กระทู้นี้ไม่ได้เจตนาจะล่อเป้าแต่อย่างใด แต่เป็นความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆจากคนที่ใช้ iphone มานานมากกกก
ผมยอมรับในความลื่นไหลของ iphone แต่เมื่อได้มาสัมผัสกับ note 8 แล้วที่ลื่นไหลดีกว่า note 10.1 ที่เคยใช้ ก็ต้องขอชมว่า ss ทำการบ้านมาดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียนภาษาไทยที่สามารถเขียนได้ต่อเนื่องและแปลออกมาเป็นตัวพิมพ์ได้เลย แต่จาก note 10.1 ที่ใช้มานั้นไม่ปลื้ม!
ปัจจุบันทำอะไรกับ iphone ผมใช้มันแค่โทรเท่านั้น ผมเล่นอะไรไม่เต็มที่เท่าไหร่กับมันเพราะอาจจะอายุเลข 3 แล้ว มองจอเล็กๆแล้วปวดตาทุกที หลายๆอย่างที่ note 8 ทำได้ดี แต่ iphone กลับทำได้ไม่ถึง อาจจะด้วยการที่เป็นระบบปิดผมไม่อยากอวย iphone มากเกินความจริงนักหากท่านใดที่ยังไม่เคยจับแอนดรอยด์เวอร์ชั่นใหม่ๆบวกกับความสามารถของเครื่องแรงๆอย่าง note 8.0 ก่อนที่จะได้ใช้จริงผมคงมองว่า iphone คงเป็นมือถือที่ดีที่สุด แต่มันก็คงจะจริงแร่ะครับ iphone คือมือถือที่ดีที่สุด (เป็นแค่มือถือสำหรับผม) อะไรที่ note 8 ทำได้เหนือกว่าจนทำให้ผมแทบลืม iphone
1. การนำเข้าพวกไฟล์ภาพ เพลง วีดีโอ ค่อนข้างลำบากต้องผ่าน iTunes และหากจะนำรูปภาพจากคอมพิวเตอร์กลับมาลง iphone ต้อง syn ผ่าน iTunes เท่านั้น ไม่สามารถส่งผ่าน bluetooth หรือก้อปปี้เข้า folder หลักโดยตรงได้ แต่ note 8 เราสามารถโยนไฟล์ต่างๆเข้าออกได้อย่างง่ายดายแต่ด้วยการที่แอนดรอยด์ทำอะไรได้ง่ายๆแบบนี้ก็ต้องระวังไวรัสกันบ้างนะครับ หุๆ
2. ไฟล์รูปภาพที่ syn ผ่านคอมพิวเตอร์เข้ามาสู่ iphone จะไม่สามารถลบได้จากในตัวเครื่องมือถือ ต้องไปลบจากคอมพิวเตอร์แล้ว syn ผ่าน itune อีกครั้งเท่านั้น ถามว่าทำแบบนี้เพื่ออะไร????
