นี้ม็อบเยอะเนอะ ไม่ใช่เฉพาะที่ในประเทศไทยนะ แต่มันเป็นกันทั่วโลกนั่นะสังเกตุดีๆ
นั่งดูๆแล้วก็สนใจอยากวิเคราะห์แบบชาวบ้านๆที่ถนัดนั่งดู ว่าอะไรที่มันทำให้บางม็อบ”จุดติด”แต่บางม็อบแป็ก
กลายเป็นม็อบฮะหรอมฮะแหรมให้อีกฝ่ายได้เย้ยหยันไปซะ
ที่เห็นองค์ประกอบพื้นๆก็มี เรื่องที่จะเป็น”หัวเชื้อ” มันต้องเป็นอะไรที่จะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่จะทำให้”จุดติด”ได้ง่าย
อีกส่วนก็คือ”วิธีจุด”กับ”คนจุด”นี่ะ เชื้อดีจุดไม่เป็นก็ไม่ติด เชื้อดี จุดถูกวิธีแต่คนจุดไม่เอาไหนก็แป็ก ไม่ติดเหมือนกัน
เชื้อที่”จุดติด”นี่ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่อ่อนไหวกับอารมณ์คนทั่วไปมากๆเช่นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบุคคลหรือสถานที่ๆมีคนรักมากๆ เช่นที่ตุรกีในขณะนี้ ที่เริ่มแค่เป็นม็อบไม่พอใจที่รัฐบาลจะมาปรับปรุงสวนสาธารณะกลางเมือง(จตุรัสทักษิมนะครับ อย่าเผลอได้ยินว่าเป็นจตุรัสทักษิณเข้าล่ะ555) ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลยก็ชวนกันไปนั่งคุยกันดีๆก็น่าจะจบได้ด้วยดี แต่รัฐบาลที่นั่นกลับเป็นอารมณ์ที่โดนด่าว่าเป็นเผด็จการ เลยสั่งตำรวจลุยก
ผลก็คือม็อบที่ไม่น่าจะจุดติดก็กลับลุกลามใหญ่โตจบยากไปอย่างที่เห็น
ย้อนกลับมามองม็อบของไทยที่พยายามเอาเชื้อเพลิง”อย่างดี”มาจุดเช่น เรื่องอธิปไตยของชาติเรื่องเขาพระวิหาร
ความพยายามจะโยงสถาบันฯมาเป็นพวก เรื่องโกงกิน ฯลฯเรื่องเหล่านี้ จริงๆแล้วเป็น”หัวเชื้อชั้นดี” ที่เคยจุดติดมาแล้วทั้งนั้น
แต่ความพยายามดังกล่าวกลับล้มเหลวจุดไม่ติดซะงั้น??
ซึ่งผมมองว่าปัญหามันน่าจะอยู่ที่คนจุดแล้วล่ะ ว่าคงไม่มีความน่าเชื่อถือพอ ที่เอาหัวเชือ้มาจุดนี่ มีความจริงใจกันแค่ไหน จู่ๆจะมาโหนประเด็นกันดื้อๆ ที่มาที่ไปมันคลุมเคลือคงไม่มีคนสติดีๆที่ไหนโดดเข้าไปร่วมหรอก
มันต้องอธิบายได้ว่ามันจำเป็นแค่ไหนที่ต้องออกมาประท้วงเรียกร้องกัน เพราะบางเรื่องแค่พูดคุยกันธรรมดาไม่ต้องออกมาวุ่นวายก็ได้นี่นา อย่างเรื่องจะออกมาไล่รัฐบาลนั้น คนนั่งดูอย่างผมก็นั่งรอว่า”คนจุด”เค้าจะให้เหตุผลในการไล่ว่ายังไง แต่เหตุผลมันไม่มีน้ำหนักให้คล้อยตามเอาซะเลย แต่ละเหตุที่อ้างมามันเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ชัดเจนและ”รอได้”ทั้งนั้น อีกสองปีก็ได้ใช้สิทธิเลือกกันใหม่อยู่แล้ว จะมาแสดงความไม่พอใจ รอไม่ได้ มันก็ไม่ต่างไปจากคนเห็นแก่ตัว ที่พอไม่ชอบก็จะร้องว่าไม่เอาๆอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงคนอื่นว่าคนชอบเค้าก็มี
