ชีวิตลำเค็ญของ “ยายสำอางค์”

วันนี้ทำงานไปด้วย หาเพลงฟังไปด้วยเรื่อยๆครับฟังหลายแนว มาจบด้วยเพลงเพื่อชีวิต ติดอยู่เพลงนึงครับ คือเพลง"ยายสำอางค์" ของวง คาราบาว ไม่เคยเห็นยายสำอางค์มาก่อนเลยครับว่าหน้าตาแกเป็นอย่างไร เลยลองหาดู เจอบทความนึงเกี่ยวกับยายแกเลยนำมาฝากให้เพื่อนๆอ่านกันครับ
                                                                                             อมยิ้ม33

“…ตาแกบอด มองไม่เห็น ร้องเพลงขอทานด้วยความจำเป็น ชีวิตลำเค็ญหนอยายสำอางค์…”

เสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของคุณแอ๊ด ยืนยง โอภากุล ที่ขับขานเล่าเรื่องราวของวณิพกที่ชื่อ ยางสำอางค์ ซึ่งอาจจะเป็นผู้เฒ่าผู้ขับขานเพลงวณิพกคนสุดท้ายของแผ่นดินเสียกระมัง เพลงนี้ถูกเผยแพร่ราวปี พ.ศ. ๒๕๓๖ บรรยายถึงชีวิตของแม่เฒ่าตาบอดที่ออกร้องเพลงขอทานไปเรื่อย จนที่สุดก็ถูกกรมประชาสงเคราะห์รับไปดูแล แต่แกไม่อยากจะเป็นภาระของใครจึงย้ายออกมาประกอบอาชีพเหลาไม้ปิ้งไก่หาเงินเลี้ยงชีวิต

จำได้ว่าในตอนนั้นเพลงนี้ได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง หากไม่นับที่ความโด่งดังของผู้ขับร้องและจังหวะดนตรีที่ปลุกเร้าแล้ว สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยายสำอางค์ ตามท้องเรื่องนั้นมีตัวตนจริงๆ หรือ ในตอนนั้นเองที่ผู้คนทั่วประเทศถึงได้รู้จักกับยายสำอางค์ที่มีตัวตนจริงๆ
                                            
                                                     ภาพแรก ยายสำอางค์ ถ่ายโดยคุณเอนก นาวิกมูล (ปี พ.ศ. ๒๕๓๔)
                                                  ถัดมาคือศาลาที่พักศพ วัดบางน้อย ที่ยายถูกนำมาทิ้งไว้เมื่อตอนแรกเกิด
บังเอิญเสียเหลือเกินที่ข้าพเจ้าไปพบเอาหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ อยู่อย่างชาวสยาม เขียนโดย คุณเอนก นาวิกมูล กูรูด้านวัฒนธรรมไทยโบราณ เมื่อเปิดอ่านเพียงบทแรกก็เตะตาเตะใจข้าพเจ้าทีเดียว เมื่อกล่าวถึงชีวิตของยายสำอางค์ตัวจริงเสียงจริง คุณเอนกที่ได้พบปะพูดคุยกับยายสำอางค์ได้เล่าไว้ในหนังสือว่า ยายสำอางค์  มีชื่อจริงว่า นางสำอางค์ เลิศถวิล (เดิมที่คนไทยนิยมเขียนว่า สำอางค์ แต่ที่ถูกต้องตามพจนานุกรมคือ สำอาง) เป็นชาวบางช้าง จังหวัดสมุทรสงคราม พ่อแกเป็นคนจีน เมื่อแกคลอดออกมาจึงไม่เป็นที่ชอบใจของผู้เป็นพ่อ ตามธรรมเนียมจีนที่เห็นลูกชายดีกว่า ประกอบกับเมื่อแรกคลอดแกไม่ค่อยแข็งแรงนัก พ่อและแม่จึงนำแกไปทิ้งไว้ที่ศาลาวัดบางน้อย หวังจะทิ้งให้ตายหรือไม่ก็ให้ใครเก็บไปเลี้ยง เดชะบุญที่มีวณิพกสองคนผัวเมียผ่านมาพบเข้าเลยนำแกไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม

“…เขาว่า แหม อีเด็กคนนี้ใจแข็ง มันยังไม่ตาย ทีนี้ผีสางพ่อบุญธรรมเขาถามว่า เด็กยังไม่ทันจะตายทำไมเอามาทิ้ง … ก็มันจะตายแล้ว แกอยากได้แกเอาไปเหอะ พ่อบุญธรรมก็เอาฉันลงเรือ แล้วเขาปั้นดินแทนตัวฉันทิ้งเอาไว้…” ยายสำอางค์เล่า (คำว่าผีสางใช้เรียกเป็นคำนำหน้าเมื่อพูดถึงผู้ที่ตายไปแล้ว เป็นคำพูดพื้นบ้านของชาวภาคกลาง)

