เยือนเมืองมัณฑะเลย์ ยลสเน่ห์เจดีย์พุกาม ตอนที่ 2 (วันที่ 2 และ 3 ของการเดินทาง)

เยือนเมืองมัณฑะเลย์ ยลสเน่ห์เจดีย์พุกาม ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/30567969

วันที่ 2 (28 พ.ค. 56) มัณฑะเลย์-อมรปุระ-สะกาย-มิงกุน-อังวะ-พุกามพระอาทิตย์

           การเดินทางเช้าวันใหม่ของเราเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้ามืดๆเลย   รถtaxi มารอรับหน้าโรงแรมตั้งแต่ตี4 ตามที่ตกลงไว้พอดิบพอดีเลย ระหว่างทางที่นั่งรถไปเกิดการเจรจาธุรกิจระดับประเทศขึ้นภายในรถเลยทีเดียว และเราก็เกิดแผนการเดินทางใหม่ขึ้นมา จากวันนี้ที่วางแผนจะเดินทางไปมิงกุน  ตอน9โมงเช้าทางเรือ คนขับ taxi วันนี้ของเราก็เสนอให้ไปมิงกุนโดยทางรถ พร้อมกับจะได้เที่ยวเมืองสะกาย อังวะ และอมรปุระไปด้วยก็ได้  คนไทยในรถพร้อมกันงงเป็นไก่ตาแตก  ถามย้ำอีกครั้งกลัวเข้าใจผิดจากการสื่อสารผ่านภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่เรา แล้วเค้าก็ยืนยันอีกครั้งว่าไปได้แน่นอน เอาล่ะว่ะ จะถูกพม่าหลอกรึป่าวเนี่ย มันมีเส้นทางเที่ยวอย่างนี่ด้วยเหรอ ข้อมูลที่หามาไม่เคยเห็นพูดถึง แต่เป็นไงเป็นกัน ในเมื่อเค้าพูดมาขนาดนี้มันต้องไปได้แน่ๆ (เชื่อใจคนพม่า)จบการเจรจาธุรกิจด้วยการตกลงว่าให้เค้าพาเที่ยวทางรถไป ถึงมิงกุน  และวนกลับมาส่งสนามบิน เพื่อไปพุกามต่อ เวลาประมาณบ่ายสามครึ่ง รวมที่พามาล้างหน้าพระตอนเช้านี้ ในราคา 65,000 จ๊าต รับได้ๆ (ถ้าครบโปรแกรมอย่างที่คนขับว่า) แล้วก็ถึงเวลาลงไปชม พิธีล้างหน้าพระซะที  