อยากจะเปลี่ยนให้คนอื่นนั้นรู้สึกไม่ชอบเหมือนกับพวกตน มันก็ต้องมีศิลปในการโน้มน้าวให้คนเห็นคล้อยตาม ไม่ใช่จะออกมาเรียกร้องๆว่าจะเอาๆกันอย่างเดียว มันจะกลายเป็นน่ารำคาญไป
ซึ่งปัญหาม็อบจุดไม่ติดของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลก็คงอยู่ที่ความไม่น่าเชื่อถือของคนจุดนี่ะ มองดูแล้วไม่มีใครที่จะมีความน่าเชื่อถือที่จะพอมาเป็นคนจุดได้เลย มีแต่คนหน้าเดิมๆที่พอขยับสังคมก็รู้แล้วว่าคิดอะไร ต่อให้เอาหน้ากากอะไรมาใส่มันก็ปิดไม่มิดหรอก ผมว่ามันเป็นการดูถูกวิจารณญาณของประชาชนเกินไป ที่จะหวังหยิบเอาหน้ากาอะไรมาใส่อย่างฉาบฉวยแล้วจะให้คนเดินตาม มันหมดยุคที่จะใช้วิธีตะโกนในโรงหนังแล้วให้คนฮือวิ่งตามแล้วล่ะครับ
จะจุดม็อบให้ติดมีพลัง มันต้องมีความเข้าใจองค์ประกอบของม็อบที่ลึกซึ้งกว่านี้ ซึ่งผมว่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้ดีพอ เห็นได้จากม็อบเสื้อแดงเมื่อเร็วๆนี้นี่ะผ่านมา3ปีทำไมถึงได้มากันมืดผ้ามัวดินกันอีก ไม่ลืมๆกันไปซะที
เหตุผลง่ายๆก็คือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลนี่เองะไปกระตุ้นความรู้สึกพวกเค้าให้มากันเยอะๆ
ยังดูถูกเหยียดหยาม
ยังตอกย้ำทำให้พวกเค้ารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
ซึ่งก็เหมือนไปเติมเชื้อให้เค้านั่นะ
หากมีความรู้ความเข้าใจปัจจัยของ”ม็อบ”ดีพอก็คงไม่ทำกัน ก็คงมีท่าทีที่แตกต่างไปจากที่เห็นอยู่
แต่เพราะแนวคิดยังเหมือนเดิม กับคนหน้าเดิมๆ และปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลง
แนวรบจึงเหมือนเดิม
ผมยกตัวอย่างม็อบหน้ากาขาวนี่ละกันว่า
หากตั้งใจจริงพร้อมใจกันใส่ชุดดำ ใส่หน้ากากพร้อมเพรียงกันมันก็คงดูขลังมากกว่านี้
แม้ว่าจะมากันน้อยก็เถอะ
แต่หากทำให้คนทั่วไปเค้าเห็นถึงความมุ่งมั่นจริงจังได้มันก็มีพลังขับเคลื่อนไม่ต่างกับคนจำนวนมากหรอก
ที่สำคัญต้องมีจุดมุ่งหมายข้อเรียกร้องที่แน่นอน จะไล่รัฐบาลก็ต้องมีความชัดเจนว่าไล่แล้วมีอะไรมาเสนอให้ทดแทน
เมื่อจะใช้”หน้ากาก”มาเป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหว ก็สมควรศึกษาที่มาที่ไปกันมาอย่างดีเสียก่อนเมื่อเข้าใจถึงความหมายจึงจะทำให้มันมีพลังน่าศรัทธา ไม่ใช่เหมือนเด็กเอาหน้ากากมาใส่เล่นกันอย่างนี้
นี่อะไรก็ไม่รู้เรียกร้องมั่วไปหมด อย่างไม่มีเหตุผลที่มาที่ไปชัดๆ รู้
เหมือนเด็กเอาแต่ใจตัว ไปโหนสถาบันฯด้วยแผ่นป้ายธรรมดาๆไม่มีคลีเอทีฟอะไรเลย