3. ไม่สามารถส่งข้อมูลต่างๆผ่านทาง bluetooth ได้นะครับ ถ้าคิดว่าคุณจะซื้อ iphone แล้วมาส่งไฟล์ภาพแชร์กับเพื่อนที่ใช้มือถือแอนดรอยด์ล่ะก็คุณอาจจะต้อง มึนๆ งงๆ ได้ครับว่าเครื่องตัวเองเสียหรือเปล่าทำไมแชร์ไม่ได้ หลังจากที่จับแอนดรอยด์อย่าง note 8 เหมือนตัวเองได้มีชีวิตเหมือนคนอื่นๆอีกครั้งได้แชร์ได้ทำอะไรในโลกเสรีที่คนอื่นเขาทำกันได้ไม่ใช่ปิดตัวเองอยู่แต่ในบ้านของตัวเอง
4. การนำไฟล์ mp3 มาใช้ในการทำเสียงเรียกเข้า ถือว่าเป็นพื้นฐานง่ายๆที่หลายๆคนอยากจะทำกันสำหรับ iphone ต้องทำผ่าน iToos เท่านั้นซึ่งเป็นคนละโปรแกรมกับ iTunes ผู้ใช้ iphone ส่วนใหญ่จึงไม่อยากที่จะศึกษาตรงนี้เพราะกลัวจะวุ่นวายเลยใช้เสียงเรียกเข้าเดิมๆที่ระบบมีไว้ให้ครับทั้งๆที่จริงแล้วก็ไม่ได้ยากอะไรครับ มีคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง เชื่อมต่อผ่านสาย usb เข้าโปแกรม iToos และตัดท่อนฮุกที่ต้องการมันก็จะ syn เข้ามาให้ในเครื่องแล้วครับ
5. โปรแกรมบางตัวใน แอนดรอยด์ (android) ที่คนนิยมกลับไม่มีใน app store อย่างเช่นเกมส์ที่หลายคนนิยมกันตอนนี้อย่าง ingress แถมโปรแกรมบางตัวใน แอนดรอยด์ มีให้เราใช้ฟรีแต่ใน app store กลับต้องเสียเงินซื้อเป็นส่วนใหญ่
6. โปรแกรมหลายตัวใน iphone มีลูกเล่นสู้ฝั่ง แอนดรอยด์ไม่ได้ อาทิเช่น gmail และ line ยกตัวอย่างง่ายๆครับ gmail ใน iphone จะไม่สามารถลบอีเมล์จำนวนมากๆพร้อมกันได้ต้องมานั่งเลือกทีละเมล์ และ line ก็ไม่สามารถที่จะพิมพ์ตอบใน pop up แจ้งเตือนได้ ซึ่งจะตอบได้ก็ต้องเข้าไปในโปรแกรมอีกที นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโปรแกรมเลยครับที่ฝั่งแอนดรอยด์ทำได้ดีกว่าทั้งๆที่เป็นโปรแกรมเดียวกัน
7. การแยกเสียงเตือนของบางโปรแกรม ยังคงตั้งเสียงเตือนของแต่ละโปรแกรมไม่ได้ ซึ่งต่างจากฝั่ง แอนดรอยด์ ที่สามารถแยกเสียงเตือนและตั้งเสียงเตือนที่เราต้องการได้
8. การถ่ายรูปและแชร์ทันทียังมีตัวเลือกไม่มากเท่า แอนดรอยด์ เช่นถ้าคุณต้องการที่จะถ่ายรูปและแชร์เข้า line ทันทีคุณต้องไปเปิดโปรแกรม line ขึ้นมาก่อนและส่งรูปที่คุณถ่ายไว้นั้นไปทีหลัง หรือถ่ายรูปจากโปรแกรม line เท่านั้นจึงจะแชร์ได้แบบทันที จุดนี้ต่างจากฝั่งแอนดรอยด์ที่มีตัวเลือกในการแชร์ที่หลากหลายกว่า
9. ระบบจัดการในส่วนของ contact หรือรายชื่อผู้ติดต่อยังไม่ดีเท่าแอนดรอยด์
10. ลูกเล่นในการถ่ายภาพจากกล้องของ iphone เองลูกเล่นยังน้อยกว่าฝั่งแอนดรอยด์เยอะ ยกเว้นเสียแต่เราไปลงโปรแ
กรมแต่งภาพหรือโปรแกรมถ่ายรูปอย่างเช่น camera 360 แต่ต้องยอมรับว่ากล้องของ iphone ทำออกมาได้กว่าแม้ลูกเล่นจะดูน้อยกว่าแต่ก็กินขาด ด้วยการที่ใช้เลนส์ของ sony นี่เอง
