นงนุช สิงหเดชะ
บทความพิเศษ (มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 7-13 มิ.ย.)
วาทกรรมยอดฮิตที่มักได้ยินฝ่ายของ คุณทักษิณ ชินวัตร พูดอยู่เสมออย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ท่ามกลางการเมืองที่เขม็งเกลียวด้วยเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญและออกกฎหมายนิรโทษกรรม ก็คือ "ก้าวไม่พ้นทักษิณ" ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ผู้พูดตั้งใจจะหมายถึงว่า ฝ่ายตรงข้ามคุณทักษิณ (ประชาชน นักวิชาการ ส.ส. ส.ว. ตลอดจนกลุ่มบุคคลที่ถูกพรรคพวกของคุณทักษิณเรียกว่าอำมาตย์) ยังคงหมกมุ่นอยู่กับแต่เรื่องคุณทักษิณ หรือกลัวคุณทักษิณจะกลับมามีอำนาจ
วาทกรรมนี้ตั้งใจจะบอกว่าเหตุที่บ้านเมืองวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่มีใครยอมปล่อยคุณทักษิณ กลัวคุณทักษิณเกินไป ถ้ายอมปล่อยคุณทักษิณไป ทุกอย่างก็จบ
ฟังดูเผินๆ ก็เท่ดี เพราะวาทกรรมนี้ตั้งใจจะสื่อความในลักษณะเข้าข้างตัวเองว่าฝ่ายตรงข้ามเกลียดคุณทักษิณเป็นการส่วนตัว
หรือประโยคฮิตในกลุ่มคนเสื้อแดงก็คือพวกนี้ "อิจฉาทักษิณ" เพราะรวย (ทั้งที่หากจะอิจฉาเพียงเพราะเรื่องรวย อิจฉาคุณเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของกระทิงแดงที่ติดอันดับเศรษฐีอันดับ 1 ของเมืองไทยอยู่ทุกปีไม่ดีกว่าหรือ หรืออิจฉานายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง ยังจะดีกว่าอีก)
อันที่จริงไม่มีใครเกลียดหรือต่อต้านคุณทักษิณเป็นการส่วนตัวเลย (ไม่ได้ต่อต้านทักษิณในฐานะคนธรรมดา)
แต่ต่อต้านพฤติกรรมและการใช้อำนาจของคุณทักษิณในฐานะนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น)
และกระทั่งในตอนนี้ที่แม้ไม่ได้เป็นนายกฯ แต่ก็เหมือนนายกฯ ตัวจริงเข้าไปทุกวัน
เหตุที่คนเขาต่อต้าน เพราะคุณทักษิณได้ทำในสิ่งที่ขัดกับหลักการของประชาธิปไตย ซึ่งคนจำนวนมากทนไม่ได้เพราะทำให้บ้านเมืองเสียหลักการที่ดีไปหลายอย่างอันเกิดจากความพยายามของคุณทักษิณที่จะรวบอำนาจเดินหน้าสู่การเป็นเผด็จการรัฐสภา พยายามจะทำให้องค์กรซึ่งทำหน้าที่ถ่วงดุลรัฐบาลอ่อนแอลง
อีกทั้งไม่มีจุดแข็งเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ยิ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีให้คนลุกฮือขึ้นต่อต้าน
เพราะการทุจริตเชิงนโยบายสมัยรัฐบาลคุณทักษิณนั้นค่อนข้างน่ากลัว เพราะเป็นการใช้อำนาจออกนโยบายหรือออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง
ถือเป็นนวัตกรรมและความก้าวหน้าขั้นสูงในการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งจะทำให้ประเทศถูกกัดกร่อนในอัตราเร็วกว่าเดิม
ถ้าเปรียบไปการทุจริตสมัยก่อนยังใช้แบบโบราณคือกินหัวคิว กินตามน้ำนิดๆ หน่อยๆ ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ยุคคุณทักษิณนั้นใช้อำนาจออกกฎหมายเอื้อตัวเองเฉยเลย เช่น แปลงค่าสัมปทานมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต
หรือถ้าจะเปรียบเป็นเทคโนโลยีโทรคมนาคม ก็คล้ายกับว่าการทุจริตยุคคุณทักษิณเปลี่ยนจากระบบอนาล็อกสู่ดิจิตอลและสู่ 3 G กล่าวคือมีอัตราเร็วกว่าเดิม มากกว่าเดิมและมีศักยภาพมากกว่าเดิม อันจะทำให้ทรัพยากรของประเทศร่อยหรอหมดไปอย่างรวดเร็ว
ล่าสุดนี้ข่าวว่าอัตราการกินเปอร์เซ็นต์โปรเจ็กต์ใหญ่พุ่งขึ้นเป็น 30-50 เปอร์เซ็นต์ สูงสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
พูดง่ายๆ ภาษีของเรา 100 บาท ถูกนำไปพัฒนาประเทศแค่ 50-60 บาท ที่เหลือเข้ากระเป๋านักการเมือง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้คนจำนวนมากที่ทำงานอย่างเหนื่อยยากและถูกหักภาษีมากในแต่ละปีเห็นว่าไม่ยุติธรรมที่นักการเมืองจะมาชุบมือเปิบสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองและพวกพ้องบนภาษีที่เป็นหยาดเหงื่อของพวกเขา
ฝ่ายที่เข้าข้างคุณทักษิณ มักจะอ้างว่าคอร์รัปชั่นมันก็มีทุกยุคทุกสมัยนั่นแหละ ใครไม่โกงบ้าง ซึ่งก็แปลกที่พอเป็นเรื่องทุจริตระดับชาติอย่างเป็นระบบกลับยอมรับกันได้แบบชิลๆ แต่พอเป็นเรื่องรัฐประหารละก็ยอมไม่ได้หัวเด็ดตีนขาด ทั้งที่สังคมที่ดีต้องไม่ยอมรับทั้งสองอย่างนั่นล่ะเพราะมันร้ายพอกัน
เดี๋ยวนี้มีการใช้ตรรกะ แปลกๆ กันมาก กล่าวคือพอมีการรัฐประหารเกิดขึ้น คุณทักษิณก็กลายเป็นเทพเจ้าผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องไปเลย พวกที่ตลกคือพวกที่ครั้งหนึ่งขึ้นเวทีของอีกฝ่ายด่าคุณทักษิณแบบไม่เผาผีกัน ว่าทุจริตเยอะและเป็นเผด็จการ แต่พอมีรัฐประหารก็กระโดดไปกอดคอหอมแก้มเยินยอคุณทักษิณดื้อๆ
ทั้งที่หากต้องการจะต่อต้านรัฐประหารก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนขั้วแบบสุดสวิงไปอยู่ซีกคุณทักษิณขนาดนั้น ยังมีวิธีอื่นอีกมากมายที่จะต่อต้าน เพราะเอาเข้าจริงคุณทักษิณก็ไม่ใช่นักประชาธิปไตยแต่แรกพอที่จะยึดถือเป็นไอดอล และว่ากันตามตรง สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณทักษิณถูกรัฐประหารก็เพราะไม่เป็นนักประชาธิปไตยนั่นล่ะ
ปกติคนทำรัฐประหารมักถูกมองว่าเป็นพวกเผด็จการ แต่การรัฐประหารเมื่อปี 2549 ดูไปแล้วเหมือนเป็นการรัฐประหารเพื่อให้รัฐบาลพลเรือนกลับสู่ครรลองประชาธิปไตย ซึ่งดูแล้วก็กลับหัวกลับหางดี
บางคนพอคุณทักษิณถูกรัฐประหาร ก็ลืมเรื่องทุจริตของคุณทักษิณไปเสียดื้อๆ แล้วก็เทน้ำหนักไปที่การต่อต้านรัฐประหารเพียงอย่างเดียว โดยที่ยอมหลับตามองไม่เห็นพิษร้ายของการคอร์รัปชั่นซึ่งจนถึงขณะนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
อันที่จริง คนไทยจำนวนมากอยากก้าวข้ามคุณทักษิณ คือทิ้งคุณทักษิณไว้ข้างหลังเสียแล้วให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ถ้าเพียงแต่รัฐบาลจะไม่มาหมกมุ่นแก้รัฐธรรมนูญหรือนิรโทษกรรมเพื่อช่วยคุณทักษิณ
แต่ก็คงเป็นคุณทักษิณนั่นแหละที่ไม่ยอมให้ใครก้าวข้าม เพราะถ้าทุกฝ่ายก้าวข้ามคุณทักษิณด้วยการไม่แก้รัฐธรรมนูญ ไม่ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม คุณทักษิณก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่มีใครให้ความสำคัญ คุณทักษิณจึงอาจต้องการดึงขาเอาไว้ไม่ให้ใครก้าวข้าม ประเทศจึงติดหล่มอยู่กับการแก้รัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรม
บางคนในพรรคเพื่อไทยที่มักกล่าวหาฝ่ายอื่นว่าก้าวไม่พ้นคุณทักษิณนั้น เอาเข้าจริงก็เป็นพรรคเพื่อไทยนั่นแหละที่ก้าวไม่พ้นทักษิณ วนเวียนอยู่กับทักษิณ เพราะทุกวันนี้ก็ยังต้องรับฟังคำบัญชาจากคุณทักษิณ
หากเห็นแก่ชาติจริง ยอมสละคุณทักษิณเพียงคนเดียว โดยที่คนไทยทั้งประเทศได้ประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ
ฟังไม่ขึ้นหรอกที่อ้างว่าอยากแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย เพื่อประชาชน เพราะความพยายามในขณะนี้เห็นชัดว่าไม่ใช่วิถีทางสู่ประชาธิปไตย เพราะเป็นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อทำลายองค์กรอิสระหรือองค์กรอื่นใดที่จะถ่วงดุลตรวจสอบอำนาจของฝ่ายบริหาร ซึ่งสะท้อนชัดว่ารัฐบาลต้องการรวบอำนาจทุกอย่างเอาไว้ ทั้งอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ
สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ในขณะนี้ บ่งบอกว่ามีเป้าหมายจะให้อำนาจทั้ง 3 สาขา ตกอยู่ภายใต้อำนาจของนักการเมือง โดยเฉพาะหน่วยงานศาลสถิตยุติธรรมที่ถูกรัฐบาลตัดงบประมาณลงครึ่งหนึ่ง และคงจะตัดลงอีกในงบฯ ปี 2557
ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นการกลั่นแกล้งและบีบทางอ้อมต่อองค์กรที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นก้างขวางคอ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1371200327&grpid=03&catid=&subcatid=
"ก้าวไม่พ้น"ทักษิณ หรือ"ทักษิณดึงขา"ไม่ให้ก้าวข้าม จาก มติชน
บทความพิเศษ (มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 7-13 มิ.ย.)
วาทกรรมยอดฮิตที่มักได้ยินฝ่ายของ คุณทักษิณ ชินวัตร พูดอยู่เสมออย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ท่ามกลางการเมืองที่เขม็งเกลียวด้วยเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญและออกกฎหมายนิรโทษกรรม ก็คือ "ก้าวไม่พ้นทักษิณ" ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ผู้พูดตั้งใจจะหมายถึงว่า ฝ่ายตรงข้ามคุณทักษิณ (ประชาชน นักวิชาการ ส.ส. ส.ว. ตลอดจนกลุ่มบุคคลที่ถูกพรรคพวกของคุณทักษิณเรียกว่าอำมาตย์) ยังคงหมกมุ่นอยู่กับแต่เรื่องคุณทักษิณ หรือกลัวคุณทักษิณจะกลับมามีอำนาจ
วาทกรรมนี้ตั้งใจจะบอกว่าเหตุที่บ้านเมืองวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่มีใครยอมปล่อยคุณทักษิณ กลัวคุณทักษิณเกินไป ถ้ายอมปล่อยคุณทักษิณไป ทุกอย่างก็จบ
ฟังดูเผินๆ ก็เท่ดี เพราะวาทกรรมนี้ตั้งใจจะสื่อความในลักษณะเข้าข้างตัวเองว่าฝ่ายตรงข้ามเกลียดคุณทักษิณเป็นการส่วนตัว
หรือประโยคฮิตในกลุ่มคนเสื้อแดงก็คือพวกนี้ "อิจฉาทักษิณ" เพราะรวย (ทั้งที่หากจะอิจฉาเพียงเพราะเรื่องรวย อิจฉาคุณเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของกระทิงแดงที่ติดอันดับเศรษฐีอันดับ 1 ของเมืองไทยอยู่ทุกปีไม่ดีกว่าหรือ หรืออิจฉานายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง ยังจะดีกว่าอีก)