พอตะโกนกันว่าทักษิณออกไป นี่หมดกันเลย
เค้ารู้กันหมดเลยว่าเป็นพวกใคร ทำให้การใส่หน้ากากลายเป็นเรื่องตลกไปซะนี่
น่าเสียดายนะครับไอเดียเรื่องหน้ากากที่มีคนให้ความสนใจกันไม่น้อย แต่กลับไม่สามารถจุดประกายให้ติดได้เพราะความชุ่ยแท้ๆ
ผมว่าสมควรที่จะไปทบทวนกันใหม่ว่าจะเคลื่อนไหวม็อบยังไงให้มันมีพลังในการเปลี่ยนแปลง ค่อยออกมาดีกว่า
ออกกันมาสะเปะสะปะอย่างนี้มองได้อย่างเดียวว่า เจตนามา”ป่วน” ให้เกิดความวุ่นวายหวังฟลุ๊คล้มกระดาน
ซึ่งมันจะไม่ต่างไปจากอันธพาลที่ไม่อยากเล่นตามกติกา
มองหาข้อบกพร่องของฝ่ายตนให้เจอแล้วปรับปรุงเสีย ค่อยออกมาชี้ข้อบกพร่องของคนอื่น มันจะทำให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
ปัจจัยอะไรที่จะทำให้ม็อบจุดติด?
น่าจะเป็นคำถามที่คนก่อม็อบสมควรไปทำการบ้านกันมาให้ดีเสียก่อนที่จะมาก่อม็อบกันนะ ว่ามั๊ย?
ปัจจัยอะไรที่จะทำให้ม็อบจุดติด?
นั่งดูๆแล้วก็สนใจอยากวิเคราะห์แบบชาวบ้านๆที่ถนัดนั่งดู ว่าอะไรที่มันทำให้บางม็อบ”จุดติด”แต่บางม็อบแป็ก
กลายเป็นม็อบฮะหรอมฮะแหรมให้อีกฝ่ายได้เย้ยหยันไปซะ
ที่เห็นองค์ประกอบพื้นๆก็มี เรื่องที่จะเป็น”หัวเชื้อ” มันต้องเป็นอะไรที่จะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่จะทำให้”จุดติด”ได้ง่าย
อีกส่วนก็คือ”วิธีจุด”กับ”คนจุด”นี่ะ เชื้อดีจุดไม่เป็นก็ไม่ติด เชื้อดี จุดถูกวิธีแต่คนจุดไม่เอาไหนก็แป็ก ไม่ติดเหมือนกัน
เชื้อที่”จุดติด”นี่ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่อ่อนไหวกับอารมณ์คนทั่วไปมากๆเช่นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบุคคลหรือสถานที่ๆมีคนรักมากๆ เช่นที่ตุรกีในขณะนี้ ที่เริ่มแค่เป็นม็อบไม่พอใจที่รัฐบาลจะมาปรับปรุงสวนสาธารณะกลางเมือง(จตุรัสทักษิมนะครับ อย่าเผลอได้ยินว่าเป็นจตุรัสทักษิณเข้าล่ะ555) ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลยก็ชวนกันไปนั่งคุยกันดีๆก็น่าจะจบได้ด้วยดี แต่รัฐบาลที่นั่นกลับเป็นอารมณ์ที่โดนด่าว่าเป็นเผด็จการ เลยสั่งตำรวจลุยก
ผลก็คือม็อบที่ไม่น่าจะจุดติดก็กลับลุกลามใหญ่โตจบยากไปอย่างที่เห็น
ย้อนกลับมามองม็อบของไทยที่พยายามเอาเชื้อเพลิง”อย่างดี”มาจุดเช่น เรื่องอธิปไตยของชาติเรื่องเขาพระวิหาร
ความพยายามจะโยงสถาบันฯมาเป็นพวก เรื่องโกงกิน ฯลฯเรื่องเหล่านี้ จริงๆแล้วเป็น”หัวเชื้อชั้นดี” ที่เคยจุดติดมาแล้วทั้งนั้น
แต่ความพยายามดังกล่าวกลับล้มเหลวจุดไม่ติดซะงั้น??
