ไม่รู้จะมีคนอ่านมั้ย แต่แปลแล้วขอเอามาลงละกันครับ (จริงๆยังไม่เสร็จหมด อีกประมาณ 2 บท แต่ลงเลยละกัน)
ขอบ่นเรื่องตอนแปลก่อน ใครไม่อยากอ่านข้ามไปเลย แต่สรุปสั้นๆว่า "แปล Eng ที่เคยอ่านไปนี่ มันแปลมุกมั่วเยอะมากๆครับ"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จริงๆ ผมควรจะแปลเสร็จเร็วกว่านี้ เพราะตอนแรกแปลจาก Eng เป็นหลัก ระหว่างแปลก็ตะกุกตะกัก เจอตรงที่ไม่รู้เรื่องบ้าง ก็ไม่รู้สึกอะไร จนแปลไปได้ 4 บทเข้าบทที่ 5แล้วนั่นแหละครับ ถึงรู้สึกว่า มันไม่ใช่ละ
อย่ากระนั้นเลย ไปหาแบบญี่ปุ่นมาดูเทียบ ถึงภาษาญี่ปุ่นผมจะห่วยบรรลัย แต่จากการใช้พวกเว็บช่วยแปล เห็นชัดๆเลยว่า แปล Eng มันแปลผิดเยอะแบบเยอะมากๆเลยครับ ถึงส่วนมากที่ผิดจะไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องเสียก็เถอะ แต่ตรงมันยิงมุกกันนี่ แปล Eng มันตามมุกไม่ทันจริงๆ เลยไม่ขำเลย (แต่ก็อดแปลกใจตัวเองนะ ว่าตอนอ่านรอบแรกอ่านไปได้ไง พอมาแปลเป็นไทยนี่ถึงได้เห็นชัดเลย)
หลังจากนั้นผมเลยแปลตรงจากภาษาญี่ปุ่นมาเลย มันก็เลยเสร็จช้ากว่าที่คิดไว้
เพราะงั้นช่วง 4 บทแรกที่ผมแปลไปแล้วแต่แรกนั้น ผมได้ย้อนกลับไปแก้ใหม่แล้ว แต่ไม่ทั้งหมด เน้นแค่ตรงที่อ่านไม่รู้เรื่องเป็นหลัก เพราะงั้นถ้าตรงไหนที่อ่านแล้วดูงงๆ นั่นคือผมแปลมาจาก Eng แล้วไม่ได้แก้ให้เป็นตามต้นฉบับนะครับ
เอาล่ะ เริ่มบทนำกันเลยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เกริ่นนำถึงความเท่ของผม
อาจจะกะทันหันไปหน่อย แต่ผม โทงาชิ ยูตะ มีเรื่องจะสารภาพว่า ผมเป็นผู้ป่วยจูนิเบียว (中二病 : Chuunibyou) เมื่อครั้งยังเรียน ม.ต้น
มันคืออาการอย่างหนึ่งของเด็กวัยแรกรุ่น ไม่ใช่อาการทางกายหรือจิตใจ แต่มันเลวร้ายกว่านั้นเยอะ ให้พูดยกตัวอย่างก็พวกจูนิเบียวเนตรมาร อาการของโรคนั้นต่างจากพวกวัยต่อต้าน ถ้าให้พูดก็ บางคนอาจคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น มีพลังพิเศษ เป็นผู้ถูกเลือก อย่างผมครั้งหนึ่งก็เคยคิดแบบนั้น เมื่อครั้งที่ผมยังเป็น Dark Flame Master นั่น ก็ทำเอาทั้งเพื่อนหรือเด็กผู้หญิงมองผมแปลกๆเหมือนกัน
แถมมีประโยคพูดปากว่า “จงถูกเพลิงทมิฬแผดเผา แล้วสลายหายไปซะ!” ด้วยล่ะ

……แค่คิดถึงก็อยากจะตายๆไปซะให้รู้แล้วรู้รอด….
