ชัยชนะเป็นเรื่องง่ายที่จะได้มา หากเทียบกับการต้องรักษามันไว้
ในยุคที่ฟุตบอลเต็มไปด้วยการแข่งขันทางสถิติ เราสามารถวัดอัตราความเร็วของลูกที่ยิงเข้าประตู โอกาสในการทำเกมส์คิดเป็นเปอร์เซนต์ตัวเลข แม้แต่การจ่ายบอลแต่ละครั้งยังมีการจดบันทึกไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ทุกอย่างมีการเปรียบให้เห็นชัดเจน นั่นทำให้ปัจจุบัน "หลายคน" นิยามความยิ่งใหญ่ของสโมสรฟุตบอลไว้ที่จำนวนตัวเลขของถ้วยแชมป์ที่วางประดับในตู้ของสโมสร ทีมไหนมีถ้วยเยอะกว่า แสดงว่าทีมนั้นยิ่งใหญ่กว่า ...
หากเราจะนิยามกันแบบนั้น ...
ในตู้เก็บถ้วยรางวัลของ สโมสรบาเยิร์น มิวนิค มีถ้วยรางวัลจากการแข่งขันรายการต่างๆเกือบ 60 ใบตลอดระยะเวลาตั้งแต่การก่อตั้งสโมสร ครึ่งหนึ่งมาจากผู้จัดการทีม 3 คน คือ
ออตมา ฮิตเฟลด์ 9 ปี 14 แชมป์
อูโด ลัทเท็ค 9 ปี 10 แชมป์
จุ๊ปป์ ไฮย์เกส 8 ปี 8 แชมป์
ฮิตเฟลด์และ ลัทเท็ค มีโอกาสได้คุมทีมคนละ 2 ครั้งและ จุ๊ปป์ ไฮย์เกสเป็นชายเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของบาเยิร์น มิวนิค ที่เคยคุมทีมมาแล้วถึง 3 ครั้งด้วยกัน
จุ๊ปป์ยังมีประสบการณ์ในฐานะโค้ชที่แสนเลวร้ายในช่วงแรก
และ จบบั้นปลายอาชีพด้วยความรุ่งเรืองสูงสุด กับ สโมสรบาเยิร์น มิวนิคแห่งนี้อีกด้วย

เขาได้เริ่มต้นอาชีพโค้ชกับสโมสรเดิมที่ตนเคยเป็นนักเตะคือ มึนเชน กลัดบลัค โดย 8 ปีที่คุมทีม ไม่มีถ้วยประดับบารมีเลย นอกจากการได้ปั้นนักเตะประดับวงการลูกหนังโลกมากมายหลายคน เช่น โลธ่าร์ มัทเธอุส, อูลี่ โบรอฟก้า, อูเว่ คัมป์ส, ดีเตอร์ เฮ็คคิงก์, อาร์มิน เฟห์, คริสเตียน โฮคสเต็ตเตอร์
8 ปีแรกในการทำทีมของจุ๊ปป์ ไม่มีถ้วยรางวัลเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จ แต่เขากลับสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าขึ้นมาแทน
นั่นคือ ยอดนักเตะ ที่จะเป็นแรงบรรดาลใจให้คนอีกนับล้านได้หันมาสนใจดูฟุตบอล
หรือแม้แต่ลงสนามไปเล่นฟุตบอล ..

รูปจากปี 2007
จนกระทั่งย้ายมาคุมบาเยิร์นฯตอนปี 1987 สามารถพาทีมคว้าถ้วยเล็กแบบซุปเปอร์คัพมาได้ และฤดูกาลต่อมา ก็พาทีมคว้าแชมป์ลีกส์ โดยสามารถทำได้ถึง 2 สมัยซ้อนอีกด้วย ในการเริ่มต้นฤดูกาลของปี 1991 จุ๊ปป์ทำพลาดดด้วยการเริ่มต้นฤดูกาลอย่างเลวร้าย ทำให้ถูกไล่ออกในตอนนั้น โดย อูลี่ เฮอเนสประธานสโมสรถึงกับออกปากว่า ความผิดพลาดของจุ๊ปป์ตอนนั้น เป็นรอยด่างที่เลวร้ายที่สุดในอาชีพของเขาเลยทีเดียว
ถ้วย 4 ใบที่จุ๊ปป์คว้ามาให้สโมสร ไม่ได้ช่วยให้อาชีพของเขาได้รับการตอบแทนที่ดีนัก
ความยิ่งใหญ่ ... วัดกันที่ถ้วยรางวัลจริงหรือ?
แล้วจุ๊ปป์ก็ตระเวนไปคุมทีมอยู่อีกหลายทีมหลายทวีป จนกระทั่งกลับมาสร้างปรากฏการณ์ในสเปนด้วยการพา รีล มาดริด คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ในฤดูกาลแรกที่คุมทีมในปี 1998 ละเป็นฤดูกาลเดียวที่เขาคุม รีล มาดริดด้วย

นั่นเป็นครั้งแรกที่ จุ๊ปป์ ไฮนย์เกส ได้สัมผัสถ้วย บิ๊กเอียร์ ถ้วยรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรฟุตบอลยุโรป ..
จุ๊ปป์กลับมาสู่ บาเยิร์นในฐานะผู้จัดการทีมเต็มตัว อีกครั้งตอนปี 2011 สนามเหย้าถูกเปลี่ยนเป็น แอลิอันซ์ อารีน่า แทนที่ เดอะ โอลิมปิคสเตเดี้ยม จากยุคก่อนที่เขาเคยคุม (ก่อนหน้านี้จุ๊ปป์เคยถูกเรียกมาคุมทีมแบบชั่วคราวแทนที่เจอเกนน์ คลินมันนท์ที่โดนปลดฟ้าผ่า แต่จุ๊ปป์ก็คุมได้แค่ 5 แมตช์เท่านั้น)
วันนี้ จุ๊ปป์กลับมายังแดนบาวาเรีย ในฐานะโค้ชที่อายุมากที่สุดในบุนเดสลีกาด้วยวัย 66 ปี
บาร์เยิร์นฯชุดปัจจุบัน ที่จุ๊ปป์กลับมาคุม เต็มไปด้วยนักเตะเลือดใหม่ที่มาจากหลากหลายสโมสร ยักษ์ใหญ่แห่งบุนเดสลิกายังคงไว้ด้วยเอกลักษณ์เก่าคือ เกือบทั้งทีมยังคงเต็มไปด้วยนักเตะทีมชาติเยอรมัน และบาร์เยิร์นฯ ยอดทีมจอมดูดมีนโยบายเดิมในการเฟ้นหานักเตะ คือ พวกเขามักจ่ายเงินจำนวนมากซื้อบรรดานักเตะดาวรุ่งจากหลายๆทีม ขณะเดียวกับที่พยายามผลักดันนักเตะเยาวชนขึ้นมาร่วมทีมใหญ่ไปด้วย
(ขออณุญาติแก้เรื่องนักเตะเยาวชนในทีม)
ฤดูกาลแรก(อีกครั้ง)ของจุ๊ปป์กับบาเยิร์น
ในเกมส์บุนเดสลิกา จบลงด้วยอันดับ 2 ตามหลังโบรุซเซีย ดอทมุนต์ ทีมคู่แค้น
ในเกมส์ เดเอฟเบ โพคาล ก็พ่ายดอทมุนต์ในชิงชนะเลิศ
ในเกมส์แชมเปี้ยนลีกส์ ก็พ่ายให้กับโชคชะตาในรอบชิงชนะเลิศกับ เชลซี
จุ๊ปป์ทำทีมคว้า "ทริปเปิ้ล รองแชมป์" ทันทีที่มาถึง
.. ความว่างเปล่าได้สอนอะไรพวกเขามากมาย ..
ฤดูกาลต่อมา จุ๊ปป์และลูกทีมกลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่
ในเกมส์บุนเดสลิกา พวกเขาคว้าแชมป์บุนเดสลิกา ด้วยสถิติสุดบ้าพลัง
ในเกมส์เดเอฟเบ โพคาล พวกเขายำคู่แข่งชนิดนันสต็อปตั้งแต่แมตแรกยันนัดชิง
ในเกมส์แชมเปี้ยนลีกส์ สามารถคว้าแชมป์สมัยที่ 5 ของทีมได้ หลังจากบุกทำลายยอดทีมด้วยสถิติอันเหลือเชื่อ
กล่าวกันว่า บาเยิร์นในยุคของจุ๊ปป์ ไฮย์เกส คือ ทีมชุดที่ดีที่สุดตลอดกาลของทีม และ อาจดีที่สุดตลอกาลของบุนเดสลีกาด้วย

เราสร้างถ้วยรางวัลขึ้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของผลตอบแทนในความเพียรพยาม
สำหรับการเชียร์กีฬา "ชัยชนะ และ ถ้วยรางวัล" คงเป็นเรื่องสำคัญอันดับ 1
แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในวันที่เราไม่มีถ้วยรางวัลเป็นเครื่องหมายยืนยันชัยชนะ
วันที่เราพยายามไขว้คว้า แต่มันก็เป็นแค่ของที่อยู่ปลายเอื้อมมือ ..
เรามองเห็นอะไร ...
คำกล่าวที่ว่า "ตัวเลขไม่เคยโกหก" ได้สร้างความมั่นใจกับอะไรบางอย่างที่ต้องการการยืนยัน
แต่บางครั้ง ความยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้นิยามด้วยตัวเลขเสมอไป (แบบที่ 8 ปีแรกของจุ๊ปป์ได้สร้างนักเตะชื่อดังมากมายแทนที่ถ้วยรางวัล)
3 แชมป์ สำหรับบาร์เยิร์น มิวนิค จากฝีมือการทำทีมของจุ๊ปป ไฮย์เกส เป็นเรื่องที่น่ายกย่องสรรเสริญ
จุ๊ปป์ได้จากบาเยิร์นไปพร้อมกับการทำลายสถิติมากมาย

ในเกมส์บุนเดสลิกา บาเยิร์นฯสามารถ...
ทำสถิติยิงคู่แข่งครบทุกนัด
ชนะมากสุด 29 จาก 34 แมตช์
ชนะติดต่อกันมากสุด 14 เกม
ไม่เสียประตูมากสุด 21 นัด
คะแนนสูงที่สุด 91 จาก 102 แต้ม
เป็นแชมป์ที่ทิ้งห่างอันดับ 2 มากสุด 25 คะแนน
มีผลต่างประตูดีสุด (+80)
ทำผลงานช่วงครึ่งฤดูกาลหลังดีสุดตลอดกาล (49 จาก 51 แต้ม)
และโดนคู่แข่งพังตาข่ายน้อยสุด (18 ประตู)
สำหรับการพัฒนาทางวงการอาชีพ สถิติตัวเลขที่ถูกทำลายลงทุกวัน เป็นเรื่องน่ายินดี
แต่สำหรับการเป็นแค่แฟนบอลคนหนึ่งๆ
สถิติเหล่านั้นทำให้เราเริ่มตั้งคำถามว่า มันสำคัญขนาดไหนสำหรับเรา
ถ้า
ไม่มีถ้วยแชมป์
ไม่มีการทำลายสถิติ
ในความว่างเปล่าเรามองเห็นอะไร ...
เรายังคง "ภาคภูมิใจ" ใน ทีมของเราหรือเปล่า
เรายังคง "ปกป้อง" ทีมของเราหรือเปล่า
เรายังคง "สนุก" กับการดูฟุตบอลหรือเปล่า
หากไม่มีสิ่งเหล่านั้น "ทีมของเรา" ยังยิ่งใหญ่ในสายตาเราอยู่หรือเปล่า ..

หากไม่มีถ้วย และ สถิติ แต่ เรายังคง ภูมิใจ ปกป้อง และ สนุกกับฟุตบอลเหมือนเดิม
นั่นคงเป็น ความหมายที่แท้จริงของการเชียร์ฟุตบอล
"จงเชื่อมั่นในทีมของคุณ"
... เมื่อไม่มีถ้วยแชมป์ เรามองเห็นอะไร - แรงบันดาลใจจาก Bayern Munich และ Jupp heynckes ...
ในยุคที่ฟุตบอลเต็มไปด้วยการแข่งขันทางสถิติ เราสามารถวัดอัตราความเร็วของลูกที่ยิงเข้าประตู โอกาสในการทำเกมส์คิดเป็นเปอร์เซนต์ตัวเลข แม้แต่การจ่ายบอลแต่ละครั้งยังมีการจดบันทึกไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ทุกอย่างมีการเปรียบให้เห็นชัดเจน นั่นทำให้ปัจจุบัน "หลายคน" นิยามความยิ่งใหญ่ของสโมสรฟุตบอลไว้ที่จำนวนตัวเลขของถ้วยแชมป์ที่วางประดับในตู้ของสโมสร ทีมไหนมีถ้วยเยอะกว่า แสดงว่าทีมนั้นยิ่งใหญ่กว่า ...
หากเราจะนิยามกันแบบนั้น ...
ในตู้เก็บถ้วยรางวัลของ สโมสรบาเยิร์น มิวนิค มีถ้วยรางวัลจากการแข่งขันรายการต่างๆเกือบ 60 ใบตลอดระยะเวลาตั้งแต่การก่อตั้งสโมสร ครึ่งหนึ่งมาจากผู้จัดการทีม 3 คน คือ
ออตมา ฮิตเฟลด์ 9 ปี 14 แชมป์
อูโด ลัทเท็ค 9 ปี 10 แชมป์
จุ๊ปป์ ไฮย์เกส 8 ปี 8 แชมป์
ฮิตเฟลด์และ ลัทเท็ค มีโอกาสได้คุมทีมคนละ 2 ครั้งและ จุ๊ปป์ ไฮย์เกสเป็นชายเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของบาเยิร์น มิวนิค ที่เคยคุมทีมมาแล้วถึง 3 ครั้งด้วยกัน
จุ๊ปป์ยังมีประสบการณ์ในฐานะโค้ชที่แสนเลวร้ายในช่วงแรก
และ จบบั้นปลายอาชีพด้วยความรุ่งเรืองสูงสุด กับ สโมสรบาเยิร์น มิวนิคแห่งนี้อีกด้วย
เขาได้เริ่มต้นอาชีพโค้ชกับสโมสรเดิมที่ตนเคยเป็นนักเตะคือ มึนเชน กลัดบลัค โดย 8 ปีที่คุมทีม ไม่มีถ้วยประดับบารมีเลย นอกจากการได้ปั้นนักเตะประดับวงการลูกหนังโลกมากมายหลายคน เช่น โลธ่าร์ มัทเธอุส, อูลี่ โบรอฟก้า, อูเว่ คัมป์ส, ดีเตอร์ เฮ็คคิงก์, อาร์มิน เฟห์, คริสเตียน โฮคสเต็ตเตอร์
8 ปีแรกในการทำทีมของจุ๊ปป์ ไม่มีถ้วยรางวัลเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จ แต่เขากลับสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าขึ้นมาแทน

นั่นคือ ยอดนักเตะ ที่จะเป็นแรงบรรดาลใจให้คนอีกนับล้านได้หันมาสนใจดูฟุตบอล
หรือแม้แต่ลงสนามไปเล่นฟุตบอล ..
รูปจากปี 2007
จนกระทั่งย้ายมาคุมบาเยิร์นฯตอนปี 1987 สามารถพาทีมคว้าถ้วยเล็กแบบซุปเปอร์คัพมาได้ และฤดูกาลต่อมา ก็พาทีมคว้าแชมป์ลีกส์ โดยสามารถทำได้ถึง 2 สมัยซ้อนอีกด้วย ในการเริ่มต้นฤดูกาลของปี 1991 จุ๊ปป์ทำพลาดดด้วยการเริ่มต้นฤดูกาลอย่างเลวร้าย ทำให้ถูกไล่ออกในตอนนั้น โดย อูลี่ เฮอเนสประธานสโมสรถึงกับออกปากว่า ความผิดพลาดของจุ๊ปป์ตอนนั้น เป็นรอยด่างที่เลวร้ายที่สุดในอาชีพของเขาเลยทีเดียว
ถ้วย 4 ใบที่จุ๊ปป์คว้ามาให้สโมสร ไม่ได้ช่วยให้อาชีพของเขาได้รับการตอบแทนที่ดีนัก
ความยิ่งใหญ่ ... วัดกันที่ถ้วยรางวัลจริงหรือ?
แล้วจุ๊ปป์ก็ตระเวนไปคุมทีมอยู่อีกหลายทีมหลายทวีป จนกระทั่งกลับมาสร้างปรากฏการณ์ในสเปนด้วยการพา รีล มาดริด คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ในฤดูกาลแรกที่คุมทีมในปี 1998 ละเป็นฤดูกาลเดียวที่เขาคุม รีล มาดริดด้วย
นั่นเป็นครั้งแรกที่ จุ๊ปป์ ไฮนย์เกส ได้สัมผัสถ้วย บิ๊กเอียร์ ถ้วยรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรฟุตบอลยุโรป ..
จุ๊ปป์กลับมาสู่ บาเยิร์นในฐานะผู้จัดการทีมเต็มตัว อีกครั้งตอนปี 2011 สนามเหย้าถูกเปลี่ยนเป็น แอลิอันซ์ อารีน่า แทนที่ เดอะ โอลิมปิคสเตเดี้ยม จากยุคก่อนที่เขาเคยคุม (ก่อนหน้านี้จุ๊ปป์เคยถูกเรียกมาคุมทีมแบบชั่วคราวแทนที่เจอเกนน์ คลินมันนท์ที่โดนปลดฟ้าผ่า แต่จุ๊ปป์ก็คุมได้แค่ 5 แมตช์เท่านั้น)
วันนี้ จุ๊ปป์กลับมายังแดนบาวาเรีย ในฐานะโค้ชที่อายุมากที่สุดในบุนเดสลีกาด้วยวัย 66 ปี
บาร์เยิร์นฯชุดปัจจุบัน ที่จุ๊ปป์กลับมาคุม เต็มไปด้วยนักเตะเลือดใหม่ที่มาจากหลากหลายสโมสร ยักษ์ใหญ่แห่งบุนเดสลิกายังคงไว้ด้วยเอกลักษณ์เก่าคือ เกือบทั้งทีมยังคงเต็มไปด้วยนักเตะทีมชาติเยอรมัน และบาร์เยิร์นฯ ยอดทีมจอมดูดมีนโยบายเดิมในการเฟ้นหานักเตะ คือ พวกเขามักจ่ายเงินจำนวนมากซื้อบรรดานักเตะดาวรุ่งจากหลายๆทีม ขณะเดียวกับที่พยายามผลักดันนักเตะเยาวชนขึ้นมาร่วมทีมใหญ่ไปด้วย
(ขออณุญาติแก้เรื่องนักเตะเยาวชนในทีม)
ฤดูกาลแรก(อีกครั้ง)ของจุ๊ปป์กับบาเยิร์น
ในเกมส์บุนเดสลิกา จบลงด้วยอันดับ 2 ตามหลังโบรุซเซีย ดอทมุนต์ ทีมคู่แค้น
ในเกมส์ เดเอฟเบ โพคาล ก็พ่ายดอทมุนต์ในชิงชนะเลิศ
ในเกมส์แชมเปี้ยนลีกส์ ก็พ่ายให้กับโชคชะตาในรอบชิงชนะเลิศกับ เชลซี
จุ๊ปป์ทำทีมคว้า "ทริปเปิ้ล รองแชมป์" ทันทีที่มาถึง
.. ความว่างเปล่าได้สอนอะไรพวกเขามากมาย ..
ฤดูกาลต่อมา จุ๊ปป์และลูกทีมกลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่
ในเกมส์บุนเดสลิกา พวกเขาคว้าแชมป์บุนเดสลิกา ด้วยสถิติสุดบ้าพลัง
ในเกมส์เดเอฟเบ โพคาล พวกเขายำคู่แข่งชนิดนันสต็อปตั้งแต่แมตแรกยันนัดชิง
ในเกมส์แชมเปี้ยนลีกส์ สามารถคว้าแชมป์สมัยที่ 5 ของทีมได้ หลังจากบุกทำลายยอดทีมด้วยสถิติอันเหลือเชื่อ
กล่าวกันว่า บาเยิร์นในยุคของจุ๊ปป์ ไฮย์เกส คือ ทีมชุดที่ดีที่สุดตลอดกาลของทีม และ อาจดีที่สุดตลอกาลของบุนเดสลีกาด้วย
เราสร้างถ้วยรางวัลขึ้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของผลตอบแทนในความเพียรพยาม
สำหรับการเชียร์กีฬา "ชัยชนะ และ ถ้วยรางวัล" คงเป็นเรื่องสำคัญอันดับ 1
แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในวันที่เราไม่มีถ้วยรางวัลเป็นเครื่องหมายยืนยันชัยชนะ
วันที่เราพยายามไขว้คว้า แต่มันก็เป็นแค่ของที่อยู่ปลายเอื้อมมือ ..
เรามองเห็นอะไร ...
คำกล่าวที่ว่า "ตัวเลขไม่เคยโกหก" ได้สร้างความมั่นใจกับอะไรบางอย่างที่ต้องการการยืนยัน
แต่บางครั้ง ความยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้นิยามด้วยตัวเลขเสมอไป (แบบที่ 8 ปีแรกของจุ๊ปป์ได้สร้างนักเตะชื่อดังมากมายแทนที่ถ้วยรางวัล)
3 แชมป์ สำหรับบาร์เยิร์น มิวนิค จากฝีมือการทำทีมของจุ๊ปป ไฮย์เกส เป็นเรื่องที่น่ายกย่องสรรเสริญ
จุ๊ปป์ได้จากบาเยิร์นไปพร้อมกับการทำลายสถิติมากมาย
ในเกมส์บุนเดสลิกา บาเยิร์นฯสามารถ...
ทำสถิติยิงคู่แข่งครบทุกนัด
ชนะมากสุด 29 จาก 34 แมตช์
ชนะติดต่อกันมากสุด 14 เกม
ไม่เสียประตูมากสุด 21 นัด
คะแนนสูงที่สุด 91 จาก 102 แต้ม
เป็นแชมป์ที่ทิ้งห่างอันดับ 2 มากสุด 25 คะแนน
มีผลต่างประตูดีสุด (+80)
ทำผลงานช่วงครึ่งฤดูกาลหลังดีสุดตลอดกาล (49 จาก 51 แต้ม)
และโดนคู่แข่งพังตาข่ายน้อยสุด (18 ประตู)
สำหรับการพัฒนาทางวงการอาชีพ สถิติตัวเลขที่ถูกทำลายลงทุกวัน เป็นเรื่องน่ายินดี
แต่สำหรับการเป็นแค่แฟนบอลคนหนึ่งๆ
สถิติเหล่านั้นทำให้เราเริ่มตั้งคำถามว่า มันสำคัญขนาดไหนสำหรับเรา
ถ้า
ไม่มีถ้วยแชมป์
ไม่มีการทำลายสถิติ
ในความว่างเปล่าเรามองเห็นอะไร ...
เรายังคง "ภาคภูมิใจ" ใน ทีมของเราหรือเปล่า
เรายังคง "ปกป้อง" ทีมของเราหรือเปล่า
เรายังคง "สนุก" กับการดูฟุตบอลหรือเปล่า
หากไม่มีสิ่งเหล่านั้น "ทีมของเรา" ยังยิ่งใหญ่ในสายตาเราอยู่หรือเปล่า ..
หากไม่มีถ้วย และ สถิติ แต่ เรายังคง ภูมิใจ ปกป้อง และ สนุกกับฟุตบอลเหมือนเดิม
นั่นคงเป็น ความหมายที่แท้จริงของการเชียร์ฟุตบอล
"จงเชื่อมั่นในทีมของคุณ"