ซึ่งผมมองว่าปัญหามันน่าจะอยู่ที่คนจุดแล้วล่ะ ว่าคงไม่มีความน่าเชื่อถือพอ ที่เอาหัวเชือ้มาจุดนี่ มีความจริงใจกันแค่ไหน จู่ๆจะมาโหนประเด็นกันดื้อๆ ที่มาที่ไปมันคลุมเคลือคงไม่มีคนสติดีๆที่ไหนโดดเข้าไปร่วมหรอก
มันต้องอธิบายได้ว่ามันจำเป็นแค่ไหนที่ต้องออกมาประท้วงเรียกร้องกัน เพราะบางเรื่องแค่พูดคุยกันธรรมดาไม่ต้องออกมาวุ่นวายก็ได้นี่นา อย่างเรื่องจะออกมาไล่รัฐบาลนั้น คนนั่งดูอย่างผมก็นั่งรอว่า”คนจุด”เค้าจะให้เหตุผลในการไล่ว่ายังไง แต่เหตุผลมันไม่มีน้ำหนักให้คล้อยตามเอาซะเลย แต่ละเหตุที่อ้างมามันเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ชัดเจนและ”รอได้”ทั้งนั้น อีกสองปีก็ได้ใช้สิทธิเลือกกันใหม่อยู่แล้ว จะมาแสดงความไม่พอใจ รอไม่ได้ มันก็ไม่ต่างไปจากคนเห็นแก่ตัว ที่พอไม่ชอบก็จะร้องว่าไม่เอาๆอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงคนอื่นว่าคนชอบเค้าก็มี
อยากจะเปลี่ยนให้คนอื่นนั้นรู้สึกไม่ชอบเหมือนกับพวกตน มันก็ต้องมีศิลปในการโน้มน้าวให้คนเห็นคล้อยตาม ไม่ใช่จะออกมาเรียกร้องๆว่าจะเอาๆกันอย่างเดียว มันจะกลายเป็นน่ารำคาญไป
ซึ่งปัญหาม็อบจุดไม่ติดของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลก็คงอยู่ที่ความไม่น่าเชื่อถือของคนจุดนี่ะ มองดูแล้วไม่มีใครที่จะมีความน่าเชื่อถือที่จะพอมาเป็นคนจุดได้เลย มีแต่คนหน้าเดิมๆที่พอขยับสังคมก็รู้แล้วว่าคิดอะไร ต่อให้เอาหน้ากากอะไรมาใส่มันก็ปิดไม่มิดหรอก ผมว่ามันเป็นการดูถูกวิจารณญาณของประชาชนเกินไป ที่จะหวังหยิบเอาหน้ากาอะไรมาใส่อย่างฉาบฉวยแล้วจะให้คนเดินตาม มันหมดยุคที่จะใช้วิธีตะโกนในโรงหนังแล้วให้คนฮือวิ่งตามแล้วล่ะครับ
จะจุดม็อบให้ติดมีพลัง มันต้องมีความเข้าใจองค์ประกอบของม็อบที่ลึกซึ้งกว่านี้ ซึ่งผมว่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้ดีพอ เห็นได้จากม็อบเสื้อแดงเมื่อเร็วๆนี้นี่ะผ่านมา3ปีทำไมถึงได้มากันมืดผ้ามัวดินกันอีก ไม่ลืมๆกันไปซะที
เหตุผลง่ายๆก็คือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลนี่เองะไปกระตุ้นความรู้สึกพวกเค้าให้มากันเยอะๆ
ยังดูถูกเหยียดหยาม
