ยาวหน่อยนะคะ ^_^
เป็นประเด็นข้อสงสัยที่ค้างคาใจมาตลอดเกือบ 28 ปี ขอเกริ่นนำด้วยชีวประวัติพอสังเขปก่อนเลยนะคะ
ขณะนี้ดิฉันเป็นนักศึกษาปริญญาเอก(ใกล้จบแล้ว) ได้รับทุนการศึกษาหนึ่งที่มีเกียรติ เป็นศักดิ์ศรีแก่วงษ์ตระกูล
ดิฉันเป็นเด็กนักเรียนที่เรียนดีมาโดยตลอด และรักในการเรียน ทางครอบครัวก็สนับสนุนในด้านการศึกษาทุกๆ ด้านมาโดยตลอด ถึงแม้ทางด้านวิชาการจะไม่เป็นรองใคร แต่ทางด้านการดำเนินชีวิตอาจจะยังไม่มีประสบการณ์มากนัก
สำหรับประเด็นที่สงสัยนี้ ได้คบคิดในใจคนเดียวมาสักระยะหนึ่งแล้ว
ประกอบกับได้พูดคุยและค้นหาทางอินเตอร์เน็ตในเวลาว่างๆ ระหว่างเรียน ซี่งได้ศึกษาวิจัยเรื่องราวชีวิตไปด้วยในตัว
แต่อาจจะไม่มากเต็มร้อยเหมือนหลายๆ ท่าน เนื่องด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง
โดยส่วนตัวดิฉันมีความคิดว่าการมีคู่ต้องมีในเวลาที่เหมาะสม (แต่ก็ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าเมื่อไหร่จะเหมาะสม)
ในช่วงชีวิตวัยรุ่นของดิฉัน 15-18 ปี ไม่เคยได้คบหาใครเป็นคนรู้ใจที่แน่นอน เพียงเป็นเพื่อนพูดคุยคลาดเหงาทางโทรศัพท์บ้าง
ทางออนไลน์บ้างและอีกอย่าง ทางผู้ปกครองก็ปลูกฝังว่า เรายังเด็กต้องมีหน้าที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้สูงๆ และทางผู้ปกครองก็มักจะยกตัวอย่างที่ไม่ดีของคนรู้จักหรือเพื่อนบ้านที่ไม่ดีไม่รักเรียนแล้วชีวิตจะย่ำแย่อย่างไร และยังยกตัวอย่างชีวิตที่ดีสำหรับคนที่ประพฤติดีมีหน้าที่การงานการศึกษาที่ดีให้เราเห็นเป็นตัวอย่างได้ชัดเจน จึงทำให้ดิฉันรักดีมาจนถึงวันนี้ ซึ่งดิฉันก็คิดว่าเป็นผลดี
แต่พอเริ่มโตขึ้น 19-24 ปี ได้พบเจอผู้คนมากมายขึ้นทั้งที่มีคู่ (แฟน) และไร้คู่
ได้สังเกตพวกเขาเหล่านั้นมีทั้งสุขและทุกข์ บางคู่ก็ได้ครองรักกันไปจนแต่งงานมีครอบครัว
บางคู่ต้องมีเหตุเลิกรากันไป ในช่วง 19-22 ปี ของดิฉันได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับคนที่เกือบจะมาเป็นคนรู้ใจ
แต่ดิฉันก็ยังเว้นระยะไม่ทุ่มสุดใจและสุดตัวเพื่อความรักในแต่ละครั้ง เนื่องด้วยหน้าที่หลักของดิฉันคือศึกษาเล่าเรียน
สำหรับในบางท่านอาจจะสามารถทำสองอย่างไปพร้อมๆ กันด้วยดีแต่ดิฉันไม่มีความสามารถขั้นสูงได้ขนาดนั้น
นับตั้งแต่ความรักในช่วง 19-22 ปีของดิฉันไม่ได้จริงจังมากมายนักแต่ก็มีความรู้สึกดีๆ
ให้กับเขาเหล่านั้นมาโดยตลอดจนต้องแยกย้ายห่างไกลกันไปในช่วง 19-22 ปีของดิฉันได้พบเจอคนเกือบรู้ใจ 3 คน
ตั้งแต่คนที่ 1-3 ก็เริ่มจริงจังในความรักมากขึ้น จนต้องผิดหวัง แต่ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกผิดหวังใดๆ แล้ว