11. การโหลดโปรแกรมใน app store ใช้งานยากกว่าแอนดรอยด์ ที่สำคัญคือมันต้องให้ใส่รหัส apple id ทุกครั้งเมื่อจะโหลดโปรแกรม (ทำไมมันไม่จำบ้างนะ)
12. การจัดการกับโปรแกรมที่ค้างอยู่ น่าจะเป็นเรื่องที่วุ่นวายสำหรับใครหลายๆคนซึ่งต้องมาไล่ปิดทีละโปรแกรมจากการกด home 2 ครั้งเพื่อเรียกดูโปรแกรมที่เปิดอยู่และปิดมันทีละอันๆ ทำไมไม่ทำแบบกดปิดได้ทีเดียวพร้อมกันไปเลยบ้างล่ะ เข้าไปใน app store ก็ยังไม่พบว่าจะมีโปรแกรมช่วยปิดพร้อมๆกันทีเดียว ต่างจากฝั่งแอนดรอยด์ที่มีโปรแกรมในการช่วยจัดการตรงนี้มากมายให้เลือกใช้ ของฝั่ง apple ก็มีนะครับแต่ต้องทำการ Jailbreak เครื่องเสียก่อน แต่ ณ ตอนนี้ ios ที่ผมใช้ยังเป็นเวอร์ชั่นที่ยังไม่สามารถ Jailbreak ได้ครับ การ Jailbreak ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียหาข้อมูลได้จาก google เลยครับสำหรับคนที่สนใจ
13. แป้นพิมพ์ใน iphone ยังไม่สามาถลงแป้นพิมพ์อื่นๆแบบในแอนดรอยด์ได้นะครับ แต่ก็สามารถเลือกได้ว่าจะเอาแป้นพิมพ์กี่แถว ถ้าใครซื้อ iphone มาแล้วหวังจะลงแป้นพิมพ์ที่คุ้นเคยอย่างที่เคยใช้ในแอนดรอยด์ ขอบอกว่าคุณกำลังคิดผิดแล้ว
14. การ backup ทำได้ยากกว่าในแอนดรอยด์ ซึ่งทางแอนดรอยด์ปัจจุบันสามารถที่จะ backup ทั้งรายชื่อติดต่อ โปรแกรมและอื่นๆผ่านทาง gmail ได้แล้วโดยไม่ต้องยุ่งยาก แต่ทาง iphone ยังต้องทำการ backup ผ่านทาง iTunes และ iCloud อยู่ ที่ผ่านมาเราพบอยู่บ่อยๆสำหรับผู้
ใช้ iphone ที่ไม่ชำนาญการใช้เวลาเครื่องมีปัญหาและไม่เคย backup มาก่อนมักจะสูญเสียข้อมูลไปพร้อมเครื่อง เนื่องจากเวลาเคลมเครื่องนั้นทาง apple ไม่ได้กู้คืนข้อมูลให้เราแต่เปลี่ยนเครื่องใหม่มาแทน ลองคิดดูว่าถ้ารูปภาพ รายชื่อผู้ติดต่อจำนวนมากๆ และอะไรต่อมิอะไรที่คุณไม่เคย backup เก็บไว้เลยสูญหายไปคุณจะเครียดแค่ไหน
15. iphone ไม่มีปุ่มปิดโปรแกรมแต่ละโปรแกรมและไม่มีปุ่ม back แน่นอนล่ะถ้าเป็นแบบนี้หลายคนที่ใช้งานเวลาจะออกจากโปรแกรมก็กดแต่ปุ่ม home กันจนบางครั้งลืมเข้าไปกดปิดจนทำให้แบ็ตหมดเร็วซึ่งก็เป็นสาเหตุหลัก
ทั้งหมดทั้งปวงนี้คือรีวิวส่วนตัวล้วนๆครับ ส่วนด้านล่างนี้คือมือถือที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ทั้งหมด iphone 2 เครื่องของแฟน 1 ผม 1 note 8 ตอนแรกซื้อมาเครื่องเดียวแต่ใช้ดีเลยจัดให้แฟนอีก 1 เครื่อง ส่วนอีกเครื่องใหญ่ๆนั้นคือ note 10.1 ที่ผมเคยทำรีวิวใน
https://www.youtube.com/watch?v=yYLy5SjOAcM ไว้ไม่รู้จำกันได้ไหม ล่าสุดก็แทบไม่ได้แตะเลยครับเอาไว้ลง emu เล่่นเกมส์ ps / nintendo 64 / md / ff แค่นั้นครับ