            ไปถึงพิธีเริ่มไปบ้างแล้ว มีเสียงสวดมนต์ดังก้องวัด บทสวดเหมือนบ้านเรา แม้สำเนียงต่าง แต่ฟังรู้เรื่องว่าเป็นบทไหน  ในวัดมีตั้งแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ หนุ่มสาว ไปจนถึงเด็กน้อยชาวพม่า ที่แต่งหน้าแต่งตัวมากัน อย่างสวยงาม  ปะแป้งทานาคากันจนหน้าผ่อง และในบริเวณวัดจะแบ่งบริเวณที่ห้ามผู้หญิงเข้าใกล้องค์พระด้วย เมื่อจบพิธี ผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายก็แจกจ่ายของที่ใช้สักการะพระเอากลับไปบูชาที่บ้านต่อไป  ฟ้าเริ่มสว่างหลังเสร็จพิธีพอดี เราก็เดินทางกลับที่พัก ทานอาหารเช้า เหลือเวลาเล็กน้อยก่อนจะถึงเวลานัดกับรถ ก็เปิด Internet (มี Wi-fi ฟรี ในที่พัก) หาข้อมูลการดินทางตามที่คนขับรถแจ้ง เปิดแผนที่ดูระยะทาง เส้นทางของวันนี้ ก็โล่งใจ เพราะเส้นทางดังกล่าวไปได้แน่ๆ เวลาแปดโมงตามที่นัดไว้ ก็พร้อมออกเดินทางสู่เมืองแรก อมรปุระ แต่เราแวะเที่ยวสะพานไม้อูเบ็งไปแล้วเมื่อวานนี้ วันนี้คนขับจึงแค่แวะให้ดูงานหัตถกรรมทอผ้า ของขึ้นชื่อเมืองอมรปุระเท่านั้น (ถ้าคนที่ไม่ต้องการไปชมพระอาทิตย์ตก ที่สะพานอูเบ็ง  ก็แนะนำให้ไปจบทริปเมื่อวานนี้ที่mandalay hill ก็ได้ แล้วมาสะพานอูเบ็งวันนี้แทน แต่ต้องเร่งรีบกันนิดนึง เอ้อระเหยมากไม่ได้ เพราะวันนี้โปรแกรมอีกยาว)  เมื่อถึงสะพานข้ามแม่น้ำอิระวดี(ชื่อตามคนไทยเรียก แต่พม่าเรียก “เอ-ยาวดี”) จะเห็นสะพานข้ามสองสะพาน อันที่เรากำลังจะข้ามเป็นสะพานใหม่ ส่วนสะพานเก่าก็เห็นคู่ขนานกันไปนี่แหละ และ เมืองต่อไปที่แวะเที่ยวในเส้นทาง คือ สะกาย แวะชมวิทยาลัยสงฆ์สีสันสวย ตัดกับสีท้องฟ้าใสๆ ซะจนอดใจเก็บภาพไม่ได้  และยังแวะวัดสำคัญอีก 2 ที่ที่สะกาย หนึ่งในนั้นชื่อ เจดีย์อูมิน ธอนเซ (U Min Thonze) อีกวัดนึง ชื่อวัดจำค่อนข้างยาก เพราะข้อมูลเมืองนี้มีน้อยมาก(ไม่คิดว่าจะได้เที่ยวที่นี่ เลยหาข้อมูลมาน้อย)

             นั่งรถออกมาจากสะกายประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงจุดหมายในแผนเดิมของเราวันนี้ “มิงกุน” สถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ตั้งตระง่านเตะตาเรา ถึงแม้จะมีซากปรักหักพังลงมาบ้าง แต่ก็อลังการมากจริงๆ  และอีกอย่างที่เห็นได้ทันทีที่ถึง คือ รูปปั้นสิงห์ใหญ่เบิ่มที่เหลือแต่ก้นให้เห็น คนขับรถแจ้งให้เราเดินชมมิงกุนประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะที่นี่นอกจากจะมีเจดีย์มิงกุนขนาดใหญ่แล้ว ยังมีระฆังขนาดใหญ่ด้วย แต่ต้องเดินไปชมกัน ก่อนจะเดินต่อไปเพื่อชมระฆัง ก็ถูกเบรกด้วยชายหนุ่มพม่าคนนึงที่เดินเข้ามาหา และแจ้งให้ชำระค่าเข้าชมมิงกุนซะก่อน เป็นเงิน 3 USD  เมื่อชำระเรียบร้อยก็เที่ยวต่อได้ตามสบาย เดินไปตามทางที่มีของขายไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับระฆังมิงกุน และเจดีย์ Hsinbyume ซึ่งที่นี่ได้รับขนานนามว่าเป็น “เจดีย์แห่งรัก ทัชมาฮาลแห่งพม่า” เพราะพระเจ้าพะคยีดอ สร้างให้แก่พระชายาที่สิ้นพระชนม์ไปนั่นเอง  หลังเดินเสร็จก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา แต่คนขับรถก็บอกว่าจะพาไปร้านที่แถวอังวะ เป็นร้านริมน้ำ ซึ่งเราก็ไม่มีปัญหา จัดไป  ทางเข้ามาสู่อังวะนี้เป็นเส้นทางเล็กๆ ขรุขระเล็กน้อย แล้วรถก็จอดให้แวะทานข้าว หลังทานอาหารเสร็จประมาณบ่ายโมง ยังมีโปรแกรมอีก ซึ่งเราเอ้อระเหยกันเกินไปนิดนีงเลยต้องเร่งรีบเที่ยวเพราะกลัวตกเครื่องกัน เมืองที่จะเที่ยวเมืองสุดท้าย คือ อังวะ ต้องข้ามเรือจากจุดที่รถจอดไปอีก(ค่าเรือไป-กลับ 800 จ๊าต/คน) อันนี้แหละที่ไม่ได้คาดกการณ์ไว้ทำให้เราลืมเผื่อเวลาไว้บ้าง แต่มาถึงขนาดนี้แล้วก็ข้ามไปเที่ยวซะหน่อยก็ยังดี เพราะอ่านในหนังสืออังวะมีที่น่าเที่ยวพอควรเลย แต่ปัญหาไม่หมดแค่นั้น เมื่อข้ามไปแล้วก็ต้องจ้างรถม้าเที่ยวต่อ ไม่ใช่เดินเที่ยวใกล้ๆอย่างที่เข้าใจ เรามีเวลาไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำในการเที่ยวอังวะครั้งนี้ เลยต้องแจ้งกับรถม้าให้เที่ยวในจุดใกล้ๆพอ และต่อรองให้ลดราคาได้อีกแค่เล็กน้อย แต่ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าที่ได้มาเที่ยวนะ ไม่มาเสียดายแย่ (รถม้าที่อังวะตอนนี้ ตกหัวละ 3,000 จ๊าตได้ เพราะถ้าคัน 2 คนนั่งคิด 6,000 จ๊าต ส่วนคัน 3คนคิด 9,000จ๊าต) ถ้าจัดเวลาให้ดีอีกหน่อย ยอมกินข้าวเร็วอีกนิด ให้มีเวลาเที่ยวได้ชั่วโมงครึ่ง คุณจะมีเวลาเที่ยวอังวะได้ครบตามโปรแกรมที่รถม้าพาไปเลยล่ะ (ตั๋วที่พระราชวังมัณฑะเลย์มีค่าที่นี่ เพราะต้องใช้ในการเข้าชมบางที่ในอังวะด้วย เก็บไว้ดีๆนะจ๊ะ)