จนเว้นว่างชีวิตจากคำว่าคู่มาได้ 3 ปี เพื่อทุ่มเทให้กับการเรียนปริญญาโท ช่วงนั้นก็มีหลายคนเคยจะเข้ามาพยายามเป็นมากกว่าเพื่อน
แต่ดิฉันบอกตรงๆ ไปเลยว่าตอนนี้ยังไม่อยากมีคนรู้ใจอยากตั้งใจศึกษาเล่าเรียนก่อนเลยเป็นเพื่อนด้วยดีกันดีกว่า
และอีกอย่างหนึ่งดิฉันยังไม่เจอคนที่ดิฉันสนใจ อาจเนื่องด้วยดิฉันไม่ได้มีโอกาสได้พบเจอหรือรู้จักใครๆ มากนัก
ซึ่งในใจดิฉันก็คิดว่าชีวิตนี้คงไม่ต้องมีใครแล้ว ดิฉันก็ไม่มีความเดือดร้อนอะไร
จนเมื่อปลายปี 2554 ดิฉันได้มีโอกาสไปทำวิจัยระยะสั้นที่ประเทศอังกฤษได้รู้จักกับนักศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยนั้น
ซึ่งเขามาจากประเทศชิลี ตอนเริ่มแรกที่รู้จักเพียงแค่พูดทักทายกันทั่วไปตอนเดินสวนกันไม่เคยได้คุยกันสักที
พอหลังจากนั้น 1 เดือน เขาก็เริ่มมาพูดคุยกับเรา หลังจากนั้นเราก็เริ่มสนิทกัน ปรึกษางานวิจัยและเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน
จนเริ่มจริงจังกลายเป็นความรักความห่วงใย เราได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของกันและกัน
ซึ่งเรื่องราวของเราเป็นแบบธรรมดามากไม่มีอะไรที่ดูน่าสนใจ แต่เรื่องราวของเขาช่างต่างกับของเราในเรื่องของการมีเป้าหมายของการมีคู่ เขาเคยมีคนรู้กายและรู้ใจมา 4 คนก่อนจะรู้จักเรา เริ่มเรื่องเขาเล่าว่า เขาเคยเริ่มมีแฟนตั้งแต่อายุ 23 ปี
แล้วเขาก็จริงจังกับความรักครั้งนั้นตั้งแต่เริ่มรัก จนต้องผิดหวังเพราะทางฝ่ายหญิงต้องเดินทางไปอีกที่หนึ่ง
และได้พบเจอคนอื่นจนต้องเลิกรากันไป ส่วนครั้งสองได้พบรักเมื่อครั้งยังเรียนในมหาวิทยาลัยที่ประเทศชิลีตอนอายุ 25 ปี
กับนักศึกษาต่างคณะ แต่แล้วก็ไปไม่รอดต้องเลิกรากันไป จากนั้นก็เริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับอีกคนพบกันในชมรมเต้น
และได้สานสัมพันธ์อย่างจริงจังจนเกือบจะมีอนาคตร่วมกันมาได้ 2 ปีจนต้องเลิกรากัน
เพราะฝ่ายหญิงไม่อยากให้ไปเรียนต่อที่อังกฤษ ฝ่ายหญิงอยากมีครอบครัวแต่ฝ่ายชายนึกถึงโอกาส
และการศึกษาสำคัญกว่าเลยเกิดความไม่เข้าใจกันจนเลิกรากันไปในที่สุด
พอเขามาอยู่ที่อังกฤษได้เดือนหนึ่งก็พบรักกับผู้หญิงจากประเทศชิลีมาเรียนโทระยะสั้นเพียง 1 ปี
ในมหาวิทยาลัยเดียวกันจนคบหาและย้ายมาอยู่บ้านเช่าหลังเดียวกันได้ 4 เดือน
จนแฟนเก่าจากชิลีของฝ่ายหญิงตามมาง้อขอคืนดีถึงอังกฤษ และเนื่องด้วยฝ่ายหญิงก็อายุมากพอจะสร้างครอบครัวแล้ว (30 ปี)