สำหรับผมมองว่า iphone มีความลื่นไหล แต่ใช้งานลำบาก ส่วนแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 4.1 ขึ้นไปเมื่อเทียบกันแล้ว แอนดรอยด์ยังต้องอาศัยเครื่องแรงๆในการรันเพื่อให้ระบบมีความสเถียรอยู่ และปรับแต่งมากๆก็มีสิทธิแฮงค์ได้ในบางครั้ง เนื่องจากเป็นแอนดรอยด์นั้นเป็นระบบเปิด ความยืดหยุ่นมีมากกว่าจึงสามารถปรับแต่งอะไรได้หลากหลายกว่าแต่แต่ user ผมยอมรับในเรื่องความไวที่อาจจะน้อยกว่า ios เพียงนิดเดียวแต่แลกกับการที่ได้ทำอะไรได้อย่างเสรีไม่มีขีดจำกัดมากกว่า อิสระภาพน่าจะเป็นพื้นฐานของมนุษย์แทบจะทุกคนอยู่แล้วนะครับ ส่วน ios นั้นถ้าเปิดระบบแบบแอนดรอยด์ และยอมให้นักพัฒนารวมถึงผู้ใช้สามารถปรับแต่งแก้ไขอะไรได้มากๆแบบแอนดรอยด์ก็คงไม่แตกต่างกัน ต่างมุมต่างความคติดครับ ผมยอมรับในเหตุผลของผู้ใช้แต่ละคนที่อาจจะมีเหตุผลไม่เหมือนกันในการใช้โทรศัพท์มือถือให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง
ใช้ note 8 แล้วรู้สึกว่า iphone กลายเป็นมือถือที่ผมลืมไปเลย
ผมยอมรับในความลื่นไหลของ iphone แต่เมื่อได้มาสัมผัสกับ note 8 แล้วที่ลื่นไหลดีกว่า note 10.1 ที่เคยใช้ ก็ต้องขอชมว่า ss ทำการบ้านมาดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียนภาษาไทยที่สามารถเขียนได้ต่อเนื่องและแปลออกมาเป็นตัวพิมพ์ได้เลย แต่จาก note 10.1 ที่ใช้มานั้นไม่ปลื้ม!
ปัจจุบันทำอะไรกับ iphone ผมใช้มันแค่โทรเท่านั้น ผมเล่นอะไรไม่เต็มที่เท่าไหร่กับมันเพราะอาจจะอายุเลข 3 แล้ว มองจอเล็กๆแล้วปวดตาทุกที หลายๆอย่างที่ note 8 ทำได้ดี แต่ iphone กลับทำได้ไม่ถึง อาจจะด้วยการที่เป็นระบบปิดผมไม่อยากอวย iphone มากเกินความจริงนักหากท่านใดที่ยังไม่เคยจับแอนดรอยด์เวอร์ชั่นใหม่ๆบวกกับความสามารถของเครื่องแรงๆอย่าง note 8.0 ก่อนที่จะได้ใช้จริงผมคงมองว่า iphone คงเป็นมือถือที่ดีที่สุด แต่มันก็คงจะจริงแร่ะครับ iphone คือมือถือที่ดีที่สุด (เป็นแค่มือถือสำหรับผม) อะไรที่ note 8 ทำได้เหนือกว่าจนทำให้ผมแทบลืม iphone
1. การนำเข้าพวกไฟล์ภาพ เพลง วีดีโอ ค่อนข้างลำบากต้องผ่าน iTunes และหากจะนำรูปภาพจากคอมพิวเตอร์กลับมาลง iphone ต้อง syn ผ่าน iTunes เท่านั้น ไม่สามารถส่งผ่าน bluetooth หรือก้อปปี้เข้า folder หลักโดยตรงได้ แต่ note 8 เราสามารถโยนไฟล์ต่างๆเข้าออกได้อย่างง่ายดายแต่ด้วยการที่แอนดรอยด์ทำอะไรได้ง่ายๆแบบนี้ก็ต้องระวังไวรัสกันบ้างนะครับ หุๆ
2. ไฟล์รูปภาพที่ syn ผ่านคอมพิวเตอร์เข้ามาสู่ iphone จะไม่สามารถลบได้จากในตัวเครื่องมือถือ ต้องไปลบจากคอมพิวเตอร์แล้ว syn ผ่าน itune อีกครั้งเท่านั้น ถามว่าทำแบบนี้เพื่ออะไร????