               เมื่ออำลาอังวะ ก็เดินทางสู่สนามบินมัณฑะเลย์อีกครั้ง ใช้เวลาจากอังวะ ถึงสนามบิน ประมาณ 15-20 นาทีเท่านั้นเอง รวดเร็วทันใจ และถึงตามเวลาที่ต้องการเป๊ะๆ เวลาเช็คอินเครื่อง 15.30น. ที่ชั้น 2 ของสนามบิน  ช่องทางเข้าผู้โดยสาร Domestic จะอยู่ทางซีกขวา ส่วน International จะอยู่ซีกซ้ายของอาคาร การบินด้วยสายการบินในประเทศที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนขึ้นรถทัวร์บ้านเราเลย ส่วนสัมภาระโหลดได้ถึง 20กิโลเลยนะ ไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม  นั่งเครื่องบินประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงพุกามแล้ว สนามบิน Nyaung U หรือ Bagan ก็คือพุกามที่เราเรียก เป็นสนามบินที่ค่อนข้างเล็กมาก มีแต่สายการบินในประเทศลงจอด มีจุดรับกระเป๋า บริเวณห้องแรกที่เดินเข้าอาคารผู้โดยสารมีป้ายเขียนว่า waiting laggage here รับกระเป๋าเรียบร้อย เค้าจะขอสติ๊กเกอร์ที่ติดไว้กับตั๋วเรากลับไปด้วย เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของกระเป๋า ออกมานอกอาคารก็พบคุณลุงชาวพม่าคนนึงถามว่าจะเอาแท็กซี่มั้ย พักที่ไหน เมื่อแจ้งโรงแรมไปคุณลุงก็ตอบราคากลับมา 5,000 จ๊าต ด้วยสภาพตอนนี้ของพวกเราที่เหนื่อยจนใกล้จะสลบเต็มที ก็ตัดสินใจขึ้นรถโดยไม่เกี่ยงใดๆทั้งสิ้น ระหว่างทาง คุณลุงก็เจรจาแนะนำตัวเอง ชื่อ “อองออง” และจะจัดให้เราไปเที่ยวเย็นนี้ต่อ  ชมพระอาทิตย์ตกที่ทุ่งเจดีย์วันนี้เลย แต่อย่างที่บอกสภาพตอนนี้ทุกคนขอพักดีกว่า(ถ้าใครฟิตกว่าพวกเราก็สามารถว่าจ้างรถไปชมพระอาทิตย์ต่อได้นะ แต่ราคาไม่ทราบแน่ชัดจ้า)  เราไม่จ้างวันนี้ แต่จากอัธยาศัยของลุงคนขับ เราก็เลยกะว่าจะจ้างเค้าพรุ่งนี้ทั้งวันแทน ราคาที่ลุงบอกมา ถูกกว่าที่คาดไว้ คุณลุงคิดหัวละ 6,000 จ๊าต สรุปเหมาคุณลุงก็ 30,000 จ๊าตพอดี  นัดลุงมารับตอน 8โมงเช้า แล้วก็แยกเข้าที่พัก หลังสำรวจตรวจตราห้องพัก ก็เดินเล่นในบริเวณใกล้ที่พัก เราพักกันที่” Aung Mingalar Hotel” วิวหน้าที่พักจะมองเห็น ชเวสิกอง เลย และสามารถหาร้านอาหารทานได้ง่าย เราเดินสำรวจหาร้านอาหารแล้ว ก็ตัดสินใจทานที่ร้าน “Nation Restaurant” อาหารรสชาติดี ราคาไม่แพง ส่วนเจ้าของร้านก็ใจดีด้วย เป็นร้านที่เราใช้บริการมื้อเย็นทั้ง 2วันที่อยู่ที่นี่เลย  กลับเข้าที่พักก็นอนพักกันเต็มที่เลย จบอีกหนึ่งวันของการเดินทาง