แล้วยังมีการพูดลงท้ายด้วยเสียง [ぜ] ที่จูนิเบียวชอบใช้กันอีก ช่วง ม.ต้น ผมก็ใช้เพราะมันดูเท่ดีน่ะนะ ….. แต่ให้ตายผมก็ไม่เอามาพูดตอนเรียน ม.ปลายนี่แน่ๆ โคตรเห่ยเลย
ยังมีการเอาผ้าพันแผลมาพันแขน เพื่อสะกดพลังความมืดเอาไว้ด้วย ซึ่งพลังนี้เป็นผลมาจากการทดลองของ องค์กร Zero (ที่คอยช่วยฝึกฝนให้คนที่มีแววได้รับพลังเหนือมนุษย์) ทุกครั้งที่ผมเล่าเรื่องนี้ หรือเรื่องต่างๆที่ผมแต่งขึ้นมาให้เพื่อนฟัง ก็มักจะโดนหัวเราะเยาะใส่เหมือนผมเป็นคนบ้าก็ไม่ผิดนัก
แต่ผมจริงจังกับช่วงเวลานั้นมากๆ นะ ถึงขนาดที่มักบ่นออกมาคนเดียวว่า “พวกโง่พวกนั้นที่ไม่ได้เข้าใจเรื่องของข้าซักนิด…..จงถูกกลืนกินด้วยพลังมืดของข้าซะ….” ขณะที่แอบอยู่ข้างหลังของพวกที่ไม่เชื่อผม ไร้สาระดีชะมัด
ตัวผมในเวลานั้นเอ๋ย ช่วยตายๆไปทีเหอะนะ

แต่ไม่ว่าใครก็น่าจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้จริงมั้ย?
อย่างถามหา 'ความหมายของการมีชีวิตอยู่' กับโลกใบนี้ คิดว่าตัวเองมี 'พลัง' หรือ 'ความสามารถพิเศษ' แบบนี้ เพื่อที่ซักวันนึงจะได้ใช้เพื่อปกป้องโลกได้ ต้องเคยมีคิดกันบ้างล่ะ
คิดว่าตัวเองเท่บ้างล่ะ หรือคิดว่ามีพลังอย่าง 'เวทย์มนตร์ต้องห้าม! แสงแห่งความมืด [Note: 暗黒の光: Ankoku no Hikari] พลังที่สืบทอดมาจากเทพีแห่งความมืด! จงทำให้เหล่าศัตรูรู้ซึ้งถึงความสิ้นหวังเกินหยั่งถึงซะ! นั่นล่ะคือการพิพากษาอันยิ่งใหญ่!' ผมเคยเชื่อซะเต็มประดานะว่าการตะโกนคำพูดเหล่านี้ออกไปดังๆ มันทำให้ผมดูเจ๋งซะไม่มีล่ะ
พอมาคิดดูคอนนี้ แสงแห่งความมืด? พิพากษาด้วยความสิ้นหวัง? ตัวผมเมื่อก่อนช่างดูเหมือนพร้อมจะหาเรื่องคนอื่นได้ตลอดเวลาเลย ว่ามั้ย? ก็เพราะผมเคยมีเปลวเพลิงทมิฬกับตัวนี่นะ เลยไม่สนใจใครคนอื่นซักเท่าไร
ยังมีให้เล่าอีกเยอะครับ ผมเคยเชื่อว่าผมมีพลังเวทย์ที่มือขวา เลยเขียนคำว่า 'พินาศ' ลงไป แถมวาดรูปดาวตกบนนิ้วอีกตะหาก และเคยเชื่ออีกว่า ด้วยการฝึกฝนอย่างยากลำบาก ผมจะสามารถลอยตัวบนอากาศได้ ดูยังไงๆ ช่วงนั้นรอบๆตัวผมมันมีแต่ความจูนิเบียวเต็มไปหมดเลยแฮะ

ด้วยเหตุนี้ ผมเลยทำตัวเหมือนเป็นคนบ้าตลอดช่วงเวลาม.2 บางครั้งจู่ๆ ก็มักจะพูดขึ้นมาในชั้นเรียนว่า 'เจ้า….เจ้าทำอะไร?! พลังของข้า…หดหายไป!? หยุดเดี๋ยวนี้นะ!' หรือพูดกับตัวเองว่า 'ที่นี่คือมิติปิด' เวลาที่ไม่มีใครในชั้นเรียน แน่นอนว่าช่วงนั้นผลการเรียนผมดิ่งเหวเลยล่ะ
พอถึงช่วงหน้าร้อน ม.3 การสอบเข้าม.ปลายก็ใกล้เข้ามา ผมก็เก็บความเพ้อเจ้อต่างๆเข้ากรุไปพร้อมกับตั้งใจเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย พอผมมีเวลาว่างน้อยลง ผมก็เริ่มฟื้นจากอาการจูนิเบียวทีละนิด ผมกลายเป็นคนนิ่งและสำรวมมากขึ้น และถึงผมจะไม่ได้ดูเท่เหมือนกับในอดีต แต่ผลการเรียนผมก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วล่ะนะ