3. ไม่สามารถส่งข้อมูลต่างๆผ่านทาง bluetooth ได้นะครับ ถ้าคิดว่าคุณจะซื้อ iphone แล้วมาส่งไฟล์ภาพแชร์กับเพื่อนที่ใช้มือถือแอนดรอยด์ล่ะก็คุณอาจจะต้อง มึนๆ งงๆ ได้ครับว่าเครื่องตัวเองเสียหรือเปล่าทำไมแชร์ไม่ได้ หลังจากที่จับแอนดรอยด์อย่าง note 8 เหมือนตัวเองได้มีชีวิตเหมือนคนอื่นๆอีกครั้งได้แชร์ได้ทำอะไรในโลกเสรีที่คนอื่นเขาทำกันได้ไม่ใช่ปิดตัวเองอยู่แต่ในบ้านของตัวเอง
4. การนำไฟล์ mp3 มาใช้ในการทำเสียงเรียกเข้า ถือว่าเป็นพื้นฐานง่ายๆที่หลายๆคนอยากจะทำกันสำหรับ iphone ต้องทำผ่าน iToos เท่านั้นซึ่งเป็นคนละโปรแกรมกับ iTunes ผู้ใช้ iphone ส่วนใหญ่จึงไม่อยากที่จะศึกษาตรงนี้เพราะกลัวจะวุ่นวายเลยใช้เสียงเรียกเข้าเดิมๆที่ระบบมีไว้ให้ครับทั้งๆที่จริงแล้วก็ไม่ได้ยากอะไรครับ มีคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง เชื่อมต่อผ่านสาย usb เข้าโปแกรม iToos และตัดท่อนฮุกที่ต้องการมันก็จะ syn เข้ามาให้ในเครื่องแล้วครับ
5. โปรแกรมบางตัวใน แอนดรอยด์ (android) ที่คนนิยมกลับไม่มีใน app store อย่างเช่นเกมส์ที่หลายคนนิยมกันตอนนี้อย่าง ingress แถมโปรแกรมบางตัวใน แอนดรอยด์ มีให้เราใช้ฟรีแต่ใน app store กลับต้องเสียเงินซื้อเป็นส่วนใหญ่
6. โปรแกรมหลายตัวใน iphone มีลูกเล่นสู้ฝั่ง แอนดรอยด์ไม่ได้ อาทิเช่น gmail และ line ยกตัวอย่างง่ายๆครับ gmail ใน iphone จะไม่สามารถลบอีเมล์จำนวนมากๆพร้อมกันได้ต้องมานั่งเลือกทีละเมล์ และ line ก็ไม่สามารถที่จะพิมพ์ตอบใน pop up แจ้งเตือนได้ ซึ่งจะตอบได้ก็ต้องเข้าไปในโปรแกรมอีกที นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโปรแกรมเลยครับที่ฝั่งแอนดรอยด์ทำได้ดีกว่าทั้งๆที่เป็นโปรแกรมเดียวกัน
7. การแยกเสียงเตือนของบางโปรแกรม ยังคงตั้งเสียงเตือนของแต่ละโปรแกรมไม่ได้ ซึ่งต่างจากฝั่ง แอนดรอยด์ ที่สามารถแยกเสียงเตือนและตั้งเสียงเตือนที่เราต้องการได้