อันที่จริงไม่มีใครเกลียดหรือต่อต้านคุณทักษิณเป็นการส่วนตัวเลย (ไม่ได้ต่อต้านทักษิณในฐานะคนธรรมดา)
แต่ต่อต้านพฤติกรรมและการใช้อำนาจของคุณทักษิณในฐานะนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น)
และกระทั่งในตอนนี้ที่แม้ไม่ได้เป็นนายกฯ แต่ก็เหมือนนายกฯ ตัวจริงเข้าไปทุกวัน
เหตุที่คนเขาต่อต้าน เพราะคุณทักษิณได้ทำในสิ่งที่ขัดกับหลักการของประชาธิปไตย ซึ่งคนจำนวนมากทนไม่ได้เพราะทำให้บ้านเมืองเสียหลักการที่ดีไปหลายอย่างอันเกิดจากความพยายามของคุณทักษิณที่จะรวบอำนาจเดินหน้าสู่การเป็นเผด็จการรัฐสภา พยายามจะทำให้องค์กรซึ่งทำหน้าที่ถ่วงดุลรัฐบาลอ่อนแอลง
อีกทั้งไม่มีจุดแข็งเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ยิ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีให้คนลุกฮือขึ้นต่อต้าน
เพราะการทุจริตเชิงนโยบายสมัยรัฐบาลคุณทักษิณนั้นค่อนข้างน่ากลัว เพราะเป็นการใช้อำนาจออกนโยบายหรือออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง
ถือเป็นนวัตกรรมและความก้าวหน้าขั้นสูงในการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งจะทำให้ประเทศถูกกัดกร่อนในอัตราเร็วกว่าเดิม
ถ้าเปรียบไปการทุจริตสมัยก่อนยังใช้แบบโบราณคือกินหัวคิว กินตามน้ำนิดๆ หน่อยๆ ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ยุคคุณทักษิณนั้นใช้อำนาจออกกฎหมายเอื้อตัวเองเฉยเลย เช่น แปลงค่าสัมปทานมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต
หรือถ้าจะเปรียบเป็นเทคโนโลยีโทรคมนาคม ก็คล้ายกับว่าการทุจริตยุคคุณทักษิณเปลี่ยนจากระบบอนาล็อกสู่ดิจิตอลและสู่ 3 G กล่าวคือมีอัตราเร็วกว่าเดิม มากกว่าเดิมและมีศักยภาพมากกว่าเดิม อันจะทำให้ทรัพยากรของประเทศร่อยหรอหมดไปอย่างรวดเร็ว
ล่าสุดนี้ข่าวว่าอัตราการกินเปอร์เซ็นต์โปรเจ็กต์ใหญ่พุ่งขึ้นเป็น 30-50 เปอร์เซ็นต์ สูงสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
พูดง่ายๆ ภาษีของเรา 100 บาท ถูกนำไปพัฒนาประเทศแค่ 50-60 บาท ที่เหลือเข้ากระเป๋านักการเมือง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้คนจำนวนมากที่ทำงานอย่างเหนื่อยยากและถูกหักภาษีมากในแต่ละปีเห็นว่าไม่ยุติธรรมที่นักการเมืองจะมาชุบมือเปิบสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองและพวกพ้องบนภาษีที่เป็นหยาดเหงื่อของพวกเขา
ฝ่ายที่เข้าข้างคุณทักษิณ มักจะอ้างว่าคอร์รัปชั่นมันก็มีทุกยุคทุกสมัยนั่นแหละ ใครไม่โกงบ้าง ซึ่งก็แปลกที่พอเป็นเรื่องทุจริตระดับชาติอย่างเป็นระบบกลับยอมรับกันได้แบบชิลๆ แต่พอเป็นเรื่องรัฐประหารละก็ยอมไม่ได้หัวเด็ดตีนขาด ทั้งที่สังคมที่ดีต้องไม่ยอมรับทั้งสองอย่างนั่นล่ะเพราะมันร้ายพอกัน
เดี๋ยวนี้มีการใช้ตรรกะ แปลกๆ กันมาก กล่าวคือพอมีการรัฐประหารเกิดขึ้น คุณทักษิณก็กลายเป็นเทพเจ้าผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องไปเลย พวกที่ตลกคือพวกที่ครั้งหนึ่งขึ้นเวทีของอีกฝ่ายด่าคุณทักษิณแบบไม่เผาผีกัน ว่าทุจริตเยอะและเป็นเผด็จการ แต่พอมีรัฐประหารก็กระโดดไปกอดคอหอมแก้มเยินยอคุณทักษิณดื้อๆ
