เงินกู้สองล้านล้านนี่มันไม่กระตุ้นเศรษฐกิจแน่หรือ เพราะขนาดพรบ ยังไม่ผ่าน หุ้นก็ขึ้นไปรอรับข่าวนี้กันไปแล้ว

กระทู้คำถาม
แม้ว่าช่วงนี้ตกมาหน่อย แต่รายย่อยส่วนใหญ่พอหุ้นลงช่วงนี้ก็เก็บกันใหญ่ เพราะหวังว่ามันจะขึ้นตอนปลายปี
สรุป
1 สองล้านล้าน ไม่กระตุ้นศก ใช่หรือไม่ ทำไมและอย่างไร
2 ไอ่คนที่เขียนบทความนี้ มันมองอย่างรอบคอบ ครอบคลุมทั่วถึงแล้วหรือยัง ยังมีจุดที่ไม่น่าเชื่อถืออะไรอีกบ้าง

หวังว่าจะได้รับคำตอบที่น่าสนใจ
ไม่ใช่คำตอบแบบสลิ่มๆ มาเปนแพทเทิร์นเดิมๆ ประเภทโชว์แต่ความง่าวล่ะ

บทความจากมิสเตอร์พอล ดังต่อไปนี้

เมื่อวานนี้
ตอนแรกตั้งใจจะเริ่มต้นประโยคว่า ไม่ได้อยากจะด่า แต่เปลี่ยนใจครับ เพราะเจตนามันอยากจะด่าจริงๆ จะเขียนเลี่ยงไปทำไมมี เดี๋ยวโดนอภิมหาอัครราชาเสื้อแดงท่านด่ากราดว่าเป็นพวกความจิรงไม่หมด อิ อิ อิ

เรื่องที่ผมจะเล่าวันนี้คือตัวเลขส่งออกของเดือน เม.ย.56 ครับ

คร่าวๆนะครับเมื่อวันที่ 23 พ.ค กระทรวงพาณิชย์แถลง มูลค่าส่งออกเดือน เม.ย. 18,698 ล้านเหรียญ สรอ. โตขึ้น 10.52% เมื่อเทียบกับเม.ย.ปีที่แล้ว

ตัวเลขสวยเลยครับ ส่งออกยังดี แม้การบริโภคของคนในประเทศจะลดลง GDP ก็น่าจะยังดีอยู่

แต่ให้หลังมาอีกไม่กี่วัน คือเมื่อ 31 พ.ค. กระทรวงพานิชย์ประกาศแก้ไขตัวเลขการส่งออกเดือน เม.ย. เป็นเหลือแค่ 17,409 เหรียญ สรอ. หรือโตแค่ 2.89% เมื่อเทียบกับ เม.ย. ปีที่แล้ว

ก็ยังโตใช่มั้ยครับ แต่ลืมอะไรมั้ยเอ่ย ติ๊ก ต่อก ติ๊ก ต่อก ถูกแล้วครับ ค่าเงินบาทแข็งครับ การส่งออกโตแค่ 3%ในรูปเงินดอลลาห์ แต่เม็ดเงินที่เข้าประเทศในรูปเงินบาทเหลือแค่ 506,210 ล้านบาท ลดลงจาก เม.ย.ปีที่แล้ว(-1.89%)

ทีนี้หล่ะครับ พอตัวเงินลดก็เป็นเรื่อง เงินนำเข้าลดลงก็แปลว่า GDP ของประเทศก็จะน้อยลงกว่าปีที่แล้ว ประมาณการ GDP ที่คุยไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะคงระดับเกิน 5% ได้ก็น่าจะไม่ถึง

แล้วการที่นายกแถลงต่อสภาว่า ประเทศจะดำรงการเติบโตทางเศรษฐกิจเกิน 5% ก็ไม่จริง ประมาณการไม่จริงงบประมาณก็ไม่สอดคล้อง โอ๊ว โอ๊ว โอ๊ว มัวแต่ไปจับผิดสามจุดสิบ สามจุดหนึ่งศูนย์ เป็นไงหล่ะครับ

ตัวเลขออกเมื่อ 23 พ.ค. นายกแถลง พรบ.งบประมาณเมื่อ 29 พ.ค. บอกว่า เศรษฐกิจจะโตสูงสุดถึง 5.2% และบอกว่ายังมีปัจจัยบวกอย่างต่อเนื่อง จึงทำงบมาอย่างที่เห็น

ประชาชนชาวไทยครับ สองวันหลังจากนายกเอางบประมาณปี 57ที่คิดว่าประเทศไม่มีปัญหาเศรษฐกิจเข้าสภา ก.พานิชย์เปลี่ยนตัวเลขส่งออกครับ

ข้ออ้างเหรอครับ อธิบดี กรมศุลกากรบอกว่า เจ้าหน้าที่คีย์ข้อมูลผิดครับ คีย์มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้ารายการหนึ่งไปฮ่องกง จาก 300,000 บาท เป็น 30,000,000,000 บาทครับ อ่านไม่ผิดครับ สามแสน เป็นสามหมื่นล้าน รายการเดียว เอกสารเดียว

ถามว่าเคยเป็นแบบนี้มั้ย เคยครับเมื่อ ก.ค. 2555 สมัย ยรรยงค์ พวงราช ก็เกิดครับ แต่ตอนนั้น จนท.ใช้อัตราแลกเปลี่ยนผิดเดือน (จนท. ทำตัวเลขระดับประเทศแบบนี้ อยากเห็นหน้าจังว่าใคร)

ซึ่งความผิดพลาดตรงนั้น ไม่ได้ส่งผลต่อระดับความเชื่อมั่นเท่ากับความผิดพลาดในวันนี้

รัฐบาลไทยรักไทยภายใต้การนำของทักษิณ ดังในเรื่องอะไรครับ เรื่องเศรษฐกิจใช่มั้ยครับ ไปทางไหนคนก็หน้าบาน เศรษฐกิจเติบโต เพราะอะไรครับ กระตุ้น กระตุ้น กระตุ้น ไงครับ

การกระตุ้นแบบนี้เหมือนจะดีนะครับ เมื่อเทียบกับการบริหารแบบเทคโนแครตหรือนักวิชาการในสมัยก่อนที่มัวแต่มองเสถียรภาพ เงินออมประชาชน อัตราเงินเฟ้อ ตัวเลขแบบนี้จับต้องไม่ได้หรอกครับ มือถือใหม่ รถใหม่ บ้านใหม่ต่างหากที่จับต้องได้ ผมไม่เถียงว่าความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ประโชยน์ต่อรากหญ้าจริงๆหล่ะครับเป็นเช่นไร

การกระตุ้นเศรษฐกิจมากๆ สุดท้ายมันเป็นกับดักครับ (ไปหาอ่านงานเก่าๆผมเอาเรื่องกับดักของเคนย์) กระตุ้นให้ตายก็ไม่สามารถบริโภคได้ ภาคครัวเรือนไม่โตตาม ตอนนี้มันเกิดแล้วครับ การบริโภคภาคครัวเรือนลดลง เงินออมลดลง แล้วกระตุ้นไปใครโตครับ ตลาดหุ้นโตครับ คนชั้นกลางที่คำผกาชอบด่า ที่เสื้อแดงเรียกว่าสลิ่มโตครับ คนชั้นกลางกินเงินเดือนที่เอาเงินไปซื้อกองทุนต่างๆรวยครับ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์รวยครับ ดัชนี 300 กว่าจุด ในปีที่ทักษิณบริหารประเทศ มาวันนี้ 1,500 กว่าจุด โตขึ้น 5 เท่าครับ ปตท. รวยขึ้น มากกว่า 10 เท่าครับ บ.ในเครือชินวัตร รวยขึ้นสิบกว่าเท่าครับ

รากหญ้าหล่ะครับ เฉาครับ หนี้ภาคครัวเรือนเป็น 0.82 ของรายได้ โตทะลุเพดานตั้งแต่ปี 2554 หมายความว่า รายได้ 100 บาทกล้ากู้ถึง 82 บาท ใครไปสอนให้เค้ากล้าขนาดนั้น ครับ
ตั้งแต่ปรับค่าแรงขั้นต่ำ สศช. วิจัยมาแล้วว่า รายได้ที่แท้จริง (หักเงินเฟ้อ) ของครัวเรือนที่จนเพิ่มขึ้น 10.4% แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 15.9% นี่ไงครับสาเหตุที่ต้องกู้ ส่วนเงินออมเหรอครับ เงินออมรายย่อย 20 ล้านครอบครัว มีเงินออมรวมกัย ห้าแสนล้านบาทกว่าๆ

รายได้เพิ่มแต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มกว่า หนี้โต ออมลด นี้เหรอคือมาตรการการกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่เป็นจุดขายของทักษิโณมิกส์

ตลาดหลักทรัพย์โต เพราะพวกคุณลดภาษีนิติบุคคล เศรษฐี พรรคพวกรัฐบาล กับชนชั้นกลางยิ่งระดมเงินออมไปลงทุน เศรษฐกิจที่ไหนจะถูกกระตุ้น ชนชั้นกลางคือท่อแรงดันสูง ถ้าคุณทำให้เค้ามั่นใจเค้าจะใช้จ่ายอย่างมหาศาล แต่วันนี้ คุณดูแลชนชั้นกลางอย่างไร

ตกลงยังคิดว่ามาตรการต่างๆที่อ้างว่ากระตุ้น เศรษฐกิจเนี่ยมันกระตุ้นจริงเหรอครับ

คนชั้นกลาง สลิ่มได้ประโยชน์แล้วทำไมออกมาด่ากันครับ เพราะเค้ากลัวไงครับ เพราะเค้าไม่มั่นใจในเสถียรภาพของประเทศไงครับ เค้าสงสัยครับว่าทำไมคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ยอมออมกัน ทำไมจับจ่ายใช้สอยโดยเงินกู้ที่ภาครัฐสปอยล์ให้ จับจ่ายใช้สอยโดยรายได้ที่เกินปรกติจากการสนับสนุนจากภาครัฐ

สลิ่มบ้าเหรอครับ ชนชั้นกลางไทยคลั่งใช่มั้ยครับ ครับพวกเราบ้าไปแล้วครับ พวกเรากำลังคลั่ง พวกเรากำลังสงสัย พวกคุณกำลังทำอะไรกับประเทศของ"เรา" ครับ

ผมไม่ได้อยากให้คนจนจนต่อไป ผมไม่ได้อยากให้รากหญ้าเป็นรากหญ้าต่อไป ถ้าประเทศนี้จะเติบโตเป็นไม้ยืนต้น พวกคุณก็ต้องเป็นรากของไม้ใหญ่ไม่ใช่รากของหญ้า แต่วันนี้ต้นไม้ใหญ่เค้าก็ไม่ให้คุณเอี่ยว มีแต่ชนชั้นกลางเท่านั้นที่มีโอกาสไปแอบอิงต้นไม้ใหญ่ผ่านตลาดทุน

ตลอดเวลา ทักษิโณมิกส์ พ่นพิษมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อธิบายยังไงก็ไม่เชื่อกันบ้าง ตัดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องออกให้หมด สถาบัน อำมาตย์ บ้าบออะไรที่สนธิ ลิ้มเคยยกมาด่าทักษิณ มุ่งไปที่อยาคตเศรษฐกิจของประเทศ

เรากำลังแย่แล้วนะครับ แย่ในที่นี้คือ เม็ดเงินที่รัฐบาลใช้ ไม่ก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกต่อไป

รัฐบาลนี้กำลังโกหกประชาชนครับ เงินกู้ สองล้านล้าน ก็จะไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ งบประมาณเข้าสู่จุดสมดุลก็ไม่จริงเพราะรัฐบาลกู้เงินนอกระบบ ตัวเลขเศรษฐกิจก็หมกเม็ดตัดต่อ

เบญจา หลุยเจริญ กรรมการบอร์ด ปตท. รองอธิบดีกรมสรรพากร ที่บอกว่าการซื้อขายหุ้นของครอบครัวชินวัตร ไม่ต้องจ่ายภาษี เพื่อนร่วมรุ่น วปอ.ของคุณอาของน้องโอ๊ค

ใครหน่ะเหรอครับ อธิบดี กรมศุลกากร ที่มีเจ้าหน้าที่คีย์ข้อมูลผิดจาก สามแสน เป็น สามหมื่นล้านไงครับ

เอวัง และวังเวง อีกแล้วใช่มั้ยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ขอตอบเป็นตอน ๆ นะครับ

หนี้ภาคครัวเรือนเป็น 0.82 ของรายได้ อันนี้คุณบิดเบือนคับ

หนี้ภาคครัวเรือนตัวเลขอยู่ที่ 78% ของจีดีพี นะครับ ไม่ใช่ 0.82 ของรายได้

แต่ตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนที่พุ่งทะยานนี้ มันสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของรายได้ในอนาคตของผู้มีเงินได้ และจากนโยบายรถคันแรกด้วยครับ

ผมขอยกตัวเลขของ สศช.มาประกอบให้ดูนะครับ

การซื้อรถยนต์ถือเป็นสินค้าคงทน ไม่ใช่หนี้ที่เกิดจากความฟุ่มเฟือย จึงไม่น่าจะทำให้เกิดปัญหาต่อหนี้ครัวเรือนในระยะยาว

ซึ่ง สศค.ยังได้ประเมินถึงสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ไม่พบปัญหาฟองสบู่อย่างที่หลายฝ่ายกังวล ซึ่งจากข้อมูลสินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์ ปี 2555 มียอดสินเชื่อรวม 11.27 ล้านล้านบาท มีการขยายตัว 15.3% หากแยกเฉพาะสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลที่คิดเป็น 25.8% ของสินเชื่อทั้งหมด มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 21.6% จากปัจจัยโครงการรถยนต์คันแรก หากไม่รวมสินเชื่อรถยนต์ จะพบว่าสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวเพียง 17.4%

สำหรับสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 1 ของปีนี้ สินเชื่อรวมขยายตัว 15.8% สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัว 20% มาจากสินเชื่อรถยนต์ หากไม่รวมสินเชื่อรถยนต์ จะทำให้สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัว 15.1% หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นไม่กระทบฐานะการดำเนินของธนาคารพาณิชย์ เพราะยังพบว่ามีหนี้เสียในอัตราที่ต่ำ โดยดูจากยอดหนี้เสียจากบัตรเครดิตในไตรมาส 1 ปี 2556 อยู่ที่ 2.2% สะท้อนว่าครัวเรือนยังมีความสามารถในการชำระหนี้ ทั้งนี้ สศค.ประเมินว่าหนี้ครัวเรือนจะเริ่มมีสัญญาณปกติหลังจากนโยบายรถคันแรกได้สิ้นสุดลงแล้ว


โตทะลุเพดานตั้งแต่ปี 2554 หมายความว่า รายได้ 100 บาทกล้ากู้ถึง 82 บาท ใครไปสอนให้เค้ากล้าขนาดนั้น ครับ
ตั้งแต่ปรับค่าแรงขั้นต่ำ สศช. วิจัยมาแล้วว่า รายได้ที่แท้จริง (หักเงินเฟ้อ) ของครัวเรือนที่จนเพิ่มขึ้น 10.4% แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 15.9% นี่ไงครับ


ดังนั้นท่อนบนที่ทำตัวหนา ผมไม่ขออธิบายต่อนะครับ

ส่วนเงินออมเหรอครับ เงินออมรายย่อย 20 ล้านครอบครัว มีเงินออมรวมกัย ห้าแสนล้านบาทกว่าๆ

คุณเคยได้ยินกฏ 80/20 ไหมครับ ผมจะอธิบายให้ฟัง นั่นคือ คนระดับบน 20% จะถือครองทรัพย์สิน 80% ของคนทั้งประเทศ

ส่วนคนทั้งประเทศประมาณ 80% จะถือครองทรัพย์สินเพียงแค่ 20% ของทั้งหมด แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่า เงินออกรายย่อยมีเงินออมรวมกันแค่ 500,000 ล้านบาท เพราะอย่าลืมว่า ยังมีเงินออมในรูปพันธบัตร ตราสารหนี้ ตั๋วสัญญาต่าง ๆ

และหากคุณเข้าเน็ตได้ เข้าเวบนี้คับ สัดส่วนหนี้เนี่ย คนกรุงเทพฯ จะมีสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเป็นอัตราส่วนสูงสุดเมื่อเทียบกับคนภาคอื่นรวมถึงภาคกลางด้วยกัน

ที่ผมอ้างถึงสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก นี่อ้างอิงถึงแค่สาขาสำนักงานในกรุงเทพฯ ของธนาคารพาณิชย์นะครับ ยังไม่รวมสำนักงานใหญ่

หากรวมสำนักงานใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าสำนักงานใหญ่ของแบงค์ต่าง ๆ อยู่ในกรุงเทพฯ ตัวเลขตรงนี้จะสูงมากไปกว่านี้อีก 3 เท่าตัว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่