8. การถ่ายรูปและแชร์ทันทียังมีตัวเลือกไม่มากเท่า แอนดรอยด์ เช่นถ้าคุณต้องการที่จะถ่ายรูปและแชร์เข้า line ทันทีคุณต้องไปเปิดโปรแกรม line ขึ้นมาก่อนและส่งรูปที่คุณถ่ายไว้นั้นไปทีหลัง หรือถ่ายรูปจากโปรแกรม line เท่านั้นจึงจะแชร์ได้แบบทันที จุดนี้ต่างจากฝั่งแอนดรอยด์ที่มีตัวเลือกในการแชร์ที่หลากหลายกว่า
9. ระบบจัดการในส่วนของ contact หรือรายชื่อผู้ติดต่อยังไม่ดีเท่าแอนดรอยด์
10. ลูกเล่นในการถ่ายภาพจากกล้องของ iphone เองลูกเล่นยังน้อยกว่าฝั่งแอนดรอยด์เยอะ ยกเว้นเสียแต่เราไปลงโปรแ
กรมแต่งภาพหรือโปรแกรมถ่ายรูปอย่างเช่น camera 360 แต่ต้องยอมรับว่ากล้องของ iphone ทำออกมาได้กว่าแม้ลูกเล่นจะดูน้อยกว่าแต่ก็กินขาด ด้วยการที่ใช้เลนส์ของ sony นี่เอง
11. การโหลดโปรแกรมใน app store ใช้งานยากกว่าแอนดรอยด์ ที่สำคัญคือมันต้องให้ใส่รหัส apple id ทุกครั้งเมื่อจะโหลดโปรแกรม (ทำไมมันไม่จำบ้างนะ)
12. การจัดการกับโปรแกรมที่ค้างอยู่ น่าจะเป็นเรื่องที่วุ่นวายสำหรับใครหลายๆคนซึ่งต้องมาไล่ปิดทีละโปรแกรมจากการกด home 2 ครั้งเพื่อเรียกดูโปรแกรมที่เปิดอยู่และปิดมันทีละอันๆ ทำไมไม่ทำแบบกดปิดได้ทีเดียวพร้อมกันไปเลยบ้างล่ะ เข้าไปใน app store ก็ยังไม่พบว่าจะมีโปรแกรมช่วยปิดพร้อมๆกันทีเดียว ต่างจากฝั่งแอนดรอยด์ที่มีโปรแกรมในการช่วยจัดการตรงนี้มากมายให้เลือกใช้ ของฝั่ง apple ก็มีนะครับแต่ต้องทำการ Jailbreak เครื่องเสียก่อน แต่ ณ ตอนนี้ ios ที่ผมใช้ยังเป็นเวอร์ชั่นที่ยังไม่สามารถ Jailbreak ได้ครับ การ Jailbreak ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียหาข้อมูลได้จาก google เลยครับสำหรับคนที่สนใจ
13. แป้นพิมพ์ใน iphone ยังไม่สามาถลงแป้นพิมพ์อื่นๆแบบในแอนดรอยด์ได้นะครับ แต่ก็สามารถเลือกได้ว่าจะเอาแป้นพิมพ์กี่แถว ถ้าใครซื้อ iphone มาแล้วหวังจะลงแป้นพิมพ์ที่คุ้นเคยอย่างที่เคยใช้ในแอนดรอยด์ ขอบอกว่าคุณกำลังคิดผิดแล้ว
14. การ backup ทำได้ยากกว่าในแอนดรอยด์ ซึ่งทางแอนดรอยด์ปัจจุบันสามารถที่จะ backup ทั้งรายชื่อติดต่อ โปรแกรมและอื่นๆผ่านทาง gmail ได้แล้วโดยไม่ต้องยุ่งยาก แต่ทาง iphone ยังต้องทำการ backup ผ่านทาง iTunes และ iCloud อยู่ ที่ผ่านมาเราพบอยู่บ่อยๆสำหรับผู้