เลยตกลงกลับไปคืนดีกับแฟนเก่า จนเขาก็ต้องผิดหวังกับความรักเป็นครั้งที่ 4 จนมาเจอดิฉัน
ในตอนแรกพบกับดิฉันเขามีความคิดอยากจะทำความรู้จักด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดไกลกันไปกว่าเป็นเพื่อนกัน
แต่ด้วยความเหงาและอะไรหลายๆ อย่างจนเราได้คบกันเป็นแฟน แต่ดิฉันก็มีการตกลงกันก่อนว่าถ้าจะคบกันทำอย่างโน้น
อย่างนี้ให้ได้มั้ย หลักๆ แล้วคือ ดิฉันไม่อยากไปอาศัยที่ต่างประเทศเป็นห่วงครอบครัว
ก็อยากให้เขามาอยู่ที่ไทยมากกว่า เขาก็หนักแน่นรับปากว่าทำได้ทุกอย่างตามที่เราตกลงกัน
มีวางแผนอนาคตด้วยว่าจะทำอะไรอย่างไรตอนไหน เราก็ช่วยๆ กันคิดเป็นลำดับๆ ไป ตอนนี้เขาอายุ 32 ปีแล้ว
ตอนที่ดิฉันได้ใกล้ชิดกับเขา เขาก็เป็นคนร่าเริง เงียบๆ เป็นบางครั้ง ดูเหมือนมีเรื่องเศร้าใจ
แต่ดิฉันก็พยายามดึงอารมณ์เขาให้เขายิ้มร่าเริง เราได้คบกันได้ 5 เดือน
ดิฉันก็ต้องกลับมาเรียนต่อที่ไทยแต่เราก็ยังพูดคุยทางออนไลน์และโทรศัพท์กันทุกวันเพื่อถามทุกข์
สุขว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง ต้องการความช่วยเหลือใดๆ มั้ย ในปีนี้เขาก็เดินทางมาพบดิฉันด้วยความคิดถึงเมื่อตอนเดือนเมษายน
ทำให้รำลึกความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันเหมือนตอนที่เราได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง เขามาอยู่ได้แค่ 2 อาทิตย์
เพราะด้วยงานของเขาและดิฉันไม่เอื้ออำนวย เขาก็เป็นคนรู้ใจที่ดีคนหนึ่งเท่าที่ดิฉันเคยมีมา
เพราะเขาเป็นคนจริงจังในความรักและการมีคู่มาก
ด้วยความห่างไกลที่ไม่ได้ใกล้ชิดกัน ทำให้ฉันคิดทบทวนเรื่องเราของเราและเขาเปรียบเทียบกัน
จนมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ดิฉันคิดแล้วเริ่มมีความเศร้าใจและน้อยใจในโชคชะตา (ไม่แน่ใจว่าอารมณ์อะไร)
นั่นคือ เขาเป็นคนที่ผ่านการมีคู่ที่จริงจังแล้วในหลายๆ ครั้ง ส่วนดิฉันยังไม่เคยคิดจริงจังอะไรแบบนั้นเลยสักครั้ง
ทำไมเราจะต้องมาพบเจอกับคนแบบนี้ด้วย ทำไมดิฉันต้องมาอยู่ในวงจรความรักของเขาด้วย (แต่เพื่อทำให้รู้สึกดีขึ้น
ดิฉันคิดซะว่าเป็นโชคชะตาหรือกรรมเก่าที่เคยทำให้ใครทุกข์ใจแบบนี้ไว้ในชาติก่อน จนเราต้องมีความทุกข์บ้างในขณะนี้)
ซึ่งอารมณ์นี้ก็เคยตัดพ้อเขาไปแล้ว (ซึ่งไม่ดีเลย เศร้าทั้งสองฝ่าย) แต่เขายืนกรานว่าต้องการเรา
อยากมีเราเป็นคู่ชีวิต เพราะเห็นว่าเราเป็นคนดี เป็นคนพิเศษในชีวิตเขา แล้วเขาพร้อมจะทำทุกอย่างที่เราต้องการเพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน
แต่เรื่องเดียวที่เขาทำไม่ได้คือ ย้อนกลับไปเปลี่ยนเรื่องราวในอดีต
