามีเสียงข้างมากจะอุ้มรัฐบาลต่อไปได้
วันนี้ขอให้รักษาระบอบประชาธิปไตย รักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ แต่ถ้าดูจากการเลือกตั้งใน กทม.ก็ถือว่าครึ่ง
ครึ่ง หรือการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ก็ห่างกันไม่ถึง 2-3 เปอร์เซ็นต์ ผมไม่คิดว่าฝ่ายที่รักษาอำนาจเดิมของกลุ่มตนจะมีพลัง
ที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามใจปรารถนาของตัวเอง วันนี้กระแสโลกเป็นกระแสประชาธิปไตย แล้วเชื่อว่าคนส่วนใหญ่
ตื่นตัวขึ้นมาไม่เหมือนในอดีต เพราะเป็นสังคมข่าวสาร การรับรู้ของคนมันกว้างขวางขึ้น ทุกฝ่ายต้องปรับตัว ฝ่ายที่ต้าน
การเปลี่ยนแปลงเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ถนัดเหมือนเดิม ผมไม่เชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จได้ทุกครั้ง
- การออกมาเคลื่อนไหวของหน้ากากขาวก็ไม่มีพลังพอที่จะล้มรัฐบาลได้เหมือนที่กลุ่มพันธมิตรฯเคยทำ
กลุ่มหน้ากากขาวในสายตาผมก็เป็นสิทธิที่จะเคลื่อนไหวแสดงออก แต่ความเป็นจริงก็คือคนกลุ่มเดิม แต่เปลี่ยนรูปแบบ
ในเมื่อเขารู้ว่าไม่มีคนจำนวนมากยืนอยู่ข้างเขา เขาก็ใช้คนจำนวนน้อยปกปิดใบหน้า แล้วทำให้เห็นว่ามีอยู่ทั่ว ๆ ไป
- เป็นเรื่องปกติหรือไม่ที่กลุ่มต่าง ๆ หาเรื่องมาดิสเครดิตรัฐบาล
ในช่วงที่รัฐบาลบริหารประเทศมาครึ่งเทอม เป็นเรื่องธรรมดาของสังคมไทย มีแค่ยุคไทยรักไทยเท่านั้นที่พิสูจน์ตนเอง
ได้ว่าครบ 4 ปี ที่ผ่านมาเราไม่อดทนพอเหมือนกับสังคมประชาธิปไตยที่เขาพัฒนาแล้วที่รอไป แต่หน้าที่เราไม่มีปัญหา
ยิ่งเขาออกมาเคลื่อนไหวก็เหมือนกับเป็นกระจกช่วยเราส่อง บางเรื่องเกินความจริงเราก็ต้องระมัดระวัง ที่สำคัญเราต้อง
ยืนยันว่านายกฯ รัฐบาล เราไม่มีเจตนาหาประโยชน์ หรือคอร์รัปชั่นจากการทำนโยบายต่าง ๆ
- หลังจากนี้รัฐบาลจะเดินหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน และบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน เต็มสูบ
เราชัดเจนตลอดว่าเราจะทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ส่วนจะทำไปได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงของประเทศ
ติดขัดตรงไหนก็ต้องว่ากัน
- กลัวติดกับดักไหม เพราะโครงการ 2 ล้านล้าน ฝ่ายค้านเตรียมไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ ส่วนโครงการน้ำ ป.ป.ช.
ก็จับตาการทุจริต
ถ้าเรามั่นใจว่าเราคิดดีกับประเทศและคนส่วนใหญ่ และยอมรับฟัง ยินดีรับฟังคนที่มองจากมุมนอก ก็ไม่น่ามีอะไรน่ากังวลใจ
การตรวจสอบ คอยดูแล เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว อย่างเรื่องน้ำ พอรู้ว่า ป.ป.ช.สนใจ คนของรัฐบาลก็เข้าพบทำความเข้าใจ
- พรรคเพื่อไทยมักมองว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. คือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล กลัวไหมว่าจะติดกับดัก
ผมไม่เคยพูดว่าอยู่คนละฝ่ายกับเรา แต่เมื่อกลไกต่าง ๆ ไม่เอื้ออำนวยนัก ก็ต้องไปพึ่งประชาชนเป็นหลัก แต่ไม่น่ากังวลใจ
อะไร เมื่อถึงที่สุด ทุกอย่างก็ต้องเดินไปตามหลักการที่ถูกต้อง ไม่มีใครสามารถบิดพลิ้วหลักการ หรือหลักที่ดี ๆ ถูกต้องไปได้
- ถ้ารัฐบาลผลักดันโครงการต่าง ๆ ในช่วงครึ่งเทอมหลัง จะอยู่ยาวเหมือนพรรคไทยรักไทยไหม
วันนี้... เราคิดว่าเรามีหน้าที่ทำงานตามแนวนโยบายที่เราผลักดัน ถ้าตราบใดเรายังมีประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างเต็มที่
ประโยชน์ยังตกอยู่ในมือของประชาชน ประชาชนก็จะปกป้องเรา เมื่อประชาชนปกป้องเรา ใครก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเขาทำอะไร
เขาก็กำลังยืนอยู่ตรงข้ามประชาชนส่วนใหญ่ เขาก็อยู่ไม่ได้
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1371296365
ยิ่งเขาออกมาเคลื่อนไหวก็เหมือนกับเป็นกระจกช่วยเราส่อง บางเรื่องเกินความจริงเราก็ต้องระมัดระวัง ที่สำคัญเราต้อง
ยืนยันว่านายกฯ รัฐบาล เราไม่มีเจตนาหาประโยชน์ หรือคอร์รัปชั่นจากการทำนโยบายต่าง ๆ
ชอบที่บอกนี่คือ "กระจกช่วยเราส่อง" เพราะเท่ากับยอมรับการตรวจสอบการทำงาน ของฝ่ายตรงกันข้าม
ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ ยอมรับแบบนี้ น่าจะอยู่ได้ยาว นี่คือคคห.ของแม่บ้านพรรค ที่ไม่ควรมองข้าม