วันที่ 3 (29พ.ค.56) พุกาม พุกาม และพุกาม  อมยิ้ม04

      วันนี้เป็นวันที่ไม่ต้องเร่งรีบมาก ตื่นกันประมาณ6โมง เพราะวันนี้เราเที่ยวกันแต่ในพุกามเท่านั้น ซึ่งพอรับประทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยก็ได้เวลาออกเดินทางอีกแล้ว อากาศช่วงเช้านี้ค่อนข้างเย็นสบายมีครึ้มฟ้าครึมฝนบ้างเป็นพักๆ  ที่แรกที่คุณลุงพาเที่ยวก็ “วัดHtilominlo” เดินชมบรรยากาศภายในวัดแล้วอย่าลืมออกมาเดินด้านนอกด้วย ที่ซึ่งแม่ค้าภายในวัดโฆษณาไว้นักหนาให้ออกประตู2(ถ้าวนซ้าย)แล้วจะพาขึ้นไปชั้นบนถ่ายรูปตัววัดสวยๆและเห็นเจดีย์รอบๆด้วย แต่บรรดาแม่ค้ากลุ่มนี้ก็จะดักรอขายของอยู่ที่ประตูเลย ด้วยความงกของพวกเรา เลยตัดสินใจทำเป็นไม่สน แล้วเดินออกมาอ้อมข้างนอกเอา เมื่อไปถึงอาคารที่แม่ค้าชี้ให้ขึ้นก็เดินวนหาบันไดกันอยู่นานเพราะภายในที่เป็นที่ตั้งองค์พระค่อนข้างมืด  แต่อย่าได้หวั่นมุดเข้าไปที่ตั้งองค์พระองค์ขวาสุดและจะเห็นช่องทางขวามือช่องเล็กๆซึ่งมีบันไดแอบซ่อนอยู่อย่างแนบเนียนเลย  วิวข้างบนสวยสมคำโฆษณาเลยอย่าพลาด!  และคุณลุงยังพาไปชมเจดีย์เล็กเจดีย์น้อยที่ชื่อแปลกๆไม่คุ้นหูอีกหลายที่ แต่อย่าคิดว่าจะเที่ยวที่สำคัญๆไม่ครบนะคุณลุงจัดเต็ม  ทั้งอนันทวิหาร(วัดอนันดา)ที่มีพระพุทธรูปหน้ายิ้มหน้าบึ้งเปลี่ยนไปมาได้ตามระยะที่ห่างจากองค์พระ, เจดีย์ธรรมยางยีที่ใหญ่สุดในพุกาม, เจดีย์สัพพัญยูที่สูงสุด, เจดีย์บูปยาที่เก่าแก่สุด  ก่อนจะทานข้าวกลางวันก็ไปซะ8-9เจดีย์แล้วล่ะ  ชมเจดีย์กันจนอิ่มตาแล้วท้องไส้ก็เริ่มหิวแทน  คุณลุงพาไปทานอาหารแบบพม่า ซึ่งร้านนี้รสชาติใช้ได้ทีเดียวเป็นร้านแบบเหมาจ่ายรายหัวแล้วก็จะจัดอาหารออกมาเป็นเซตเลยไม่ต้องเลือกได้ชิมแกงครบหมด  หลังอาหารกลางวันเหมือนจะเป็นเวลาพักของเค้าเพราะที่เคยหาข้อมูลอ่านเค้าก็เจอว่าแท๊กซี่หยุดพักช่วงบ่ายๆ  ส่วนคุณลุงเค้าแจ้งว่าข้างนอกมันร้อนให้กลับมาพักในโรงแรมซัก2ชั่วโมงแล้วจะมารับออกไปเที่ยวใหม่นัดกันตอบบ่าย3จากการคำนวณสถานที่ที่ยังไม่ได้ไปที่สำคัญก็เหลือประมาณ 3 ที่ คิดว่าไม่มีปัญหาเพราะลุงบอกจะอยู่จนจบsunsetเลย  ทันเวลาแน่ๆ  เลยเข้าห้องนอนพักเก็บแรงกันนิดนึง  