พ่อแม่บุญธรรมที่ยากจนแต่ไม่จนน้ำใจพาเด็กน้อยออกร่อนเร่พเนจรร้องเพลงขอทานไปเรื่อย เมื่ออายุครบขวบตาแกก็บอด แกว่าเป็นเกล็ดกระดี่ เจ็บตาเรื่อยมาจนบอดในที่สุด บทเพลงต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังถูกซึมซับเข้าไปทีละน้อย จนแกสามารถขับร้องเพลงขอทานได้อย่างเชี่ยวชาญ ยายสำอางค์เป็นคนอารมณ์ดี พูดคุยสนุก เข้ากับใครได้ง่ายๆ น้ำเสียงของแกก้องกังวาน ถึงคราวต้องสนุกสนานแกก็ร้องล้อกับเสียงโทน เสียงฉิ่งได้อย่างคึกครื้น เมื่อถึงคราวต้องเศร้า แกก็ขับกล่อมได้อย่างโหยหวนเรียกน้ำตาผู้ฟังได้ดีนัก

สมัยนั้นไม่ได้มีโทรทัศน์ดูเหมือนสมัยนี้ วิทยุนั้นหรือก็เป็นของฟุ่มเฟือยเกินกว่าจะหาซื้อไว้ตามบ้าน นานๆ ทีถึงจะมีงานบุญ มีมหรสพมาให้ได้บันเทิงใจกันสักครั้ง พวกวณิพกนี้ก็ได้ออกให้ความบันเทิงแกชาวบ้านด้วยการขับกล่อมเพลงเล่าเรื่องราวนิทานพื้นบ้าน อย่างพระรถเมรี ขุนช้างขุนแผน ลักษณวงศ์ เป็นต้น
                                              
                                                    ยายสำอางค์ กับ ตาผาด ถ่ายโดยคุณเอนก นาวิกมูล (ปี พ.ศ. ๒๕๒๕)
                                                                     ถัดมาคือเรือประทุนที่พักอาศัยของสองตายาย

ยายสำอางค์เคยมีผัวมาก่อนสองคน แต่ก็ตายจากกันไปเสียทั้งคู่ แกอยู่กับผัวคนที่สาม อายุ ๘๐ กว่าแล้ว ชื่อตาผาด (ในหนังสือบันทึกไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗ คาดว่าอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว) เวลาไปไหนมาไหนยายสำอางค์ก็ได้ตาผาดนี่แหละเป็นตามองทางแทน

“…อย่างฉันกะตาผาดนี่เขาไม่เรียกคู่สร้างคู่สมเหมือนอย่างของพ่อดำรง พุฒตาล เขาหรอก มันต้องเรียกว่า คู่เวรคู่กรรม…”

ยายสำอางค์เคยถูกกรมประชาสงเคราะห์พาไปดูแล แกได้แต่นั่งๆ นอนๆ ไปวันๆ ทำให้แกอึดอัดเป็นที่สุด คุณเอนกเล่าว่าเดี๋ยวนี้ (ขณะคุณเอนกสัมภาษณ์) ยายสำอางค์อาศัยอยู่ในบ้านพักหลังเล็กๆ แถววัดบางแวก ซอยพาณิชย์ธน (จรัลสนิทวงศ์ ๑๓) … ค้นข้อมูลล่าสุดได้ความว่าแกเสียชีวิตเสียแล้ว (ข้าพเจ้าไม่ทราบวันที่แน่นอน)

บันทึกนี้เรียบเรียงจากบทความ ชีวิตวณิพก ในหนังสือ อยู่อย่างชาวสยาม เขียนโดยคุณเอนก นาวิกมูล ยังพบมีวางจำหน่ายตามร้านหนังสือ ท่านผู้ใดสนใจลองไปหาซื้ออ่านดู และขอขอบพระคุณคุณเอนกที่ได้บันทึกเรื่องราวดีๆ อย่างนี้ไว้เป็นประวัติศาสตร์ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษากันต่อไป
                                                              

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ






(ขอบคุณบทความจาก http://janghuman.wordpress.com/ ด้วยครับ)ขออนุญาตแนะนำเรื่องราวดีๆนะครับ   พาพันขอบคุณ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่