และตอนนี้ผมก็ได้เป็นนักเรียนม.ปลายปี 1 และไม่มีความเป็นจูนิเบียวเหลืออยู่กับตัวแล้ว ตัวผมที่ชอบทำอะไรบ้าๆบอกไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว ตัวผมตอนม.ต้นคงทำอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่ กับการที่ได้มาเรียนที่โรงเรียนม.ปลายดีๆแบบนี้
ผมก็ยังพอเห็นบางคนที่มาจาก ม.ต้นที่เดียวกันอยู่ แต่ก็ไม่ได้คุ้นเคยกันนัก อาจจะเพราะผมเคยมีอาการจูนิเบียวรุนแรงมากก็ได้ เลยไม่มีคนอยากมายุ่งด้วยเท่าไร เลยไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ก็คงคิดเป็นแค่นักเรียนคนหนึ่งแค่นั้น ตรงกับที่ผมต้องการพอดี
อดีตก็ผ่านไปแล้ว ผมได้ช่วยเหลือตัวเองจากความเพ้อเจ้อของตัวเอง แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องให้ใครรู้ถึงอดีตดำมืดของผมหรอก
ไม่นาน ด้วยสิ่งแวดล้อมและเพื่อนใหม่ๆ 2 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกดี รู้สึกสนุกกับมันมากๆเลย
อย่างตอนพิธีเปิดภาคเรียนที่ทำผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะ ผอ. ออกมาตะโกนร้องเพลงของโรงเรียนทั้งในชุดนักเรียนเลย หลังจากนั้นมาก็มีอะไรแปลกใหม่ให้สัมผัสเสมอ มีชมรมหลายชมรมที่ผมไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ด้วย (อย่างไอ้เซปักตะกร้อนี่มันคืออะไร จนเดี๋ยวนี้ผมยังไม่รู้เลย?) ยังไงก็ตาม ผมรู้สึกสนุกกับการเรียนที่นี่จริงๆ
ผมเลือกที่จะไม่เข้าชมรมเพราะต้องการมุ่งมั่นกับการเรียน และเหมือนทุกอย่างจะไปด้วยดี เพราะผมมีเพื่อนมากมายในชั้นเรียน และผมก็ชอบที่จะออกไปนู่นไปนี่ด้วยกันด้วย ผมได้รับสิ่งสำคัญเหล่านี้กลับคืนมาหลังจากที่ทำหายไปในช่วง ม.ต้น นี่เป็นเพราะผมหายจากอาการจูนิเบียวแล้วล่ะนะ
ผมรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อว่า ตัวผมที่เคย 'เท่' อย่างโดดเดี่ยวกลับมาใช้เวลาอยู่กับเพื่อนฝูงได้แบบนี้
และผมก็ชอบเวลาที่ได้อยู่กับเพื่อนด้วย เพราะผมจะลืมอดีตที่เลวร้ายเหล่านั้นไปทั้งหมดแล้วเราก็ทำอะไรสนุกๆด้วยกัน
แต่โชคร้าย ที่เกิดเหตุการณ์น่าสลดขึ้น
ผมควรจะบอกว่า มันถูกกำหนดให้เกิดขึ้นแบบนี้ เพราะถึงผมจะบอกว่าเคยเป็นจูนิเบียวมาก่อน แต่ที่จริงคือผมยังไม่ได้ขาดจากมัน เลยเกิดความเห็นใจขึ้นมา.......นั่นคือสิ่งที่ผมคิด
ต้องเป็นเพราะจูนิเบียวแน่ๆ
-------และเพราะแบบนั้น ทำให้ผมต้องตกอยู่ในพันธะสัญญากับ ทาคานาชิ ริกกะ
ไว้พรุ่งนี้จะมาต่อ
บทแรกครับ
(Chuunibyou LN) บทนำ
ขอบ่นเรื่องตอนแปลก่อน ใครไม่อยากอ่านข้ามไปเลย แต่สรุปสั้นๆว่า "แปล Eng ที่เคยอ่านไปนี่ มันแปลมุกมั่วเยอะมากๆครับ"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เอาล่ะ เริ่มบทนำกันเลยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ไว้พรุ่งนี้จะมาต่อบทแรกครับ