            สตาร์ทบ่าย3เป๊ะ  ไม่ไกลที่พักก็จอดรถอีกครั้งที่เจดีย์ชเวสิกองใช้เวลาเดินเล่นไปมาก็ผ่านไป1ชั่วโมง ผลาญเวลาเร็วใช้ได้เลยพวกเรา ที่ต่อไปวัดมนูหะ ที่เห็นแล้วอึดอัดจริงๆเพราะพระแน่นคับวัดแทบไม่มีพื้นที่ให้เดินถ้าพระต้องหายใจอากาศคงไม่พอเลยล่ะ เวลาเหลือลุงพาไปเดินเล่นในเจดีย์เก่าอีกที่พร้อมกับสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาพักนึง แต่ซักพักก็หยุดเหมือนเป็นใจให้ได้ไปดูทุ่งเจดีย์ยามอาทิตย์อัสดงที่ชเวซันดอร์  ทุ่งเจดีย์กว้างสุดลูกหูลูกตา ตัดกับแสงแดดที่ส่องผ่านกลุ่มเมฆก้อนโตก็สวยไปอีกแบบถึงจะไม่เห็นพระอาทิตย์ตกก็ตามแล้วก็จบการพาเที่ยวของลุง แต่ยังไม่จบการใช้บริการรถลุง เนื่องจากยังต้องนั่งรถลุงไปสนามบินพุกามตอนเช้าอีกรอบ หลังอาหารเย็นที่ร้านเดิม พวกเราเดินย่อยอาหารไปชมเจดีย์ชเวสิกองอีกครั้ง ถ่ายภาพองค์เจดีย์ยามค่ำ และอย่าลืมเดินหาหลุมสมดุลเจดีย์เพื่อถ่ายภาพสะท้อนเจดีย์นะจ๊ะ กลางคืนได้ภาพสะท้อนสวยเชียวล่ะ ออกจากที่เจดีย์ก็ปาไปสามทุ่มจะเหลือทางออกแค่ประตูเดียวแต่เดินกลับที่พักไม่ยากแป๊ปเดียวก็ถึงข้อดีของการมีที่พักใกล้ที่เที่ยว เย้!จบคืนสุดท้ายในพม่า
ภาพสะท้อนของชเวสิกองในหลุมสมดุลเจดีย์ยามค่ำ

คุณลุงคนขับแท๊กซี่ที่พุกามจ้า

เยือนเมืองมัณฑะเลย์ ยลสเน่ห์เจดีย์พุกาม ตอนที่ 3 (End) http://pantip.com/topic/30576665
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่