ยังตอกย้ำทำให้พวกเค้ารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
ซึ่งก็เหมือนไปเติมเชื้อให้เค้านั่นะ
หากมีความรู้ความเข้าใจปัจจัยของ”ม็อบ”ดีพอก็คงไม่ทำกัน ก็คงมีท่าทีที่แตกต่างไปจากที่เห็นอยู่
แต่เพราะแนวคิดยังเหมือนเดิม กับคนหน้าเดิมๆ และปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลง
แนวรบจึงเหมือนเดิม
ผมยกตัวอย่างม็อบหน้ากาขาวนี่ละกันว่า
หากตั้งใจจริงพร้อมใจกันใส่ชุดดำ ใส่หน้ากากพร้อมเพรียงกันมันก็คงดูขลังมากกว่านี้
แม้ว่าจะมากันน้อยก็เถอะ
แต่หากทำให้คนทั่วไปเค้าเห็นถึงความมุ่งมั่นจริงจังได้มันก็มีพลังขับเคลื่อนไม่ต่างกับคนจำนวนมากหรอก
ที่สำคัญต้องมีจุดมุ่งหมายข้อเรียกร้องที่แน่นอน จะไล่รัฐบาลก็ต้องมีความชัดเจนว่าไล่แล้วมีอะไรมาเสนอให้ทดแทน
เมื่อจะใช้”หน้ากาก”มาเป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหว ก็สมควรศึกษาที่มาที่ไปกันมาอย่างดีเสียก่อนเมื่อเข้าใจถึงความหมายจึงจะทำให้มันมีพลังน่าศรัทธา ไม่ใช่เหมือนเด็กเอาหน้ากากมาใส่เล่นกันอย่างนี้
นี่อะไรก็ไม่รู้เรียกร้องมั่วไปหมด อย่างไม่มีเหตุผลที่มาที่ไปชัดๆ รู้
เหมือนเด็กเอาแต่ใจตัว ไปโหนสถาบันฯด้วยแผ่นป้ายธรรมดาๆไม่มีคลีเอทีฟอะไรเลย
พอตะโกนกันว่าทักษิณออกไป นี่หมดกันเลย
เค้ารู้กันหมดเลยว่าเป็นพวกใคร ทำให้การใส่หน้ากากลายเป็นเรื่องตลกไปซะนี่
น่าเสียดายนะครับไอเดียเรื่องหน้ากากที่มีคนให้ความสนใจกันไม่น้อย แต่กลับไม่สามารถจุดประกายให้ติดได้เพราะความชุ่ยแท้ๆ
ผมว่าสมควรที่จะไปทบทวนกันใหม่ว่าจะเคลื่อนไหวม็อบยังไงให้มันมีพลังในการเปลี่ยนแปลง ค่อยออกมาดีกว่า
ออกกันมาสะเปะสะปะอย่างนี้มองได้อย่างเดียวว่า เจตนามา”ป่วน” ให้เกิดความวุ่นวายหวังฟลุ๊คล้มกระดาน
ซึ่งมันจะไม่ต่างไปจากอันธพาลที่ไม่อยากเล่นตามกติกา
มองหาข้อบกพร่องของฝ่ายตนให้เจอแล้วปรับปรุงเสีย ค่อยออกมาชี้ข้อบกพร่องของคนอื่น มันจะทำให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
ปัจจัยอะไรที่จะทำให้ม็อบจุดติด?
น่าจะเป็นคำถามที่คนก่อม็อบสมควรไปทำการบ้านกันมาให้ดีเสียก่อนที่จะมาก่อม็อบกันนะ ว่ามั๊ย?