คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
สงครามต่อต้านญี่ปุ่นในช่วงปี 1937-1945 นั้นทางก๊กมินตั๋งต่อสู้อย่างเต็มที่เท่าที่พอจะสามารถทำได้แล้วหน่ะครับ และพวกเขาก็สามารถยันกองทัพญี่ปุ่นให้ติดหล่มบนแผ่นดินใหญ่ได้
รัฐบาลทหารญี่ปุ่นคิดว่า พวกเขาจะเอาชนะจีนได้ภายในเวลาไม่นาน และบีบให้เจียงไคเช็คยอมมาขอเจรจามอบผลประโยชน์มหาศาลให้่แก่ญี่ปุ่นครับ
สงครามในปี 1937 นั้น ผมเชื่อว่า ญี่ปุ่นไม่ได้ต้องการยึดจีนทั้งประเทศ แต่สงครามนี้เป็นเพียงบันไดให้ญี่ปุ่นไต่เข้าใกล้การยึดจีนทั้งประเทศไปอีกขั้นเท่านั้น
รัฐบาลและกองทัพญี่ปุ่นทราบดีว่า ไม่สามารถเอาชนะจีนได้ในการทำศึกใหญ่ๆเพียงครั้งหรือสองครั้งครับ เป้าหมายจริงๆของพวกเขาคือ บีบให้เจียงไคเช็คทำสัญญาเสียเปรียบอย่างมาก เพิ่มอิทธิพลของญี่ปุ่นในจีน ลดทอนกำลังของเจียงไคเช็คและประเทศจีนลงให้มากที่สุด และรอโอกาสในสงครามใหญ่รอบหน้าเพื่อเขมือบจีนทั้งประเทศครัีบ
ปี 1937 ญี่ปุ่นทุ่มกำลังทั้งหมดโจมตีประเทศจีนอย่างกว้างขวางครับ โดยเฉพาะการโจมตีเมืองเซี่ยงไฮ้ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของจีน แต่ทว่าเจียงไคเช็คและก๊กมินตั๋งก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น การยึดครองเซี่ยงไฮ้ของญี่ปุ่นเต็มไปด้วยความยากลำบาก และต้องรบกันอย่างรุนแรงเสียหายไปฝ่ายละมากมาย
จนต้นเดือนพฤศจิกายน 1937 ญี่ปุ่นจึงยึดเซี่ยงไฮ้ได้ พร้อมๆกับความเสียหายของกองทหารชุดแรกที่ยกพลขึ้นฝั่งแบบมหาศาล (ญี่ปุ่นเสียทหารชั้นเยี่ยมไปเกือบ 1 แสนคนที่เซี่ยงไฮ้)
พอเซี่ยงไฮ้แตก ญี่ปุ่นก็พยายามรุกตีนานกิงเพื่อบีบเจียงไคเช็คต่อ แต่เจียงไคเช็คล่าถอยไปหวู๋ฮั่น และจัดตั้งแนวรับขนาดมหึมาด้วยกำลังพลกว่า 1 ล้านคน ซึ่งแม้ในปี 1938 ญี่ปุ่นจะฝ่าแนวรับที่หวู๋ฮั่นไปได้ แต่ก็เสียทหารไปอีกนับแสนคนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เจียงไคเช็คยังไม่ยอมแพ้และไม่ยอมเจรจา
นั่นทำให้ญี่ปุ่นต้องบุกต่อไปครับ ต้องเกณฑ์กำลังคนเท่าที่มีทุ่มเข้าไปในจีนเพื่อดำเนินผลการรบให้ถึงที่สุดไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม แต่ทว่าเจียงไคเช็คที่เปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการเอากำลังเข้าปะทะแบบแตกหักมาเป็นเล่นวัดความอดทนเพื่อแข่งกันว่าสายป่านใครยาวกว่า ก็สร้างความเดือดร้อนให้ญี่ปุ่นอย่างมหาศาล
ระหว่างปี 1938-40 ญี่ปุ่นทุ่มเทกำลังพลเข้าไปในจีนเกือบ 2 ล้านคน แต่ไม่สามารถรุกคืบหน้าไปได้มากนักจากดินแดนที่ยึดครองมาก่อนกลางปี 1938 ซ้ำร้ายยังประสบกับความสูญเสียอย่างหนักเรื่อยๆ ทั้งการเข้าตีเมืองฉางซาหลายครั้งที่สูญทหารไปเป็นแสนคน การต่อต้านของกองทัพชาวบ้านของจีนในดินแดนต่างๆ นั่นกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งที่รัฐบาลและชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศต้องแบกเอาไว้บนหลังครับ
ความพยายามของญี่ปุ่นคือ จัดตั้งรัฐบาลหุ่นของวังจิงวุ่ยขึ้นมาปกครองประเทศจีนในฐานะรัฐบาลใหม่ แต่ทว่ากลับถูกต่อต้่านจากประชาชนและนานาประเทศ
ญี่ปุ่นต้องเจอการบีบคั้นจากประเทศมหาอำนาจตะวันตก เพราะแน่นอนว่ามหาอำนาจตะวันตกมีผลประโยชน์ในจีนมหาศาล พวกเขายอมอยู่ร่วมกันได้เนื่องจากสหรัฐเึคยบอกว่า เราต้องกอบโกยผลประโยชน์ในจีนร่วมกันอย่างเท่าเทียม และเคารพเจ้าบ้านอย่างจีน (หุหุ) แต่เมื่อญี่ปุ่นคิดจะกินคนเดียว เลยโดนต่อต้านจากเพื่อนร่วมโต๊ะผู้หิวกระหายครับ
มหาอำนาจตะวันตกบอยคอยญี่ปุ่นและไม่ส่งน้ำมัน+แร่เหล็กให้ญี่ปุ่น ยิ่งถีบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นลงเหวไปเรื่อยๆ
การทุ่มเทกำลังพลเข้าไปในจีนอย่างไม่หยุดยั้งเหมือนเอาเงินทองไปถมเหวลึก ทำให้เริ่มมีการขาดแคลนบนเกาะญี่ปุ่นครับ ปี 1940 ชาวบ้านบนเกาะญี่ปุ่นเริ่มขาดแคลนยารักษาโรค อาหาร และเครื่องอุปโภคกันบ้างแล้ว เยาวชนจำนวนมากต้องเริ่มออกมาทำงานทดแทนคนหนุ่มที่โดนส่งไปรบ
รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามเสนอให้เจียงไคเช็คมาเจรจาครับ แต่เจียงไคเช็คยืนกระต่ายขาเดียวว่า ถอนทหารไปจากจีนก่อน แล้วค่อยมาเจรจา ซึ่งญี่ปุ่นยอมไม่ได้ (เพราะสิ่งที่ลงทุนลงแรงไป 3 ปีจะมลายสิ้นหมด) การเจรจาเลยไม่เกิดขึ้น........................
ในความเห็นของผม หากญี่ปุ่นเป็นต่อจีนแบบที่ จีนไร้หนทางต่อสู้ใดๆ รัฐบาลญี่ปุ่นจะไปอ้อนวอนให้เจียงไคเช็คมาเจรจาทำไม โลกนี้มีคนที่กำลัีงจะชนะ ขอร้องให้คนแพ้่มาเจรจาด้วยเหรอ..............
รัฐบาลทหารญี่ปุ่นคิดว่า พวกเขาจะเอาชนะจีนได้ภายในเวลาไม่นาน และบีบให้เจียงไคเช็คยอมมาขอเจรจามอบผลประโยชน์มหาศาลให้่แก่ญี่ปุ่นครับ
สงครามในปี 1937 นั้น ผมเชื่อว่า ญี่ปุ่นไม่ได้ต้องการยึดจีนทั้งประเทศ แต่สงครามนี้เป็นเพียงบันไดให้ญี่ปุ่นไต่เข้าใกล้การยึดจีนทั้งประเทศไปอีกขั้นเท่านั้น
รัฐบาลและกองทัพญี่ปุ่นทราบดีว่า ไม่สามารถเอาชนะจีนได้ในการทำศึกใหญ่ๆเพียงครั้งหรือสองครั้งครับ เป้าหมายจริงๆของพวกเขาคือ บีบให้เจียงไคเช็คทำสัญญาเสียเปรียบอย่างมาก เพิ่มอิทธิพลของญี่ปุ่นในจีน ลดทอนกำลังของเจียงไคเช็คและประเทศจีนลงให้มากที่สุด และรอโอกาสในสงครามใหญ่รอบหน้าเพื่อเขมือบจีนทั้งประเทศครัีบ
ปี 1937 ญี่ปุ่นทุ่มกำลังทั้งหมดโจมตีประเทศจีนอย่างกว้างขวางครับ โดยเฉพาะการโจมตีเมืองเซี่ยงไฮ้ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของจีน แต่ทว่าเจียงไคเช็คและก๊กมินตั๋งก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น การยึดครองเซี่ยงไฮ้ของญี่ปุ่นเต็มไปด้วยความยากลำบาก และต้องรบกันอย่างรุนแรงเสียหายไปฝ่ายละมากมาย
จนต้นเดือนพฤศจิกายน 1937 ญี่ปุ่นจึงยึดเซี่ยงไฮ้ได้ พร้อมๆกับความเสียหายของกองทหารชุดแรกที่ยกพลขึ้นฝั่งแบบมหาศาล (ญี่ปุ่นเสียทหารชั้นเยี่ยมไปเกือบ 1 แสนคนที่เซี่ยงไฮ้)
พอเซี่ยงไฮ้แตก ญี่ปุ่นก็พยายามรุกตีนานกิงเพื่อบีบเจียงไคเช็คต่อ แต่เจียงไคเช็คล่าถอยไปหวู๋ฮั่น และจัดตั้งแนวรับขนาดมหึมาด้วยกำลังพลกว่า 1 ล้านคน ซึ่งแม้ในปี 1938 ญี่ปุ่นจะฝ่าแนวรับที่หวู๋ฮั่นไปได้ แต่ก็เสียทหารไปอีกนับแสนคนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เจียงไคเช็คยังไม่ยอมแพ้และไม่ยอมเจรจา
นั่นทำให้ญี่ปุ่นต้องบุกต่อไปครับ ต้องเกณฑ์กำลังคนเท่าที่มีทุ่มเข้าไปในจีนเพื่อดำเนินผลการรบให้ถึงที่สุดไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม แต่ทว่าเจียงไคเช็คที่เปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการเอากำลังเข้าปะทะแบบแตกหักมาเป็นเล่นวัดความอดทนเพื่อแข่งกันว่าสายป่านใครยาวกว่า ก็สร้างความเดือดร้อนให้ญี่ปุ่นอย่างมหาศาล
ระหว่างปี 1938-40 ญี่ปุ่นทุ่มเทกำลังพลเข้าไปในจีนเกือบ 2 ล้านคน แต่ไม่สามารถรุกคืบหน้าไปได้มากนักจากดินแดนที่ยึดครองมาก่อนกลางปี 1938 ซ้ำร้ายยังประสบกับความสูญเสียอย่างหนักเรื่อยๆ ทั้งการเข้าตีเมืองฉางซาหลายครั้งที่สูญทหารไปเป็นแสนคน การต่อต้านของกองทัพชาวบ้านของจีนในดินแดนต่างๆ นั่นกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งที่รัฐบาลและชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศต้องแบกเอาไว้บนหลังครับ
ความพยายามของญี่ปุ่นคือ จัดตั้งรัฐบาลหุ่นของวังจิงวุ่ยขึ้นมาปกครองประเทศจีนในฐานะรัฐบาลใหม่ แต่ทว่ากลับถูกต่อต้่านจากประชาชนและนานาประเทศ
ญี่ปุ่นต้องเจอการบีบคั้นจากประเทศมหาอำนาจตะวันตก เพราะแน่นอนว่ามหาอำนาจตะวันตกมีผลประโยชน์ในจีนมหาศาล พวกเขายอมอยู่ร่วมกันได้เนื่องจากสหรัฐเึคยบอกว่า เราต้องกอบโกยผลประโยชน์ในจีนร่วมกันอย่างเท่าเทียม และเคารพเจ้าบ้านอย่างจีน (หุหุ) แต่เมื่อญี่ปุ่นคิดจะกินคนเดียว เลยโดนต่อต้านจากเพื่อนร่วมโต๊ะผู้หิวกระหายครับ
มหาอำนาจตะวันตกบอยคอยญี่ปุ่นและไม่ส่งน้ำมัน+แร่เหล็กให้ญี่ปุ่น ยิ่งถีบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นลงเหวไปเรื่อยๆ
การทุ่มเทกำลังพลเข้าไปในจีนอย่างไม่หยุดยั้งเหมือนเอาเงินทองไปถมเหวลึก ทำให้เริ่มมีการขาดแคลนบนเกาะญี่ปุ่นครับ ปี 1940 ชาวบ้านบนเกาะญี่ปุ่นเริ่มขาดแคลนยารักษาโรค อาหาร และเครื่องอุปโภคกันบ้างแล้ว เยาวชนจำนวนมากต้องเริ่มออกมาทำงานทดแทนคนหนุ่มที่โดนส่งไปรบ
รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามเสนอให้เจียงไคเช็คมาเจรจาครับ แต่เจียงไคเช็คยืนกระต่ายขาเดียวว่า ถอนทหารไปจากจีนก่อน แล้วค่อยมาเจรจา ซึ่งญี่ปุ่นยอมไม่ได้ (เพราะสิ่งที่ลงทุนลงแรงไป 3 ปีจะมลายสิ้นหมด) การเจรจาเลยไม่เกิดขึ้น........................
ในความเห็นของผม หากญี่ปุ่นเป็นต่อจีนแบบที่ จีนไร้หนทางต่อสู้ใดๆ รัฐบาลญี่ปุ่นจะไปอ้อนวอนให้เจียงไคเช็คมาเจรจาทำไม โลกนี้มีคนที่กำลัีงจะชนะ ขอร้องให้คนแพ้่มาเจรจาด้วยเหรอ..............
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
ถ้าถามว่าทำไม เจียงไคเช็คไม่ลงมือสู้กับญี่ปุ่นตั้งแต่กองทัพกวานตงยึดแมนจูเรียในปี 1932 ?
ผมมองว่าอย่างนี้ครับ
1. เจียงไคเช็คเองก็อยากจะบั่นทอนกำลังของพวกขุนศึกทางเหนือเหมือนกันครับ
แมนจูเรียและเรอะเหอ เป็นฐานทัพของพวกขุนศึกเป่ยหยางเก่า ที่ยอมมาร่วมกับรัฐบาลก๊กมินตั๋งก็เพราะผลประโยชน์ล้วนๆ (โดยมีฝงอี้เซียงเป็นแกนนำ) ซึ่งพวกเขาครอบครองดินแดนกว้างขวางและมีกำลังพลมหาศาลครับ (อย่างจางโซ่วเหลียง มีกำลังทหารในบัญชาตั้งเกือบ 2 แสนคน)
เจียงไคเช็คเองก็ไม่ไว้วางใจความภักดีของพวกขุนศึกเรอะเหอมากนัก การที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองฐานทัพของพวกขุนศึกเรอะเหอ เลยเป็นการช่วยเจียงไคเช็คขจัดเสี้ยนหนามไปส่วนหนึ่ง พวกขุนศึกเรอะเหอเลยไม่มีฐานทัพอีกแล้ว และต้องล่าถอยลงใต้มาขอพึ่งพิงเจียงไคเช็คอย่างเต็มตัวครับ
2. การที่เจียงทำท่านิ่งเฉยไม่ส่งกองทัพไปเปิดศึกกับญี่ปุ่นในปี 1931-32 ตามที่จางเซี่ยเหลียงขอความช่วยเหลือ และชาวจีนจำนวนมากเรียกร้องนั้น เพราะเจียงเองก็คงทราบดีครับว่า มีความเป็นไปได้น้อยมากที่กองทัพก๊กมินตั๋งในตอนนั้นจะเอาชนะกองทัพกวานตงได้
ในตอนนั้นสันนิบาตชาติเกิดขึ้นมาแล้ว และการใช้กำลังเข้ายึดดินแดนแบบสมัยศตวรรษที่ 19 ก็ไม่ได้รับการยอมรับในเวทีนานาชาติอีกต่อไปครับ ดังนั้นการเข้ายึดครองแมนจูเรียของญี่ปุ่นจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ และเจียงสามารถใช้การต่อสู้ทางการทูตเพื่อเอาแมนจูเรียคืนได้ (เจียงก็กระทำจริงๆ ด้วยการร้องเรียนไปยังสันนิบาติชาติให้กดดันญี่ปุ่น) ซึ่งตรงนี้เท่ากับว่า ในทางนิตินัยแมนจูเรียและเรอะเหอยังคงเป็นดินแดนของจีนที่ญี่ปุ่นยึดเอาไปโดยมิชอบครับ
แต่หากเจียงยกทัพไปรบกับญี่ปุ่น และแพ้ก็จะค้องโดนบีบให้ลงนามในสนธิสัญญาที่ต้องยกแมนจูเรีย-เรอะเหอให้ญี่ปุ่นอย่างแน่นอน และนี่แลที่จะทำให้จีนต้องเสียแมนจูเรียไปทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย
หรือต่อให้โชคดี เจียงสามารถรบชนะญี่ปุ่นได้ (ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมาก) กองทัพก๊กมินตั๋งจะเสียหายหนัก และเจียงอาจจะไม่สามารถควบคุมเหล่าขุนศึกทั่วแผ่นดินให้อยู่ใต้อานัติได้อีก
3. ตอนปี 1931-32 นั้น จริงๆก๊กมินตั๋งมีฐานอำนาจจริงๆแค่ในเจียงสูและเจ๋อเจียงบางส่วนเองครับ เจียงไคเช็คมีกำลังพลจริงๆแค่ 5-6 แสนคน ที่เป็นคนของโรงเรียนทหารหวงผู่ ที่เหลือเป็นเขตยึดครองของพวกขุนศึกสารพัดแก๊งค์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าขุนศึกท้งหลายยอมให้เจียงไคเช็คเป็นพี่ใหญ่
ถ้าหากเจียงเกิดเปิดศึกกับญี่ปุ่นและแพ้ (ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง) พวกขุนศึกมีหรือจะไม่ฉกฉวยโอกาสตั้งตนเป็นใหญ่หรือยึดอำนาจของเจียงเสีย (เพราะเจียงจะกลายเป็นผู้แพ้และต้องลงนามในสนธิสัญญาขายชาติที่ญี่ปุ่นเรียกร้องมา ชื่อเสียงของเจียงจะป่นปี้ไม่มีชิ้นดี และหมดความชอบธรรมในฐานะประมุขของรัฐบาลไปอีกด้วย)
ดังนั้นผมเลยสรุปว่า ไม่ใช่เจียงไม่อยากรบกับญี่ปุ่น แต่เจียงดีดลูกคิดแล้ว รบชนะก็เสีย รบแพ้ก็เสีย อยู่เฉยๆมันดีกว่า ฝากให้ญี่ปุ่นดูแลแมนจูเรียไปก่อน รอไว้เจียงมี่กองทัพสมบูรณ์ค่อยไปตีคืนอีกสิบปีก็ไม่สาย
ผมมองว่าอย่างนี้ครับ
1. เจียงไคเช็คเองก็อยากจะบั่นทอนกำลังของพวกขุนศึกทางเหนือเหมือนกันครับ
แมนจูเรียและเรอะเหอ เป็นฐานทัพของพวกขุนศึกเป่ยหยางเก่า ที่ยอมมาร่วมกับรัฐบาลก๊กมินตั๋งก็เพราะผลประโยชน์ล้วนๆ (โดยมีฝงอี้เซียงเป็นแกนนำ) ซึ่งพวกเขาครอบครองดินแดนกว้างขวางและมีกำลังพลมหาศาลครับ (อย่างจางโซ่วเหลียง มีกำลังทหารในบัญชาตั้งเกือบ 2 แสนคน)
เจียงไคเช็คเองก็ไม่ไว้วางใจความภักดีของพวกขุนศึกเรอะเหอมากนัก การที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองฐานทัพของพวกขุนศึกเรอะเหอ เลยเป็นการช่วยเจียงไคเช็คขจัดเสี้ยนหนามไปส่วนหนึ่ง พวกขุนศึกเรอะเหอเลยไม่มีฐานทัพอีกแล้ว และต้องล่าถอยลงใต้มาขอพึ่งพิงเจียงไคเช็คอย่างเต็มตัวครับ
2. การที่เจียงทำท่านิ่งเฉยไม่ส่งกองทัพไปเปิดศึกกับญี่ปุ่นในปี 1931-32 ตามที่จางเซี่ยเหลียงขอความช่วยเหลือ และชาวจีนจำนวนมากเรียกร้องนั้น เพราะเจียงเองก็คงทราบดีครับว่า มีความเป็นไปได้น้อยมากที่กองทัพก๊กมินตั๋งในตอนนั้นจะเอาชนะกองทัพกวานตงได้
ในตอนนั้นสันนิบาตชาติเกิดขึ้นมาแล้ว และการใช้กำลังเข้ายึดดินแดนแบบสมัยศตวรรษที่ 19 ก็ไม่ได้รับการยอมรับในเวทีนานาชาติอีกต่อไปครับ ดังนั้นการเข้ายึดครองแมนจูเรียของญี่ปุ่นจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ และเจียงสามารถใช้การต่อสู้ทางการทูตเพื่อเอาแมนจูเรียคืนได้ (เจียงก็กระทำจริงๆ ด้วยการร้องเรียนไปยังสันนิบาติชาติให้กดดันญี่ปุ่น) ซึ่งตรงนี้เท่ากับว่า ในทางนิตินัยแมนจูเรียและเรอะเหอยังคงเป็นดินแดนของจีนที่ญี่ปุ่นยึดเอาไปโดยมิชอบครับ
แต่หากเจียงยกทัพไปรบกับญี่ปุ่น และแพ้ก็จะค้องโดนบีบให้ลงนามในสนธิสัญญาที่ต้องยกแมนจูเรีย-เรอะเหอให้ญี่ปุ่นอย่างแน่นอน และนี่แลที่จะทำให้จีนต้องเสียแมนจูเรียไปทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย
หรือต่อให้โชคดี เจียงสามารถรบชนะญี่ปุ่นได้ (ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมาก) กองทัพก๊กมินตั๋งจะเสียหายหนัก และเจียงอาจจะไม่สามารถควบคุมเหล่าขุนศึกทั่วแผ่นดินให้อยู่ใต้อานัติได้อีก
3. ตอนปี 1931-32 นั้น จริงๆก๊กมินตั๋งมีฐานอำนาจจริงๆแค่ในเจียงสูและเจ๋อเจียงบางส่วนเองครับ เจียงไคเช็คมีกำลังพลจริงๆแค่ 5-6 แสนคน ที่เป็นคนของโรงเรียนทหารหวงผู่ ที่เหลือเป็นเขตยึดครองของพวกขุนศึกสารพัดแก๊งค์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าขุนศึกท้งหลายยอมให้เจียงไคเช็คเป็นพี่ใหญ่
ถ้าหากเจียงเกิดเปิดศึกกับญี่ปุ่นและแพ้ (ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง) พวกขุนศึกมีหรือจะไม่ฉกฉวยโอกาสตั้งตนเป็นใหญ่หรือยึดอำนาจของเจียงเสีย (เพราะเจียงจะกลายเป็นผู้แพ้และต้องลงนามในสนธิสัญญาขายชาติที่ญี่ปุ่นเรียกร้องมา ชื่อเสียงของเจียงจะป่นปี้ไม่มีชิ้นดี และหมดความชอบธรรมในฐานะประมุขของรัฐบาลไปอีกด้วย)
ดังนั้นผมเลยสรุปว่า ไม่ใช่เจียงไม่อยากรบกับญี่ปุ่น แต่เจียงดีดลูกคิดแล้ว รบชนะก็เสีย รบแพ้ก็เสีย อยู่เฉยๆมันดีกว่า ฝากให้ญี่ปุ่นดูแลแมนจูเรียไปก่อน รอไว้เจียงมี่กองทัพสมบูรณ์ค่อยไปตีคืนอีกสิบปีก็ไม่สาย
ความคิดเห็นที่ 12
เมื่อสถานการณ์ในจีนมีแต่ทรงกับทรุด รัฐบาลญี่ปุ่นมองไม่เห็นหนทางแล้วว่าจะเอาชนะเจียงไคเช็คได้อย่างไร ผนวกกับการถูกบีบจากมหาอำนาจตะวันตกจนหน้าเขียว ญี่ปุ่นจึงตัดสินใจที่จะทุ่มเททุกอย่างเดิมพันกับสงครามครั้งใหม่ครับ
- ปี 1940 สถานการณ์ในยุโรปนั้น กระแสของสงครามอยู่ในกำมือของเยอรมัน ฝรั่งเศสต้องหนีไปตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นบนเกาะอังกฤษ แผ่นดินใหญ่กลายเป็นรัฐบาลวิชชี่ที่อยู่ใต้การควบคุมของเยอรมัน, สัมพันธมิตรในยุโรปล้วนไร้กำลังจะมาดูแลอาณานิึคม นี่เป็นช่องว่างทางสุญญากาศที่ญี่ปุ่นจ้องมองอยู่
- ญี่ปุ่นในตอนนั้น เริ่มขาดแคลนยุทธปัจจัย หากจะทำสงครามต่อไปให้ยาวนาน ญี่ปุ่นต้องการวัตถุดิบครับ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีวัตถุดิบมากพอ เจ้าบ้านเขาก็วุ่นๆกับเรื่องทางโน้น.........จะเอากำลังที่ไหนมาต้านญี่ปุ่น
- ประชาชนชาวญี่ปุ่นเริ่มเบื่อหน่ายกับข่าวการศึกในจีนที่ไม่มีอะไรคืบหน้า ความฮึกเหิมแบบในปี 1937-38 เริ่มมอดลงไปทีละน้อยทีละน้อย ในตอนนั้นญี่ปุ่นรบต่อได้ด้วยกำลังใจและการสนับสนุนของประชาชนครับ หากประชาชนเริ่มทนไม่ไหวกับข่าวสงครามที่ไร้ผลสำเร็จ และเลิกสนับสนุน รัฐบาลทหารของญี่ปุ่นก็อยู่ไม่ได้
รัฐบาลทหารญี่ปุ่นจึงต้องการสร้างแรงผลักดันหรือกำลังใจใหม่ๆให้แก่ประชาชนและทหาร ด้วยชัยชนะหรือข่าวดีอะไรก็ได้
ปัจจัยทั้งหมด ทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจ เทหมดหน้าตัก ระดมสรรพวุธประดามีที่สะสมเอาไว้ เพื่อขยายแนวรบของสงครามออกไปครับ ซึ่งญี่ปุ่นก็คงจะต้องทำ ก่อนที่ทุนรอนที่มีจะหมดไปกับสงครามในจีนเสียก่อน
แต่ทว่า สิ่งที่ขัดคอญี่ปุ่นอยู่คือสหรัฐครับ สหรัฐเป็นมหาอำนาจแห่งแปซิคฟิกคู่กับญี่ปุ่น เป็นชาติเดียวที่ยังไม้่ได้เข้าสงคราม และมีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แบบที่ญี่ปุ่นเทียบไม่ได้ ถ้ารบกันจริงๆแบบตรงๆ ญี่ปุ่นก็ทราบดีว่า ตนไม่มีทางเอาชนะสหรัฐได้ และหากญี่ปุ่นบุกอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐจะไม่นิ่งเฉยดูดินแดนเหล่านั้นหลุดมือไปแน่นอน ญี่ปุ่นจึงต้องกันสหรัฐออกไปก่อนจะกระทำการใดๆกับเอเชียบูรพาครับ
ดังนั้นญี่ปุ่นจึงโจมตีเพริ์ลฮาร์เบอร์ในวันที่ 7 ธันวาคม
วันที่ 8 ธันวาคมก็บุกฮ่องกง, วันที่ 10 ธันวาคมก็บุกมาเลเซียและสิงค์โปร์, วันที่ 8 ธันวาคม บุกประเทศไทย ซึ่งการยึดครองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับการโจมตีสหรัฐ ก็เป็นแผนที่ถูกกระทำขึ้นพร้อมๆกัน เพื่อให้ส่งผลต่อเนื่องถึงกันและกันอยู่แล้ว
- ปี 1940 สถานการณ์ในยุโรปนั้น กระแสของสงครามอยู่ในกำมือของเยอรมัน ฝรั่งเศสต้องหนีไปตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นบนเกาะอังกฤษ แผ่นดินใหญ่กลายเป็นรัฐบาลวิชชี่ที่อยู่ใต้การควบคุมของเยอรมัน, สัมพันธมิตรในยุโรปล้วนไร้กำลังจะมาดูแลอาณานิึคม นี่เป็นช่องว่างทางสุญญากาศที่ญี่ปุ่นจ้องมองอยู่
- ญี่ปุ่นในตอนนั้น เริ่มขาดแคลนยุทธปัจจัย หากจะทำสงครามต่อไปให้ยาวนาน ญี่ปุ่นต้องการวัตถุดิบครับ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีวัตถุดิบมากพอ เจ้าบ้านเขาก็วุ่นๆกับเรื่องทางโน้น.........จะเอากำลังที่ไหนมาต้านญี่ปุ่น
- ประชาชนชาวญี่ปุ่นเริ่มเบื่อหน่ายกับข่าวการศึกในจีนที่ไม่มีอะไรคืบหน้า ความฮึกเหิมแบบในปี 1937-38 เริ่มมอดลงไปทีละน้อยทีละน้อย ในตอนนั้นญี่ปุ่นรบต่อได้ด้วยกำลังใจและการสนับสนุนของประชาชนครับ หากประชาชนเริ่มทนไม่ไหวกับข่าวสงครามที่ไร้ผลสำเร็จ และเลิกสนับสนุน รัฐบาลทหารของญี่ปุ่นก็อยู่ไม่ได้
รัฐบาลทหารญี่ปุ่นจึงต้องการสร้างแรงผลักดันหรือกำลังใจใหม่ๆให้แก่ประชาชนและทหาร ด้วยชัยชนะหรือข่าวดีอะไรก็ได้
ปัจจัยทั้งหมด ทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจ เทหมดหน้าตัก ระดมสรรพวุธประดามีที่สะสมเอาไว้ เพื่อขยายแนวรบของสงครามออกไปครับ ซึ่งญี่ปุ่นก็คงจะต้องทำ ก่อนที่ทุนรอนที่มีจะหมดไปกับสงครามในจีนเสียก่อน
แต่ทว่า สิ่งที่ขัดคอญี่ปุ่นอยู่คือสหรัฐครับ สหรัฐเป็นมหาอำนาจแห่งแปซิคฟิกคู่กับญี่ปุ่น เป็นชาติเดียวที่ยังไม้่ได้เข้าสงคราม และมีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แบบที่ญี่ปุ่นเทียบไม่ได้ ถ้ารบกันจริงๆแบบตรงๆ ญี่ปุ่นก็ทราบดีว่า ตนไม่มีทางเอาชนะสหรัฐได้ และหากญี่ปุ่นบุกอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐจะไม่นิ่งเฉยดูดินแดนเหล่านั้นหลุดมือไปแน่นอน ญี่ปุ่นจึงต้องกันสหรัฐออกไปก่อนจะกระทำการใดๆกับเอเชียบูรพาครับ
ดังนั้นญี่ปุ่นจึงโจมตีเพริ์ลฮาร์เบอร์ในวันที่ 7 ธันวาคม
วันที่ 8 ธันวาคมก็บุกฮ่องกง, วันที่ 10 ธันวาคมก็บุกมาเลเซียและสิงค์โปร์, วันที่ 8 ธันวาคม บุกประเทศไทย ซึ่งการยึดครองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับการโจมตีสหรัฐ ก็เป็นแผนที่ถูกกระทำขึ้นพร้อมๆกัน เพื่อให้ส่งผลต่อเนื่องถึงกันและกันอยู่แล้ว
ความคิดเห็นที่ 15
แต่หลังปี 1932 ทางก๊กมินตั๋งเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อการคุกคามของรัฐบาลทหารญี่ปุ่นครับ ก๊กมินตั๋งพยายามก่อตั้งกองทัพขนาดใหญ่โดยร่วมมือกับนาซีเยอรมันเพื่อทำการฝึกทหารใหม่ และจัดซื้ออาวุธใหม่ๆเข้าประจำในกองทัพครับ
กองทัพใหม่ของก๊กมินตั๋งขยายกำลังพลเร็วมาก แค่ไม่กี่ปีก็มีจำนวนทหารไม่น้อยกว่า 10 กองพล ที่ได้รับการฝึกแบบกองทัพเยอรมัน มีการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญหรือนักการทหารกับเยอรมันและโซเวียตอย่างต่อเนื่องครับ
ผมมองว่าทางญี่ปุ่นเองก็ชักจะไม่ไว้วางใจทางก๊กมินตั๋งเหมือนกันครับ รัฐบาลทหารญี่ปุ่นเกรงว่าหากเนิ่นนานไป ดุลย์อำนาจในตะวันออกไกลอาจจะเปลี่ยนหรือถูกท้าทายก็ได้
ญี่ปุ่นทราบดีว่า จีนมีศักยภาพจะขยายกองทัพได้อย่างรวดเร็ว และหากปล่อยไว้เจียงไคเช็ตกับกองทัพใหม่ของเขาจะสามารถปราบปรามขุนศึกภูธรทั้งหลายได้หมด และเจียงจะสามารถยึดอำนาจปกครองประเทศอย่างแท้จริงมาได้ ถึงตอนนั้นญี่ปุ่นจะบุกจีนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไปครับ นั่นทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจหาเหตุให้เกิดสงครามในปี 1937 เข้าทำนองว่าชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ
กองทัพใหม่ของก๊กมินตั๋งขยายกำลังพลเร็วมาก แค่ไม่กี่ปีก็มีจำนวนทหารไม่น้อยกว่า 10 กองพล ที่ได้รับการฝึกแบบกองทัพเยอรมัน มีการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญหรือนักการทหารกับเยอรมันและโซเวียตอย่างต่อเนื่องครับ
ผมมองว่าทางญี่ปุ่นเองก็ชักจะไม่ไว้วางใจทางก๊กมินตั๋งเหมือนกันครับ รัฐบาลทหารญี่ปุ่นเกรงว่าหากเนิ่นนานไป ดุลย์อำนาจในตะวันออกไกลอาจจะเปลี่ยนหรือถูกท้าทายก็ได้
ญี่ปุ่นทราบดีว่า จีนมีศักยภาพจะขยายกองทัพได้อย่างรวดเร็ว และหากปล่อยไว้เจียงไคเช็ตกับกองทัพใหม่ของเขาจะสามารถปราบปรามขุนศึกภูธรทั้งหลายได้หมด และเจียงจะสามารถยึดอำนาจปกครองประเทศอย่างแท้จริงมาได้ ถึงตอนนั้นญี่ปุ่นจะบุกจีนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไปครับ นั่นทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจหาเหตุให้เกิดสงครามในปี 1937 เข้าทำนองว่าชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ
ความคิดเห็นที่ 13
ปัญหาจริงๆของก๊กมินตั๋งในสงครามรบกับญี่ปุ่นคือ ก๊กมินตั๋งเองมีกำลังพลน้อยเกินไปหน่อย
แม้พรรคก๊กมินตั๋งจะปกครองประเทศจีนมากว่า 10 ปีแล้วในปี 1937 แต่อำนาจแท้จริงของก๊กมินตั๋งก็ยังจำกัดมากทีเดียวครับ เจียงไคเช็คมีกำลังทหารจากโรงเรียนทหารหวงผู่ที่เป็นกองทัพชั้นเยี่ยมและจงรักภักดีที่สุดอย่างมากก็ราวๆ 4-5 แสนคนครับ กำลังทหารที่เหลือนั้นจะตกอยู่ในมือของเหล่าขุนศึกมณฑลต่างๆ ซึ่งมีกำลังทหารรวมราวๆ 1-1.3 ล้านคน
- ผลของการรบชัดเจนมากใน 5 มณฑลของจีนกลาง ที่กองทัพของเหล่าขุนศึกประสบความล้มเหลวในการต้านกองทัพญี่ปุ่นครับ เพราะพวกเขาไม่พร้อมรบ หรือไม่ตั้งใจรบ อาวุธก็มีประสิทธิภาพแย่ กำลังทหารก็มีขวัญกำลังใจตกต่ำมาก และในที่สุดขุนศึกภาคเหนือหลายๆคนก็แปรพักตร์ไปเป็นกองทหารหุ่นให้ทัพญี่ปุ่นไปเสีย
- เจียงไคเช็คส่งกองทัพก๊กมินตั๋งจากหวงผู่ของเขาไปตั้งรับที่เซี่ยงไฮ้ และพอกองทัพนี้สลายไป เจียงก็ต้องล่าถอยอย่างรวดเร็วจากนานกิง
- ที่หวู๋ฮั่น เจียงไคเช็คระดมพลของก๊กมินตั๋งได้ราวๆ 3-4 แสนคน ผสมกับกองทัพขุนศึกภาคตะวันตกและภาคใต้อีกราวๆ 5-6 แสนคน เพื่อต้านรับญี่ปุ่นครับ ซึ่งถ้าหากเจียงไคเช็คมีอำนาจและกองทัพอย่างสมบูรณ์เพียบพร้อม ไม่แน่ว่าญี่ปุ่นอาจจะตีแนวรับที่หวู่ฮั่นไม่สำเร็จก็ได้
แต่สถานการณ์ก็คือ พอกองทัพหลักของก๊กมินตั๋งเพลี่ยงพล้ำและล่าถอย กองทหารของพวกขุนศึกก็กระเจิดกระเจิงไปด้วยครับ
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะในสงครามจีน-ญี่ปุ่น ระหว่างปี 1937-45 นั้น ต้องยกความดีความชอบให้เจียงไคเช็คและทหารก๊กมินตั๋งอีกนับล้านคนที่อดทนต่อสู้อย่างทรหดนานถึง 8 ปี จนขับไล่ญี่ปุ่นออกไปจากประเทศจีนได้ครับ ในทางกลับกัน กองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเองผมว่ามีส่วนในชัยชนะบ้าง แต่ไม่ใช่ปัจจัยหรือกำลังหลักแน่นอน แม้กองทัพลู่ที่ 8 กองพลต่างๆที่กระจัดกระจายกันทำสงครามต่อต้านใน 5 มณฑลของจีนเหนือนั้น ช่วยสร้างความเสียหายและก่อกวนญี่ปุ่นได้มากเอาการ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อทำให้ชนะสงครามครับ
อย่างศึกใหญ่ร้อยกรมในปี 1940 ที่เผิงเต๋อไหวระดมกองทัพลู่ที่ 8 กองพลต่างๆในจีนเหนือให้เข้าทำลายค่ายหรือศูนย์บัญชาการของกองทัพญี่ปุ่นและทหารหุ่นพร้อมๆกันนั้น ก็ยังสร้างความเสียหายให้กองทัพญี่ปุ่นน้อยกว่าที่หวู่ฮั่นหรือฉางซาครับ (แต่เจียงไคเช็คดันทะลึ่งเห็นว่า กองทัพลู่ที่ 8 เข้มแข็งเกินไป เลยหันมาเล่นงานกองทัพปลดปล่อยประชาชนแทนที่จะไปตีกับญี่ปุ่นต่อ....)
ท่านประธานเหมาก็ยังกล่าวว่า ศึกใหญ่ร้อยกรมเป็นความผิดพลาด เผิงเต๋อไหวเปิดเผยพวกเราจนล่อนจ้อนให้พวกญี่ปุ่นและก๊กมินตั๋งเห็นหมดเกลี้ยง.........
แถมผลของศึกใหญ่ร้อยกรม ยังทำให้กองทัพญี่ปุ่นออกนโยบาย 3 เรียบ มาบังคับใช้ในจีนเหนือคือ ฆ่าเรียบ ปล้นเรียบ และเผาเรียบ เป็นผลให้หมู่บ้านหรือชุมชนหลายร้อยแห่งในจีนเหนือถูกกองทัพญี่ปุ่นเข้าทำลายแบบฆ่าล้างหมู่บ้าน ประชาชนอย่างน้อยๆ 10 ล้านคนถูกสังหาร เพื่อวิดน้ำจับปลา (คือกองทัพลู่ที่ 8) นั่นเอง
แม้พรรคก๊กมินตั๋งจะปกครองประเทศจีนมากว่า 10 ปีแล้วในปี 1937 แต่อำนาจแท้จริงของก๊กมินตั๋งก็ยังจำกัดมากทีเดียวครับ เจียงไคเช็คมีกำลังทหารจากโรงเรียนทหารหวงผู่ที่เป็นกองทัพชั้นเยี่ยมและจงรักภักดีที่สุดอย่างมากก็ราวๆ 4-5 แสนคนครับ กำลังทหารที่เหลือนั้นจะตกอยู่ในมือของเหล่าขุนศึกมณฑลต่างๆ ซึ่งมีกำลังทหารรวมราวๆ 1-1.3 ล้านคน
- ผลของการรบชัดเจนมากใน 5 มณฑลของจีนกลาง ที่กองทัพของเหล่าขุนศึกประสบความล้มเหลวในการต้านกองทัพญี่ปุ่นครับ เพราะพวกเขาไม่พร้อมรบ หรือไม่ตั้งใจรบ อาวุธก็มีประสิทธิภาพแย่ กำลังทหารก็มีขวัญกำลังใจตกต่ำมาก และในที่สุดขุนศึกภาคเหนือหลายๆคนก็แปรพักตร์ไปเป็นกองทหารหุ่นให้ทัพญี่ปุ่นไปเสีย
- เจียงไคเช็คส่งกองทัพก๊กมินตั๋งจากหวงผู่ของเขาไปตั้งรับที่เซี่ยงไฮ้ และพอกองทัพนี้สลายไป เจียงก็ต้องล่าถอยอย่างรวดเร็วจากนานกิง
- ที่หวู๋ฮั่น เจียงไคเช็คระดมพลของก๊กมินตั๋งได้ราวๆ 3-4 แสนคน ผสมกับกองทัพขุนศึกภาคตะวันตกและภาคใต้อีกราวๆ 5-6 แสนคน เพื่อต้านรับญี่ปุ่นครับ ซึ่งถ้าหากเจียงไคเช็คมีอำนาจและกองทัพอย่างสมบูรณ์เพียบพร้อม ไม่แน่ว่าญี่ปุ่นอาจจะตีแนวรับที่หวู่ฮั่นไม่สำเร็จก็ได้
แต่สถานการณ์ก็คือ พอกองทัพหลักของก๊กมินตั๋งเพลี่ยงพล้ำและล่าถอย กองทหารของพวกขุนศึกก็กระเจิดกระเจิงไปด้วยครับ
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะในสงครามจีน-ญี่ปุ่น ระหว่างปี 1937-45 นั้น ต้องยกความดีความชอบให้เจียงไคเช็คและทหารก๊กมินตั๋งอีกนับล้านคนที่อดทนต่อสู้อย่างทรหดนานถึง 8 ปี จนขับไล่ญี่ปุ่นออกไปจากประเทศจีนได้ครับ ในทางกลับกัน กองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเองผมว่ามีส่วนในชัยชนะบ้าง แต่ไม่ใช่ปัจจัยหรือกำลังหลักแน่นอน แม้กองทัพลู่ที่ 8 กองพลต่างๆที่กระจัดกระจายกันทำสงครามต่อต้านใน 5 มณฑลของจีนเหนือนั้น ช่วยสร้างความเสียหายและก่อกวนญี่ปุ่นได้มากเอาการ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อทำให้ชนะสงครามครับ
อย่างศึกใหญ่ร้อยกรมในปี 1940 ที่เผิงเต๋อไหวระดมกองทัพลู่ที่ 8 กองพลต่างๆในจีนเหนือให้เข้าทำลายค่ายหรือศูนย์บัญชาการของกองทัพญี่ปุ่นและทหารหุ่นพร้อมๆกันนั้น ก็ยังสร้างความเสียหายให้กองทัพญี่ปุ่นน้อยกว่าที่หวู่ฮั่นหรือฉางซาครับ (แต่เจียงไคเช็คดันทะลึ่งเห็นว่า กองทัพลู่ที่ 8 เข้มแข็งเกินไป เลยหันมาเล่นงานกองทัพปลดปล่อยประชาชนแทนที่จะไปตีกับญี่ปุ่นต่อ....)
ท่านประธานเหมาก็ยังกล่าวว่า ศึกใหญ่ร้อยกรมเป็นความผิดพลาด เผิงเต๋อไหวเปิดเผยพวกเราจนล่อนจ้อนให้พวกญี่ปุ่นและก๊กมินตั๋งเห็นหมดเกลี้ยง.........
แถมผลของศึกใหญ่ร้อยกรม ยังทำให้กองทัพญี่ปุ่นออกนโยบาย 3 เรียบ มาบังคับใช้ในจีนเหนือคือ ฆ่าเรียบ ปล้นเรียบ และเผาเรียบ เป็นผลให้หมู่บ้านหรือชุมชนหลายร้อยแห่งในจีนเหนือถูกกองทัพญี่ปุ่นเข้าทำลายแบบฆ่าล้างหมู่บ้าน ประชาชนอย่างน้อยๆ 10 ล้านคนถูกสังหาร เพื่อวิดน้ำจับปลา (คือกองทัพลู่ที่ 8) นั่นเอง
แสดงความคิดเห็น
ในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ถ้าพรรคก๊กมินตั๋งตั้งใจอย่างเต็มที่ ๆ จะรบกับญี่ปุ่น ผลจะเป็นยังไง?