และด้วยอารมณ์สงสารประกอบกับความรักก็เลยยังได้คบกันแบบทางไกลอยู่
หากดิฉันตัดเรื่องราวในอดีตของเขาไป (ซึ่งตอนนี้ก็พยายามอยู่แต่ยังไม่ได้ 100% ที่จะลืม)
จะพบว่าสิ่งที่เขาทำให้เรามันมีแต่สิ่งดีๆ แต่อีกใจหนึ่งกลับคิดว่าหากดิฉันไม่มีคู่ดิฉันก็สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุข
ไม่มีปัญหากวนใจเกี่ยวกับความระหองระแหงน้อยใจอย่างคู่รักเป็นกัน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วดิฉันจะขี้น้อยใจ
ต้องการความสนใจเป็นอย่างมาก เราก็เลยมีปัญหาแบบนี้บ่อย แต่เขาก็ง้อเราทุกครั้ง
แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะตามง้อดิฉันทุกครั้งไปหรือไม่
จากทั้งหมดนี้อยากรบกวนสมาชิกเพื่อนๆ พี่ๆ pantip ให้คำแนะนำปรึกษาว่า ดิฉันควรจะมีคู่หรือไม่มีคู่ หรือควรไม่ควรดำเนินความรักครั้งนี้ต่อไปหรือไม่ หรือการมีคู่และไม่มีคู่สุขทุกข์อย่างไร อยากดูมุมมองจากหลายๆ ท่านเพื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตบ้างค่ะ ในหลายครั้งๆ เคยแต่เข้ามาอ่านเรื่องราวของคนอื่น และพบคำแนะนำดีๆ จากสมาชิก pantip มากมาย ในครั้งนี้จึงขอรบกวนปรึกษาบ้างนะคะ อยากรู้จากผู้มีประสบการณ์บ้างว่ามีความเห็นอย่างไร
ขอบคุณที่จักแนะนำนะคะ
มีคู่กับไร้คู่สุขหรือทุกข์เป็นอย่างไรกันบ้างคะ
เป็นประเด็นข้อสงสัยที่ค้างคาใจมาตลอดเกือบ 28 ปี ขอเกริ่นนำด้วยชีวประวัติพอสังเขปก่อนเลยนะคะ
ขณะนี้ดิฉันเป็นนักศึกษาปริญญาเอก(ใกล้จบแล้ว) ได้รับทุนการศึกษาหนึ่งที่มีเกียรติ เป็นศักดิ์ศรีแก่วงษ์ตระกูล
ดิฉันเป็นเด็กนักเรียนที่เรียนดีมาโดยตลอด และรักในการเรียน ทางครอบครัวก็สนับสนุนในด้านการศึกษาทุกๆ ด้านมาโดยตลอด ถึงแม้ทางด้านวิชาการจะไม่เป็นรองใคร แต่ทางด้านการดำเนินชีวิตอาจจะยังไม่มีประสบการณ์มากนัก
สำหรับประเด็นที่สงสัยนี้ ได้คบคิดในใจคนเดียวมาสักระยะหนึ่งแล้ว
ประกอบกับได้พูดคุยและค้นหาทางอินเตอร์เน็ตในเวลาว่างๆ ระหว่างเรียน ซี่งได้ศึกษาวิจัยเรื่องราวชีวิตไปด้วยในตัว
แต่อาจจะไม่มากเต็มร้อยเหมือนหลายๆ ท่าน เนื่องด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง
โดยส่วนตัวดิฉันมีความคิดว่าการมีคู่ต้องมีในเวลาที่เหมาะสม (แต่ก็ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าเมื่อไหร่จะเหมาะสม)
ในช่วงชีวิตวัยรุ่นของดิฉัน 15-18 ปี ไม่เคยได้คบหาใครเป็นคนรู้ใจที่แน่นอน เพียงเป็นเพื่อนพูดคุยคลาดเหงาทางโทรศัพท์บ้าง
