เคียวคมเราถือชู ทำงานอยู่ในทุ่งกว้าง เมื่อไรไร่นาร้าง เราจะเกี่ยวดาวมากิน

กระทู้สนทนา
เคียวคมเราถือชู ทำงานอยู่ในทุ่งกว้าง        เมื่อไรไร่นาร้าง เราจะเกี่ยวดาวมากิน
เคียวบางข้างคมบาด เลือดแดงสาดหยดสู่ดิน    เกี่ยวข้าวให้คนกิน อย่าหมายหมิ่นผู้ถือเคียว
ดาวรายพรายนภา ไม่มีค่าสักดวงเดียว         ตราบใดยังไร้เคียว ที่จะเกี่ยวกลมเกลียวดาว
คมเคียวเกี่ยวคอคน ผู้กดขี่กินแรงคาว           โจษจันกันเกรียวกราว เราเกี่ยวดาวมาไว้ดิน

แด่..... ทุกข์ของแผ่นดิน ฅือ.....ชาวนาไทย

###############################################
แด่..... ทุกข์ของแผ่นดิน   ฅือ.....ชาวนาไทย
ฅนต้นเรื่อง  ; อาจารย์ปราโมทย์ วานิชานนท์
ฅนเล่าเรื่อง   ;  กุลา    กุลี

            คำกล่าวที่ว่า " ทุกข์ของชาวนา  คือ  ทุกข์ของแผ่นดิน " ....และ... " การพัฒนาข้าว และชาวนาต้องเอาชาวนาเป็นศูนย์กลาง "  เป็นคำพูดที่ไพเราะ  และดูหรู  ที่ออกมาจากลมปากของนักการเมือง  และชนชั้นปกครองคนแล้วคนเล่า  ยุคแล้วยุคเล่า  ซึ่งผ่านมาแล้วก็ผ่านไป  เราจึงพบว่าตลอดระยะเวลา ๓๐  ปี  ปัญหาของข้าวและชาวนาไทยยังคงถูกปล่อยปะละเลยให้เป็นไปตามยถากรรม  วนเวียนอยู่ในวงจรเก่า ๆ ที่ถูกนักการเมืองหยิบยกขึ้นมาใช้ประโยชน์ในทางการเมือง  ชั่วครั้งชั่วคราว  โดยไม่ได้มีจิตสำนึกอย่างแท้จริงต่อการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาของชาวนาไทย

            ภาพที่ลวงตาเราอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ก็คือ  ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ ๑  ของโลกมากว่า ๒๐  ปี ด้วยปริมาณสูงสุด ๙.๗ ล้านตัน    ข้าวสาร สามรถนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาถึงปีละ ๑๐๔,๐๐๐  ล้านบาท และ เมื่อรวมกับมูลค่าการค้าข้าวภายในประเทศก็จะมีมูลค่ารวมปีละกว่า ๒๐๐,๐๐๐  ล้านบาท  พร้อมทั้งชื่อเสียงข้าวหอมมะลิของไทยที่มีเอกลักษณ์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เมื่อผู้ที่นำตัวเลขนี้ไปกล่าวอ้างก็ได้รับคำชื่นชมยินดีว่าเป็นผลงาน แต่เบื้องหลังนั้นเกิดจากหยาดเหงื่อและพลัง  ๒  มือของชาวนาไทย ๔.๗  ล้านครอบครัว ที่ได้สร้างคุณูปการทั้งหลายทั้งปวง  

            จนกระทั่งเป็นที่มาของข้าวประเทศไทย  แต่ความจริงที่เจ็บปวดก็คือ ชาวนาไทยกว่าร้อยละ ๙๐ ยังคงด้อยโอกาสและยากจน ด้วยเหตุที่ขาดการพัฒนาอย่างจริงจังจากรัฐบาล

            ดังนั้นในบทสรุป ตลอดระยะเวลากว่า ๑๐  ปี ที่ผ่านมา   กล่าวได้ว่า  ทุกพรรคการเมืองที่มีอยู่ในประเทศไทยขณะนี้   ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ได้มีโอกาสที่จะแก้ไขปัญหาข้าวและชาวนา แต่สิ่งที่นักการเมืองจะทำเหมือนกันหมดก็คือ  ลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อเกษตรกรชาวนาเมื่อตอนหาเสียง  การช่วยเหลือชาวนาก็มีเพียงมาตรการในการจำนำข้าว  เพื่อให้ชาวนาพึงพอใจในราคาข้าวเปลือก  แต่ไม่เคยมีนโยบายที่จะพัฒนาชาวนาและข้าวของประเทศอย่างเป็นระบบ  เพื่อให้ชาวนามีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน  รวมทั้งพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวของประเทศให้มีศักยภาพในการแข่งขัน

            เราพบเหตุผลว่า ทำไมนักการเมืองจึงชอบให้มีโครงการจำนำและแทรกแซงของรัฐบาล ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า   แต่ก็ทำต่อเนื่องกันมาทุกปีและทุกรัฐบาล คำตอบก็คือ  จะใช้เป็นข้ออ้างต่อสาธารณชนว่ารัฐบาลได้ช่วยชาวนาแล้ว  แต่ภายใต้โครงการจำนำข้าวกลับเต็มไปด้วยวงจรอุบาทว์ของการทุจริตและคอรัปชั่นอย่างเป็นขบวนการ และในการขายข้าวในโกดังของรัฐบาลก็จะมีข่าวคาวของรัฐมนตรี ๒ เหรียญ,๕ เหรียญ รวมทั้งการขายข้าวที่นำทรัพย์สินของหลวงไปเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทพวกพ้อง  จนเป็นที่อื้อฉาวในหน้าหนังสือพิมพ์และเป็นประเด็นในการอภิปรายในสภา  ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
             ดังนั้น  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่โครงการจำนำข้าวนับจากปี ๒๕๔๒ – ๒๕๔๖ ที่ผ่านมา รัฐจะขาดทุนสะสมกว่า ๑๗,๐๐๐  ล้านบาท และยังจะต้องขาดทุนอีกต่อไป  ตราบใดที่ยังมองเรื่องข้าวว่าเป็นแหล่งที่จะมาแสวงหาประโยชน์ได้ง่าย ๆ  โดยใช้การช่วยเหลือชาวนามาเป็นข้ออ้างบังหน้า

            การที่ประเทศชาติต้องเสียเงินนับหมื่นล้าน โดยที่ชาวนาไม่ได้รับการพัฒนา จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง และแต่ละปีที่ผ่านไปเราก็สูญเสียโอกาสในการพัฒนา เราพบความจริงเพิ่มขึ้นว่า ทุกวันนี้ชาวนาโดยเฉพาะชาวนาที่ทำนาปรัง (ทำนาปีละ ๒ – ๓  ครั้ง) เกิดโรคเสพติดกับโครงการจำนำ  มุ่งแต่ปลูกข้าวโดยเอาปริมาณไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพของข้าว  ต้นทุนการปลูกข้าวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
            เราพบต่อไปว่า  ชาวนาภาคอีสานที่ทำนาปี    ปลูกข้าวหอมมะลิ แม้รัฐบาลจะเพิ่มราคาข้าวในโครงการจำนำให้ชาวนาถึงตันละ ๑๐,๐๐๐  บาท  ในช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ( เมื่อวันที ๖ มกราคม ๒๕๔๘  )
             เมื่อคำนวณเป็นรายได้ของครอบครัวแล้ว  จะมีรายได้สุทธิเพียงเดือนละ ๑,๒๐๐  บาท ต่อครอบครัว (๔ คน )  ต่อเดือนเท่านั้น   ยังต่ำกว่าเส้นความยากจนของคนไทยที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประกาศ อยู่ที่   ๑,๖๗๔ บาท  ต่อคน ต่อเดือน

            ดังนั้น    การที่รัฐบาลมีแนวคิดว่าได้ช่วยเหลือชาวนาด้วยการซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิในราคาตันละ ๑๐,๐๐๐ บาท  ก็น่าจะหมดภาระรัฐบาลแล้วนั้น  ตัวเลขรายได้ของครอบครัวชาวนาภาคอีสานก็จะเป็นภาพที่ฟ้องว่า ทุกข์ของชาวนายังคงเป็นทุกข์ของแผ่นดินต่อไป  อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

            วันนี้  แนวรบของชาวนาต้องเปลี่ยนแปลง  เหตุเพราะเราไม่มีการพัฒนาอย่างมียุทธศาสตร์มากว่า ๑๐  ปีแล้ว    ทำให้อุตสาหกรรมข้าวของประเทศอ่อนแอลงทุกวัน   ชาวนาเองก็ไม่มีโอกาสพัฒนาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง   
            องค์กรชาวนาไม่ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนให้สามารถเป็นองค์กรที่เป็นที่พึ่งของชาวนาทั่วประเทศได้   ภาพโดยรวมของชาวนาก็อ่อนแอ   การกำหนดยุทธศาสตร์ข้าวแห่งชาติ  ประการหนึ่ง การกล่าวว่า จะต้องให้ชาวนาเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาอีกประการหนึ่ง  ก็จะกลายเป็นเรื่องของแนวคิดเชิงระบบอุปถัมภ์ และเชิงประชาสงเคราะห์แบบเดิม ๆ ที่รัฐคอยคิดแทน ทำแทนประชาชนอยู่ตลอดเวลา

            ดังนั้น  เพื่อไม่ให้เกิดข้อตำหนิดังกล่าว  การเปิดโอกาสให้ชาวนาได้มีส่วนร่วมในการกำหนดยุทธศาสตร์ข้าว  และการกำหนดวิถีชีวิตของชาวนาด้วยตนเอง   ทำให้ชาวนาได้มีส่วนร่วมคิดร่วมทำ อันเป็นการสร้างชาวนาให้เข้มแข็ง เพื่อที่ชาวนาจะได้ยืนด้วยลำแข้งของตนเอง ไม่ตกเป็นเหยื่อของกระแสทุนนิยม และการบริโภคนิยม และด้วยทิศทางของการพัฒนาที่ถูกต้องนี้ จึงจะนับเป็นชัยชนะของชาวนา  และชัยชนะของประเทศชาติอย่างแท้จริง.


หมายเหตุฅนเล่าเรื่อง

“ โปรดอ่านอีกครั้งหนึ่ง  ”
ฅนอ้างอิง-ฅนบันดาลใจ

      * สื่อสารบัญ   ไฟลามทุ่ง  ฉบับเมื่อ  วันอาทิตย์ ๑๒ พฤศจิกายน  ๒๕๔๘                
      * อาจารย์ปราโมทย์ วานิชานนท์   ที่ปรึกษาสมาคมชาวนาไทย   
##################################
ขอขอบคุณ
   http://www.oknation.net/blog/print.php?id=48032
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่