ทั้งที่หากต้องการจะต่อต้านรัฐประหารก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนขั้วแบบสุดสวิงไปอยู่ซีกคุณทักษิณขนาดนั้น ยังมีวิธีอื่นอีกมากมายที่จะต่อต้าน เพราะเอาเข้าจริงคุณทักษิณก็ไม่ใช่นักประชาธิปไตยแต่แรกพอที่จะยึดถือเป็นไอดอล และว่ากันตามตรง สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณทักษิณถูกรัฐประหารก็เพราะไม่เป็นนักประชาธิปไตยนั่นล่ะ
ปกติคนทำรัฐประหารมักถูกมองว่าเป็นพวกเผด็จการ แต่การรัฐประหารเมื่อปี 2549 ดูไปแล้วเหมือนเป็นการรัฐประหารเพื่อให้รัฐบาลพลเรือนกลับสู่ครรลองประชาธิปไตย ซึ่งดูแล้วก็กลับหัวกลับหางดี
บางคนพอคุณทักษิณถูกรัฐประหาร ก็ลืมเรื่องทุจริตของคุณทักษิณไปเสียดื้อๆ แล้วก็เทน้ำหนักไปที่การต่อต้านรัฐประหารเพียงอย่างเดียว โดยที่ยอมหลับตามองไม่เห็นพิษร้ายของการคอร์รัปชั่นซึ่งจนถึงขณะนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
อันที่จริง คนไทยจำนวนมากอยากก้าวข้ามคุณทักษิณ คือทิ้งคุณทักษิณไว้ข้างหลังเสียแล้วให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ถ้าเพียงแต่รัฐบาลจะไม่มาหมกมุ่นแก้รัฐธรรมนูญหรือนิรโทษกรรมเพื่อช่วยคุณทักษิณ
แต่ก็คงเป็นคุณทักษิณนั่นแหละที่ไม่ยอมให้ใครก้าวข้าม เพราะถ้าทุกฝ่ายก้าวข้ามคุณทักษิณด้วยการไม่แก้รัฐธรรมนูญ ไม่ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม คุณทักษิณก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่มีใครให้ความสำคัญ คุณทักษิณจึงอาจต้องการดึงขาเอาไว้ไม่ให้ใครก้าวข้าม ประเทศจึงติดหล่มอยู่กับการแก้รัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรม
บางคนในพรรคเพื่อไทยที่มักกล่าวหาฝ่ายอื่นว่าก้าวไม่พ้นคุณทักษิณนั้น เอาเข้าจริงก็เป็นพรรคเพื่อไทยนั่นแหละที่ก้าวไม่พ้นทักษิณ วนเวียนอยู่กับทักษิณ เพราะทุกวันนี้ก็ยังต้องรับฟังคำบัญชาจากคุณทักษิณ
หากเห็นแก่ชาติจริง ยอมสละคุณทักษิณเพียงคนเดียว โดยที่คนไทยทั้งประเทศได้ประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ
ฟังไม่ขึ้นหรอกที่อ้างว่าอยากแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย เพื่อประชาชน เพราะความพยายามในขณะนี้เห็นชัดว่าไม่ใช่วิถีทางสู่ประชาธิปไตย เพราะเป็นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อทำลายองค์กรอิสระหรือองค์กรอื่นใดที่จะถ่วงดุลตรวจสอบอำนาจของฝ่ายบริหาร ซึ่งสะท้อนชัดว่ารัฐบาลต้องการรวบอำนาจทุกอย่างเอาไว้ ทั้งอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ
สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ในขณะนี้ บ่งบอกว่ามีเป้าหมายจะให้อำนาจทั้ง 3 สาขา ตกอยู่ภายใต้อำนาจของนักการเมือง โดยเฉพาะหน่วยงานศาลสถิตยุติธรรมที่ถูกรัฐบาลตัดงบประมาณลงครึ่งหนึ่ง และคงจะตัดลงอีกในงบฯ ปี 2557
ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นการกลั่นแกล้งและบีบทางอ้อมต่อองค์กรที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นก้างขวางคอ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1371200327&grpid=03&catid=&subcatid=