ทางออนไลน์บ้างและอีกอย่าง ทางผู้ปกครองก็ปลูกฝังว่า เรายังเด็กต้องมีหน้าที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้สูงๆ และทางผู้ปกครองก็มักจะยกตัวอย่างที่ไม่ดีของคนรู้จักหรือเพื่อนบ้านที่ไม่ดีไม่รักเรียนแล้วชีวิตจะย่ำแย่อย่างไร และยังยกตัวอย่างชีวิตที่ดีสำหรับคนที่ประพฤติดีมีหน้าที่การงานการศึกษาที่ดีให้เราเห็นเป็นตัวอย่างได้ชัดเจน จึงทำให้ดิฉันรักดีมาจนถึงวันนี้ ซึ่งดิฉันก็คิดว่าเป็นผลดี
แต่พอเริ่มโตขึ้น 19-24 ปี ได้พบเจอผู้คนมากมายขึ้นทั้งที่มีคู่ (แฟน) และไร้คู่
ได้สังเกตพวกเขาเหล่านั้นมีทั้งสุขและทุกข์ บางคู่ก็ได้ครองรักกันไปจนแต่งงานมีครอบครัว
บางคู่ต้องมีเหตุเลิกรากันไป ในช่วง 19-22 ปี ของดิฉันได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับคนที่เกือบจะมาเป็นคนรู้ใจ
แต่ดิฉันก็ยังเว้นระยะไม่ทุ่มสุดใจและสุดตัวเพื่อความรักในแต่ละครั้ง เนื่องด้วยหน้าที่หลักของดิฉันคือศึกษาเล่าเรียน
สำหรับในบางท่านอาจจะสามารถทำสองอย่างไปพร้อมๆ กันด้วยดีแต่ดิฉันไม่มีความสามารถขั้นสูงได้ขนาดนั้น
นับตั้งแต่ความรักในช่วง 19-22 ปีของดิฉันไม่ได้จริงจังมากมายนักแต่ก็มีความรู้สึกดีๆ
ให้กับเขาเหล่านั้นมาโดยตลอดจนต้องแยกย้ายห่างไกลกันไปในช่วง 19-22 ปีของดิฉันได้พบเจอคนเกือบรู้ใจ 3 คน
ตั้งแต่คนที่ 1-3 ก็เริ่มจริงจังในความรักมากขึ้น จนต้องผิดหวัง แต่ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกผิดหวังใดๆ แล้ว
จนเว้นว่างชีวิตจากคำว่าคู่มาได้ 3 ปี เพื่อทุ่มเทให้กับการเรียนปริญญาโท ช่วงนั้นก็มีหลายคนเคยจะเข้ามาพยายามเป็นมากกว่าเพื่อน
แต่ดิฉันบอกตรงๆ ไปเลยว่าตอนนี้ยังไม่อยากมีคนรู้ใจอยากตั้งใจศึกษาเล่าเรียนก่อนเลยเป็นเพื่อนด้วยดีกันดีกว่า
และอีกอย่างหนึ่งดิฉันยังไม่เจอคนที่ดิฉันสนใจ อาจเนื่องด้วยดิฉันไม่ได้มีโอกาสได้พบเจอหรือรู้จักใครๆ มากนัก
ซึ่งในใจดิฉันก็คิดว่าชีวิตนี้คงไม่ต้องมีใครแล้ว ดิฉันก็ไม่มีความเดือดร้อนอะไร
จนเมื่อปลายปี 2554 ดิฉันได้มีโอกาสไปทำวิจัยระยะสั้นที่ประเทศอังกฤษได้รู้จักกับนักศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยนั้น
ซึ่งเขามาจากประเทศชิลี ตอนเริ่มแรกที่รู้จักเพียงแค่พูดทักทายกันทั่วไปตอนเดินสวนกันไม่เคยได้คุยกันสักที
พอหลังจากนั้น 1 เดือน เขาก็เริ่มมาพูดคุยกับเรา หลังจากนั้นเราก็เริ่มสนิทกัน ปรึกษางานวิจัยและเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน
จนเริ่มจริงจังกลายเป็นความรักความห่วงใย เราได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของกันและกัน
ซึ่งเรื่องราวของเราเป็นแบบธรรมดามากไม่มีอะไรที่ดูน่าสนใจ แต่เรื่องราวของเขาช่างต่างกับของเราในเรื่องของการมีเป้าหมายของการมีคู่ เขาเคยมีคนรู้กายและรู้ใจมา 4 คนก่อนจะรู้จักเรา เริ่มเรื่องเขาเล่าว่า เขาเคยเริ่มมีแฟนตั้งแต่อายุ 23 ปี
แล้วเขาก็จริงจังกับความรักครั้งนั้นตั้งแต่เริ่มรัก จนต้องผิดหวังเพราะทางฝ่ายหญิงต้องเดินทางไปอีกที่หนึ่ง
และได้พบเจอคนอื่นจนต้องเลิกรากันไป ส่วนครั้งสองได้พบรักเมื่อครั้งยังเรียนในมหาวิทยาลัยที่ประเทศชิลีตอนอายุ 25 ปี
กับนักศึกษาต่างคณะ แต่แล้วก็ไปไม่รอดต้องเลิกรากันไป จากนั้นก็เริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับอีกคนพบกันในชมรมเต้น
และได้สานสัมพันธ์อย่างจริงจังจนเกือบจะมีอนาคตร่วมกันมาได้ 2 ปีจนต้องเลิกรากัน
เพราะฝ่ายหญิงไม่อยากให้ไปเรียนต่อที่อังกฤษ ฝ่ายหญิงอยากมีครอบครัวแต่ฝ่ายชายนึกถึงโอกาส
และการศึกษาสำคัญกว่าเลยเกิดความไม่เข้าใจกันจนเลิกรากันไปในที่สุด
พอเขามาอยู่ที่อังกฤษได้เดือนหนึ่งก็พบรักกับผู้หญิงจากประเทศชิลีมาเรียนโทระยะสั้นเพียง 1 ปี
ในมหาวิทยาลัยเดียวกันจนคบหาและย้ายมาอยู่บ้านเช่าหลังเดียวกันได้ 4 เดือน
จนแฟนเก่าจากชิลีของฝ่ายหญิงตามมาง้อขอคืนดีถึงอังกฤษ และเนื่องด้วยฝ่ายหญิงก็อายุมากพอจะสร้างครอบครัวแล้ว (30 ปี)
เลยตกลงกลับไปคืนดีกับแฟนเก่า จนเขาก็ต้องผิดหวังกับความรักเป็นครั้งที่ 4 จนมาเจอดิฉัน
ในตอนแรกพบกับดิฉันเขามีความคิดอยากจะทำความรู้จักด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดไกลกันไปกว่าเป็นเพื่อนกัน
แต่ด้วยความเหงาและอะไรหลายๆ อย่างจนเราได้คบกันเป็นแฟน แต่ดิฉันก็มีการตกลงกันก่อนว่าถ้าจะคบกันทำอย่างโน้น
อย่างนี้ให้ได้มั้ย หลักๆ แล้วคือ ดิฉันไม่อยากไปอาศัยที่ต่างประเทศเป็นห่วงครอบครัว
ก็อยากให้เขามาอยู่ที่ไทยมากกว่า เขาก็หนักแน่นรับปากว่าทำได้ทุกอย่างตามที่เราตกลงกัน
มีวางแผนอนาคตด้วยว่าจะทำอะไรอย่างไรตอนไหน เราก็ช่วยๆ กันคิดเป็นลำดับๆ ไป ตอนนี้เขาอายุ 32 ปีแล้ว
ตอนที่ดิฉันได้ใกล้ชิดกับเขา เขาก็เป็นคนร่าเริง เงียบๆ เป็นบางครั้ง ดูเหมือนมีเรื่องเศร้าใจ
แต่ดิฉันก็พยายามดึงอารมณ์เขาให้เขายิ้มร่าเริง เราได้คบกันได้ 5 เดือน
ดิฉันก็ต้องกลับมาเรียนต่อที่ไทยแต่เราก็ยังพูดคุยทางออนไลน์และโทรศัพท์กันทุกวันเพื่อถามทุกข์
สุขว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง ต้องการความช่วยเหลือใดๆ มั้ย ในปีนี้เขาก็เดินทางมาพบดิฉันด้วยความคิดถึงเมื่อตอนเดือนเมษายน
ทำให้รำลึกความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันเหมือนตอนที่เราได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง เขามาอยู่ได้แค่ 2 อาทิตย์
เพราะด้วยงานของเขาและดิฉันไม่เอื้ออำนวย เขาก็เป็นคนรู้ใจที่ดีคนหนึ่งเท่าที่ดิฉันเคยมีมา
เพราะเขาเป็นคนจริงจังในความรักและการมีคู่มาก
ด้วยความห่างไกลที่ไม่ได้ใกล้ชิดกัน ทำให้ฉันคิดทบทวนเรื่องเราของเราและเขาเปรียบเทียบกัน
จนมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ดิฉันคิดแล้วเริ่มมีความเศร้าใจและน้อยใจในโชคชะตา (ไม่แน่ใจว่าอารมณ์อะไร)
นั่นคือ เขาเป็นคนที่ผ่านการมีคู่ที่จริงจังแล้วในหลายๆ ครั้ง ส่วนดิฉันยังไม่เคยคิดจริงจังอะไรแบบนั้นเลยสักครั้ง
ทำไมเราจะต้องมาพบเจอกับคนแบบนี้ด้วย ทำไมดิฉันต้องมาอยู่ในวงจรความรักของเขาด้วย (แต่เพื่อทำให้รู้สึกดีขึ้น
ดิฉันคิดซะว่าเป็นโชคชะตาหรือกรรมเก่าที่เคยทำให้ใครทุกข์ใจแบบนี้ไว้ในชาติก่อน จนเราต้องมีความทุกข์บ้างในขณะนี้)
ซึ่งอารมณ์นี้ก็เคยตัดพ้อเขาไปแล้ว (ซึ่งไม่ดีเลย เศร้าทั้งสองฝ่าย) แต่เขายืนกรานว่าต้องการเรา
อยากมีเราเป็นคู่ชีวิต เพราะเห็นว่าเราเป็นคนดี เป็นคนพิเศษในชีวิตเขา แล้วเขาพร้อมจะทำทุกอย่างที่เราต้องการเพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน
แต่เรื่องเดียวที่เขาทำไม่ได้คือ ย้อนกลับไปเปลี่ยนเรื่องราวในอดีต
และด้วยอารมณ์สงสารประกอบกับความรักก็เลยยังได้คบกันแบบทางไกลอยู่
หากดิฉันตัดเรื่องราวในอดีตของเขาไป (ซึ่งตอนนี้ก็พยายามอยู่แต่ยังไม่ได้ 100% ที่จะลืม)
จะพบว่าสิ่งที่เขาทำให้เรามันมีแต่สิ่งดีๆ แต่อีกใจหนึ่งกลับคิดว่าหากดิฉันไม่มีคู่ดิฉันก็สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุข
ไม่มีปัญหากวนใจเกี่ยวกับความระหองระแหงน้อยใจอย่างคู่รักเป็นกัน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วดิฉันจะขี้น้อยใจ
ต้องการความสนใจเป็นอย่างมาก เราก็เลยมีปัญหาแบบนี้บ่อย แต่เขาก็ง้อเราทุกครั้ง
แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะตามง้อดิฉันทุกครั้งไปหรือไม่
จากทั้งหมดนี้อยากรบกวนสมาชิกเพื่อนๆ พี่ๆ pantip ให้คำแนะนำปรึกษาว่า ดิฉันควรจะมีคู่หรือไม่มีคู่ หรือควรไม่ควรดำเนินความรักครั้งนี้ต่อไปหรือไม่ หรือการมีคู่และไม่มีคู่สุขทุกข์อย่างไร อยากดูมุมมองจากหลายๆ ท่านเพื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตบ้างค่ะ ในหลายครั้งๆ เคยแต่เข้ามาอ่านเรื่องราวของคนอื่น และพบคำแนะนำดีๆ จากสมาชิก pantip มากมาย ในครั้งนี้จึงขอรบกวนปรึกษาบ้างนะคะ อยากรู้จากผู้มีประสบการณ์บ้างว่ามีความเห็นอย่างไร
ขอบคุณที่จักแนะนำนะคะ