ใช้ iphone ที่ไม่ชำนาญการใช้เวลาเครื่องมีปัญหาและไม่เคย backup มาก่อนมักจะสูญเสียข้อมูลไปพร้อมเครื่อง เนื่องจากเวลาเคลมเครื่องนั้นทาง apple ไม่ได้กู้คืนข้อมูลให้เราแต่เปลี่ยนเครื่องใหม่มาแทน ลองคิดดูว่าถ้ารูปภาพ รายชื่อผู้ติดต่อจำนวนมากๆ และอะไรต่อมิอะไรที่คุณไม่เคย backup เก็บไว้เลยสูญหายไปคุณจะเครียดแค่ไหน
15. iphone ไม่มีปุ่มปิดโปรแกรมแต่ละโปรแกรมและไม่มีปุ่ม back แน่นอนล่ะถ้าเป็นแบบนี้หลายคนที่ใช้งานเวลาจะออกจากโปรแกรมก็กดแต่ปุ่ม home กันจนบางครั้งลืมเข้าไปกดปิดจนทำให้แบ็ตหมดเร็วซึ่งก็เป็นสาเหตุหลัก
ทั้งหมดทั้งปวงนี้คือรีวิวส่วนตัวล้วนๆครับ ส่วนด้านล่างนี้คือมือถือที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ทั้งหมด iphone 2 เครื่องของแฟน 1 ผม 1 note 8 ตอนแรกซื้อมาเครื่องเดียวแต่ใช้ดีเลยจัดให้แฟนอีก 1 เครื่อง ส่วนอีกเครื่องใหญ่ๆนั้นคือ note 10.1 ที่ผมเคยทำรีวิวใน https://www.youtube.com/watch?v=yYLy5SjOAcM ไว้ไม่รู้จำกันได้ไหม ล่าสุดก็แทบไม่ได้แตะเลยครับเอาไว้ลง emu เล่่นเกมส์ ps / nintendo 64 / md / ff แค่นั้นครับ
สำหรับผมมองว่า iphone มีความลื่นไหล แต่ใช้งานลำบาก ส่วนแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 4.1 ขึ้นไปเมื่อเทียบกันแล้ว แอนดรอยด์ยังต้องอาศัยเครื่องแรงๆในการรันเพื่อให้ระบบมีความสเถียรอยู่ และปรับแต่งมากๆก็มีสิทธิแฮงค์ได้ในบางครั้ง เนื่องจากเป็นแอนดรอยด์นั้นเป็นระบบเปิด ความยืดหยุ่นมีมากกว่าจึงสามารถปรับแต่งอะไรได้หลากหลายกว่าแต่แต่ user ผมยอมรับในเรื่องความไวที่อาจจะน้อยกว่า ios เพียงนิดเดียวแต่แลกกับการที่ได้ทำอะไรได้อย่างเสรีไม่มีขีดจำกัดมากกว่า อิสระภาพน่าจะเป็นพื้นฐานของมนุษย์แทบจะทุกคนอยู่แล้วนะครับ ส่วน ios นั้นถ้าเปิดระบบแบบแอนดรอยด์ และยอมให้นักพัฒนารวมถึงผู้ใช้สามารถปรับแต่งแก้ไขอะไรได้มากๆแบบแอนดรอยด์ก็คงไม่แตกต่างกัน ต่างมุมต่างความคติดครับ ผมยอมรับในเหตุผลของผู้ใช้แต่ละคนที่อาจจะมีเหตุผลไม่เหมือนกันในการใช้โทรศัพท์มือถือให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง