จาก
http://www.komchadluek.net/detail/20130531/159827/รายได้ไม่เพิ่มมนุษย์เงินเดือนหืดจับแน่!.html#.UagOHNjAHYU
'มนุษย์เงินเดือน'หืดจับแน่! รายได้ไม่เพิ่ม-ค่าครองชีพงอกบาน : ทีมข่าวเศรษฐกิจรายงาน
ความหวังของ "มนุษย์เงินเดือน" เริ่มทอประกายขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2556 ภายหลังรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" กดปุ่มเดินหน้านโยบายการขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ส่วนคนจบปริญญาตรี หรือบัณฑิตป้ายแดง ปรับเพดานสตาร์ทขั้นต่ำเดือนละ 15,000 บาท ถึงวันนี้ย่างเข้าสู่กลางปี...ดูเหมือนค่าครองชีพจะพุ่งแซงหน้า "เงิน" ที่งอกเงยเพิ่มในกระเป๋าไปหลายช่วงตัว
ไล่เรียงตั้งแต่ปัญหาปากท้องของแพงอย่าง "อาหารจานด่วน" คนทำงานบริษัท เหล่าฉันทนา ยันคนหาเช้ากินค่ำ บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า "แพงขึ้น" ร้อนถึงกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะแม่งานใหญ่ดูแลเรื่องนี้ ต้องนัดหารือกับศูนย์อาหาร และห้างต่างๆ อยู่หลายครั้งหลายคราจนนำไปสู่การออกเมนูแนะนำ เพื่อปรามไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าปรับราคาตามใจชอบ ถึงกระนั้นยังมีนักฉวยโอกาสอาศัยช่องโหว่แอบขึ้นราคาอาหารจำนวนไม่น้อยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค ที่ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย หรือสินค้าควบคุม ก็มีการปรับราคา ทั้งในแบบทางตรงและทางอ้อม เช่น การลดขนาดลงแต่ขายในราคาเดิม หรือออกสูตรใหม่ เพื่อปรับราคาขาย ล่าสุด "ไข่" อาหารสามัญประจำบ้าน ที่ต้องติดครัวไว้ทั้งในบ้านเศรษฐีและยาจก ราคาขยับสูงขึ้นเช่นกัน
หลุดจากเรื่องปากท้อง มองไปที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นอกจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นราคาตลาดโลกแล้ว ในส่วนของเชื้อเพลิงที่ตรึงราคาอย่าง ก๊าซแอลพีจี และ เอ็นจีวี เตรียมจ่อคิวขยับขึ้นตามนโยบายการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ที่จะลดการอุดหนุนลง ร้อนถึงเจ้าประจำอย่าง "แท็กซี่" ออกมาร้องขอปรับราคาตั้งแต่เนินๆ
พูดง่ายๆ ว่า "ถ้าขึ้นราคาเอ็นจีวี หรือแอลพีจี พวกผมขอพ่วงขึ้นค่าแท็กซี่ไปด้วย"
ก่อนหน้านี้ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้ประกาศปรับค่าโดยสารรถร้อน หรือรถเมล์ร้อน ที่วิ่งช่วงเวลา 23.00-05.00 น. เพิ่มอีก 1.50 บาท เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา สุดท้ายต้องกลับลำในวันเดียวกัน หลังเจอกระทรวงคมนาคมออกมาเบรกจนหัวทิ่ม ทำให้ชาวบ้านโล่งไปอีกเปลาะ
ทว่าสิ่งที่ ขสมก. ร้องขอแต่ไม่สัมฤทธิผลนั้น กลายเป็นการชี้ช่องทางให้ผู้ประกอบการรถสองแถว นำโดย นายฉัตรชัย ภู่อารีย์ ประธานชมรมผู้ประกอบการรถสองแถว ส่งสัญญาณว่าจะขอเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อขอปรับค่าโดยสารรถสองแถวจากปกติที่แบ่งจัดเก็บ 2 ช่วง คือระหว่างเวลา 05.00-22.00 น. เก็บค่าโดยสาย 7 บาทตลอดสาย และช่วงเวลา 22.00-05.00 น. เก็บค่าโดยสาร 9 บาทตลอดสาย สำหรับอัตราใหม่จะแบ่งเป็น 4 ช่วง คือ เวลา 04.00น-20.00 น. เก็บราคาปกติ คือ 7 บาทตลอดสาย, เวลา 20.00-21.00 น. เก็บที่ 10 บาทตลอดสาย, เวลา 21.00-22.00 น. ขึ้นเป็น 15 บาทตลอดสาย และเวลา 22.00-04.00 น. ผู้โดยสารต้องจ่าย 20 บาทตลอดสาย
ผู้ประกอบการรถสองแถวให้เหตุผลว่า โดยปกติกะกลางคืนรถสองแถวสามารถเก็บค่าโดยสารได้ขาเดียว คือ เฉพาะเข้าซอย หรือเวลาที่คนกลับบ้านเท่านั้น เพราะไม่มีใครออกจากซอยมืดๆ ค่ำๆ ทำให้ผู้ประกอบการรถสองแถวต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงวันละ 700-800 บาท ขณะที่เก็บค่าโดยสารได้แค่วันละ 100-200 บาทเท่านั้น
เช่นเดียวกับ รถไฟฟ้าบีทีเอส ประกาศปรับค่าโดยสารใหม่จากเดิม 15-40 บาท เป็น 15-42 บาท และในส่วนของโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วันของเด็กและผู้ใหญ่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 1 บาท และ 2 บาทต่อเที่ยว ตามลำดับ เริ่มมีผลใช้ตั้งแต่ 1 มิถุนายนนี้ ส่วนผู้ใช้บัตรแรบบิท หรือบัตรบีทีเอส สมาร์ทพาส ประเภทเติมเงิน เดินทางในระบบจะยังคงชำระค่าโดยสารในอัตราเดิมไปถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งการปรับอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บดังกล่าวเป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาสัมปทาน
ทั้งนี้ การปรับราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสในส่วนของเส้นทางสัมปทานระยะทาง 23.5 กิโลเมตร จากสถานีหมอชิต ถึงสถานีอ่อนนุช และจากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติถึงสถานีสะพานตากสิน จากเดิม 15-40 บาท เป็น 15-42 บาทนั้น จะเรียกเก็บสถานีแรก 15 บาท สถานีที่ 2 ราคา 22 บาท สถานีที่ 3 ราคา 25 บาท สถานีที่ 4 ราคา 28 บาท สถานีที่ 5 ราคา 31 บาท สถานีที่ 6 ราคา 34 บาท สถานีที่ 7 ราคา 37 บาท และจากสถานีที่ 8 เป็นต้นไป 42 บาท
จากรถไฟฟ้ามาถึงเรือด่วนเจ้าพระยา เรื่องนี้ น.ท.ปริญญา รักวาทิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ได้ออกมาทวงถามเรื่องการปรับขึ้นราคา จากที่ก่อนหน้านี้ กรมเจ้าท่าไม่อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาค่าโดยสารเรือด่วนเจ้าพระยา 2 บาท ตามที่บริษัทร้องขอ เนื่องจากการคำนวณอัตราค่าโดยสารจากโครงสร้างต้นทุน ระหว่างภาครัฐและเอกชน ยังไม่สอดคล้องกัน จำเป็นต้องมีการพิจารณาใหม่ โดยกำหนดให้ตรึงราคาค่าโดยสารเดิมเป็นระยะเวลา 3 เดือน หรือ 90 วัน
ถึงตอนนี้ได้ครบกำหนด 90 วันที่ทำการตรึงราคาค่าโดยสารไว้แล้ว ผู้ประกอบการเรือด่วนเจ้าพระยาจึงยื่นเรื่องต่อกรมเจ้าท่า ให้พิจารณาปรับขึ้นค่าโดยสารเรือด่วนทุกประเภทอีก 2 บาท โดยอ้างว่ามีความจำเป็นต้องปรับราคาค่าโดยสารเรือด่วนเจ้าพระยา และเรือข้ามฟาก เนื่องจากต้องแบกภาระต้นทุนราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ว่ากันว่าผู้โดยสารต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าเรือราคาใหม่ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2556
ขณะที่ คณะกรรมการการทางพิเศษ (บอร์ด กทพ.) ได้เห็นชอบแนวทางการปรับอัตราค่าผ่านทางด่วนขั้นที่ 1, 2- อุดรรัถยา-บูรพาวิถี เผยทางด่วนขึ้นที่ 1-2 ปรับเพิ่ม 5-10 บาท การปรับอัตราค่าผ่านทางพิเศษศรีรัช เป็นไปตามสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ที่ กทพ. ได้ลงนามกับ บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ หรือบีอีซีแอล ในฐานะผู้รับสัมปทาน ที่กำหนดให้วันที่ 1 มีนาคม 2541 และทุกระยะเวลา 5 ปี นับจากนั้น เป็นวันพิจารณาปรับอัตราค่าผ่านทาง และให้อัตราค่าผ่านทางที่ปรับใหม่มีผลบังคับใช้ภายใน 6 เดือน นับแต่วันพิจารณาปรับอัตราค่าผ่านทาง
สำหรับอัตราค่าผ่านทางใหม่ ของโครงข่ายในเขตเมือง (ทางพิเศษเฉลิมมหานคร : ดินแดง-ท่าเรือ, บางนา-ท่าเรือ, ดาวคะนอง-ท่าเรือ, ทางพิเศษศรีรัช ส่วน A และ B : พญาไท-พระราม 9, พญาไท-บางโคล่) จะปรับอัตรา ค่าผ่านทางสำหรับรถ 4 ล้อ จากเดิม 45 บาท เป็น 50 บาท รถ 6-10 ล้อ จากเดิม 70 บาท เป็น 75 บาท และรถมากกว่า 10 ล้อ จากเดิม 100 บาท เป็น 110 บาท ตามลำดับ
ส่วนโครงข่ายนอก เขตเมือง (ทางพิเศษศรีรัช ส่วน C และ D) จะปรับเฉพาะทางพิเศษศรีรัช ส่วน D (ถนนพระราม 9-ถนนศรีนครินทร์) สำหรับ รถ 6-10 ล้อ จากเดิม 50 บาท เป็น 55 บาท และรถมากกว่า 10 ล้อ จากเดิม 70 บาท เป็น 75 บาท ตามลำดับ โดยรถ 4 ล้อ ไม่ได้ปรับราคา เพราะดัชนีผู้บริโภคไม่ถึง และสำหรับทางพิเศษอุดรรัถยาและทางพิเศษบูรพาวิถี จะพิจารณาตามหลักเกณฑ์และสัญญาที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน
ขั้นตอนต่อจากนี้ คณะอนุกรรมการพิจารณาค่าผ่านทางพิเศษจะต้องไปเจรจากับบีอีซีแอล และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด แล้วนำผลการเจรจามาเสนอคณะกรรมการ กทพ. ก่อนที่จะได้รายงานไปยังกระทรวงคมนาคม เพื่อออกประกาศกระทรวง และนำเสนอ ครม.เพื่อทราบต่อไป ทั้งนี้ การปรับอัตราค่าผ่านทางสำหรับทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 และทางพิเศษอุดรรัถยา จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เป็นต้นไป
เหล่านี้คือ "ค่าครองชีพ" สารพัดด้านที่มนุษย์เงินเดือนกำลังจะเผชิญในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แล้วจะรับมืออย่างไร? ในสถานการณ์รายได้เท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น นี่คือโจทย์ที่ต้องดิ้นเพื่อพาตนและครอบครัวพ้นบ่วงทุกข์
รายได้ไม่เพิ่ม'มนุษย์เงินเดือน'หืดจับแน่!
'มนุษย์เงินเดือน'หืดจับแน่! รายได้ไม่เพิ่ม-ค่าครองชีพงอกบาน : ทีมข่าวเศรษฐกิจรายงาน
ความหวังของ "มนุษย์เงินเดือน" เริ่มทอประกายขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2556 ภายหลังรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" กดปุ่มเดินหน้านโยบายการขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ส่วนคนจบปริญญาตรี หรือบัณฑิตป้ายแดง ปรับเพดานสตาร์ทขั้นต่ำเดือนละ 15,000 บาท ถึงวันนี้ย่างเข้าสู่กลางปี...ดูเหมือนค่าครองชีพจะพุ่งแซงหน้า "เงิน" ที่งอกเงยเพิ่มในกระเป๋าไปหลายช่วงตัว
ไล่เรียงตั้งแต่ปัญหาปากท้องของแพงอย่าง "อาหารจานด่วน" คนทำงานบริษัท เหล่าฉันทนา ยันคนหาเช้ากินค่ำ บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า "แพงขึ้น" ร้อนถึงกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะแม่งานใหญ่ดูแลเรื่องนี้ ต้องนัดหารือกับศูนย์อาหาร และห้างต่างๆ อยู่หลายครั้งหลายคราจนนำไปสู่การออกเมนูแนะนำ เพื่อปรามไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าปรับราคาตามใจชอบ ถึงกระนั้นยังมีนักฉวยโอกาสอาศัยช่องโหว่แอบขึ้นราคาอาหารจำนวนไม่น้อยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค ที่ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย หรือสินค้าควบคุม ก็มีการปรับราคา ทั้งในแบบทางตรงและทางอ้อม เช่น การลดขนาดลงแต่ขายในราคาเดิม หรือออกสูตรใหม่ เพื่อปรับราคาขาย ล่าสุด "ไข่" อาหารสามัญประจำบ้าน ที่ต้องติดครัวไว้ทั้งในบ้านเศรษฐีและยาจก ราคาขยับสูงขึ้นเช่นกัน
หลุดจากเรื่องปากท้อง มองไปที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นอกจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นราคาตลาดโลกแล้ว ในส่วนของเชื้อเพลิงที่ตรึงราคาอย่าง ก๊าซแอลพีจี และ เอ็นจีวี เตรียมจ่อคิวขยับขึ้นตามนโยบายการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ที่จะลดการอุดหนุนลง ร้อนถึงเจ้าประจำอย่าง "แท็กซี่" ออกมาร้องขอปรับราคาตั้งแต่เนินๆ
พูดง่ายๆ ว่า "ถ้าขึ้นราคาเอ็นจีวี หรือแอลพีจี พวกผมขอพ่วงขึ้นค่าแท็กซี่ไปด้วย"
ก่อนหน้านี้ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้ประกาศปรับค่าโดยสารรถร้อน หรือรถเมล์ร้อน ที่วิ่งช่วงเวลา 23.00-05.00 น. เพิ่มอีก 1.50 บาท เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา สุดท้ายต้องกลับลำในวันเดียวกัน หลังเจอกระทรวงคมนาคมออกมาเบรกจนหัวทิ่ม ทำให้ชาวบ้านโล่งไปอีกเปลาะ
ทว่าสิ่งที่ ขสมก. ร้องขอแต่ไม่สัมฤทธิผลนั้น กลายเป็นการชี้ช่องทางให้ผู้ประกอบการรถสองแถว นำโดย นายฉัตรชัย ภู่อารีย์ ประธานชมรมผู้ประกอบการรถสองแถว ส่งสัญญาณว่าจะขอเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อขอปรับค่าโดยสารรถสองแถวจากปกติที่แบ่งจัดเก็บ 2 ช่วง คือระหว่างเวลา 05.00-22.00 น. เก็บค่าโดยสาย 7 บาทตลอดสาย และช่วงเวลา 22.00-05.00 น. เก็บค่าโดยสาร 9 บาทตลอดสาย สำหรับอัตราใหม่จะแบ่งเป็น 4 ช่วง คือ เวลา 04.00น-20.00 น. เก็บราคาปกติ คือ 7 บาทตลอดสาย, เวลา 20.00-21.00 น. เก็บที่ 10 บาทตลอดสาย, เวลา 21.00-22.00 น. ขึ้นเป็น 15 บาทตลอดสาย และเวลา 22.00-04.00 น. ผู้โดยสารต้องจ่าย 20 บาทตลอดสาย
ผู้ประกอบการรถสองแถวให้เหตุผลว่า โดยปกติกะกลางคืนรถสองแถวสามารถเก็บค่าโดยสารได้ขาเดียว คือ เฉพาะเข้าซอย หรือเวลาที่คนกลับบ้านเท่านั้น เพราะไม่มีใครออกจากซอยมืดๆ ค่ำๆ ทำให้ผู้ประกอบการรถสองแถวต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงวันละ 700-800 บาท ขณะที่เก็บค่าโดยสารได้แค่วันละ 100-200 บาทเท่านั้น
เช่นเดียวกับ รถไฟฟ้าบีทีเอส ประกาศปรับค่าโดยสารใหม่จากเดิม 15-40 บาท เป็น 15-42 บาท และในส่วนของโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วันของเด็กและผู้ใหญ่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 1 บาท และ 2 บาทต่อเที่ยว ตามลำดับ เริ่มมีผลใช้ตั้งแต่ 1 มิถุนายนนี้ ส่วนผู้ใช้บัตรแรบบิท หรือบัตรบีทีเอส สมาร์ทพาส ประเภทเติมเงิน เดินทางในระบบจะยังคงชำระค่าโดยสารในอัตราเดิมไปถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งการปรับอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บดังกล่าวเป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาสัมปทาน
ทั้งนี้ การปรับราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสในส่วนของเส้นทางสัมปทานระยะทาง 23.5 กิโลเมตร จากสถานีหมอชิต ถึงสถานีอ่อนนุช และจากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติถึงสถานีสะพานตากสิน จากเดิม 15-40 บาท เป็น 15-42 บาทนั้น จะเรียกเก็บสถานีแรก 15 บาท สถานีที่ 2 ราคา 22 บาท สถานีที่ 3 ราคา 25 บาท สถานีที่ 4 ราคา 28 บาท สถานีที่ 5 ราคา 31 บาท สถานีที่ 6 ราคา 34 บาท สถานีที่ 7 ราคา 37 บาท และจากสถานีที่ 8 เป็นต้นไป 42 บาท
จากรถไฟฟ้ามาถึงเรือด่วนเจ้าพระยา เรื่องนี้ น.ท.ปริญญา รักวาทิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ได้ออกมาทวงถามเรื่องการปรับขึ้นราคา จากที่ก่อนหน้านี้ กรมเจ้าท่าไม่อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาค่าโดยสารเรือด่วนเจ้าพระยา 2 บาท ตามที่บริษัทร้องขอ เนื่องจากการคำนวณอัตราค่าโดยสารจากโครงสร้างต้นทุน ระหว่างภาครัฐและเอกชน ยังไม่สอดคล้องกัน จำเป็นต้องมีการพิจารณาใหม่ โดยกำหนดให้ตรึงราคาค่าโดยสารเดิมเป็นระยะเวลา 3 เดือน หรือ 90 วัน
ถึงตอนนี้ได้ครบกำหนด 90 วันที่ทำการตรึงราคาค่าโดยสารไว้แล้ว ผู้ประกอบการเรือด่วนเจ้าพระยาจึงยื่นเรื่องต่อกรมเจ้าท่า ให้พิจารณาปรับขึ้นค่าโดยสารเรือด่วนทุกประเภทอีก 2 บาท โดยอ้างว่ามีความจำเป็นต้องปรับราคาค่าโดยสารเรือด่วนเจ้าพระยา และเรือข้ามฟาก เนื่องจากต้องแบกภาระต้นทุนราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ว่ากันว่าผู้โดยสารต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าเรือราคาใหม่ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2556
ขณะที่ คณะกรรมการการทางพิเศษ (บอร์ด กทพ.) ได้เห็นชอบแนวทางการปรับอัตราค่าผ่านทางด่วนขั้นที่ 1, 2- อุดรรัถยา-บูรพาวิถี เผยทางด่วนขึ้นที่ 1-2 ปรับเพิ่ม 5-10 บาท การปรับอัตราค่าผ่านทางพิเศษศรีรัช เป็นไปตามสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ที่ กทพ. ได้ลงนามกับ บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ หรือบีอีซีแอล ในฐานะผู้รับสัมปทาน ที่กำหนดให้วันที่ 1 มีนาคม 2541 และทุกระยะเวลา 5 ปี นับจากนั้น เป็นวันพิจารณาปรับอัตราค่าผ่านทาง และให้อัตราค่าผ่านทางที่ปรับใหม่มีผลบังคับใช้ภายใน 6 เดือน นับแต่วันพิจารณาปรับอัตราค่าผ่านทาง
สำหรับอัตราค่าผ่านทางใหม่ ของโครงข่ายในเขตเมือง (ทางพิเศษเฉลิมมหานคร : ดินแดง-ท่าเรือ, บางนา-ท่าเรือ, ดาวคะนอง-ท่าเรือ, ทางพิเศษศรีรัช ส่วน A และ B : พญาไท-พระราม 9, พญาไท-บางโคล่) จะปรับอัตรา ค่าผ่านทางสำหรับรถ 4 ล้อ จากเดิม 45 บาท เป็น 50 บาท รถ 6-10 ล้อ จากเดิม 70 บาท เป็น 75 บาท และรถมากกว่า 10 ล้อ จากเดิม 100 บาท เป็น 110 บาท ตามลำดับ
ส่วนโครงข่ายนอก เขตเมือง (ทางพิเศษศรีรัช ส่วน C และ D) จะปรับเฉพาะทางพิเศษศรีรัช ส่วน D (ถนนพระราม 9-ถนนศรีนครินทร์) สำหรับ รถ 6-10 ล้อ จากเดิม 50 บาท เป็น 55 บาท และรถมากกว่า 10 ล้อ จากเดิม 70 บาท เป็น 75 บาท ตามลำดับ โดยรถ 4 ล้อ ไม่ได้ปรับราคา เพราะดัชนีผู้บริโภคไม่ถึง และสำหรับทางพิเศษอุดรรัถยาและทางพิเศษบูรพาวิถี จะพิจารณาตามหลักเกณฑ์และสัญญาที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน
ขั้นตอนต่อจากนี้ คณะอนุกรรมการพิจารณาค่าผ่านทางพิเศษจะต้องไปเจรจากับบีอีซีแอล และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด แล้วนำผลการเจรจามาเสนอคณะกรรมการ กทพ. ก่อนที่จะได้รายงานไปยังกระทรวงคมนาคม เพื่อออกประกาศกระทรวง และนำเสนอ ครม.เพื่อทราบต่อไป ทั้งนี้ การปรับอัตราค่าผ่านทางสำหรับทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 และทางพิเศษอุดรรัถยา จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เป็นต้นไป
เหล่านี้คือ "ค่าครองชีพ" สารพัดด้านที่มนุษย์เงินเดือนกำลังจะเผชิญในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แล้วจะรับมืออย่างไร? ในสถานการณ์รายได้เท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น นี่คือโจทย์ที่ต้องดิ้นเพื่อพาตนและครอบครัวพ้นบ่วงทุกข์