การซื้อของในอียูถ้าเราถือพาสปอร์ตนักท่องเที่ยว ไม่สำคัญว่าตอนซื้อจ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิต สามารถทำเรื่องขอคืนเป็นเงินสดหรือเข้าบัตรเครดิตได้ทั้งหมด ที่สำคัญมากคือ การขอคืนเป็นเงินสดจะคุ้มค่ากว่า แม้บางประเทศในยุโรปการขอคืนเป็นเงินสดอาจมีค่า fee บ้างก็ตาม เพราะการขอคืนผ่านบัตรเครดิต คุณจะโดนเรทอัตราแลกเปลี่ยนที่เลวร้ายมากแถมยังเสียเวลานับเดือนกว่าจะได้เงินคืน
ปัญหาที่เพิ่งรู้จากทริปยุโรปล่าสุด ผมซื้อของที่อิตาลีและสเปน เนื่องจากของมีมูลค่าสูงปกติผมจะใช้บัตรเครดิตจ่าย ซึ่งสะดวกปลอดภัยดีแม้ต้องเสียค่า fee อัตราแลกเปลี่ยนบ้างก็ต้องยอม ซึ่งผมไม่ลืมที่จะย้ำกับร้านค้าทั้ง 2 ประเทศแล้วว่าต้องการขอคืนภาษีเป็นเงินสดเท่านั้น ร้านค้ายืนยันว่าไม่มีปัญหา ทางลูกค้าสามารถเลือกได้ที่เคาน์เตอร์ขอคืนภาษีในสนามบิน ว่าจะรับเป็นเงินสดหรือผ่านบัตรเครดิต ผมบอกด้วยว่าขากลับบินกลับที่สนามบินบาร์เซโลน่า สเปน ไม่ใช่ประเทศอิตาลีนะ ร้านค้าที่อิตาลีก็ยังยืนยันแบบเดิม และได้กรอกข้อมูลแบบฟอร์มการคืนภาษี (เป็นของบริษัทโกลบอลบลู) ใส่ซองให้ผมเรียบร้อย
ปรากฏว่าตอนทำเรื่องขอคืนภาษีที่สนามบินในสเปน ผมได้คืนเป็นเงินสดเพียงรายการเดียวคือของที่ซื้อในสเปน (ใช้แบบฟอร์มการขอคืนภาษีอีกบริษัทหนึ่งไม่ใช่โกลบอลบลู) ส่วนของที่ซื้อจากอิตาลีต้องไปทำเรื่องขอคืนเงินที่เคาน์เตอร์ของบริษัทโกลบอลบลู และได้รับคำตอบว่าต้องคืนเงินผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น ผมถามจนท.ว่าทำไมขอคืนเป็นเงินสดไม่ได้ เธอ (จนท.) ตอบว่ารายการของที่ผมซื้อที่อิตาลีนั้นผมจะได้คืนเป็นเงินสดต่อเมื่อทำเรื่องขอคืนภาษีที่อิตาลีเท่านั้น แย่จริง กลายเป็นซื้อของแพงขึ้นไปอีกสองสามพันบาทได้มั๊ง
ตอนนี้ผมเลยไม่แน่ใจว่าถ้าซื้อของที่ประเทศนึง แต่ขอคืนภาษีอีกประเทศนึง จะต้องผ่านบัตรเครดิตเท่านั้นหรือไม่ แต่คาดว่าคงจะเป็นเช่นนั้น ซึ่งตามหลักการขอคืนภาษีที่ยุโรป เราจะต้องทำเรื่องของคืนภาษีที่ประเทศสุดท้ายก่อนเดินทางออกจากอียู
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ถ้าขากลับบินออกจากประเทศไหน ก็ควรซื้อของที่ประเทศนั้น จะได้ขอคืนภาษีเป็นเงินสดได้ ไม่รู้ผมเข้าใจถูกรึเปล่า
อีกเคสที่ต้องระวัง คือการขอคืนภาษีอาจต้องใช้ใบเสร็จเป็นหลักฐานด้วย ตอนที่ผมซื้อของในสเปน จ่ายด้วยบัตรเครดิตเจอปัญหาตัดบัตรผ่านเรียบร้อย แต่เครื่องรูดบัตรขัดข้องไม่สามารถพิมพ์สลิปส่วนที่ต้องคืนให้ลูกค้าได้ ผมถามคนขายว่าถ้าไม่มีสลิปจะขอคืนภาษีได้หรือไม่ (เหตุที่ถามเพราะเคยซื้อของในอิตาลี แบบฟอร์มการขอคืนภาษีที่้รานค้าแนบมาให้ จะมีสลิปการรูดบัตรเครดิตตรงตามยอดราคาสินค้าแปะติดมาในแบบฟอร์มด้วย)
คนขายได้โทรถามหน่วยงานที่ทำเรื่องขอคืนภาษีในสเปน คุยต่อหน้าผมแล้วแจ้งว่าไม่มีปัญหา ไม่ต้องใช้สลิปเป็นหลักฐาน ดีนะที่ผมยังกังวลใจ จึงขอให้ร้านค้าทำใบเสร็จรับเงินให้ผมด้วย ร้านค้าจึงพิมพ์ใบเสร็จให้เต็มรูปแบบ ปรากฏว่าในสนามบินบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน เราจะต้องนำของที่ซื้อ (เคสนี้ผมซื้อนาฬิกา) ไปให้จนท.ตรวจสอบความถูกต้องและประทับตราให้อนุญาตรับเงินภาษีคืนได้ กลายเป็นว่านอกจากดูนาฬิกาแล้วทางจนท.ยังขอดูการ์ดการันตีด้วย (แต่ไม่ขอดูสลิปหรือใบเสร็จใดๆเลย) เพื่อเปรียบเทียบกับของจริงว่าตรงกันหรือไม่ ซึ่งเป็นเคสที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน (เคยซื้อที่อิตาลีกับเยอรมัน ตอนขอคืนภาษีจนท.ขอดูแค่นาฬิกา ไม่เคยขอดูการ์ดการันตีเลย แถมในเยอรมันจนท.ไม่ขอดูนาฬิกาด้วยซ้ำ) แต่ไม่มีปัญหาเพราะผมเก็บการ์ดการันตีไว้กับตัวอยู่แล้ว
พอจนท.ประทับตราลงบนแบบฟอร์มการขอคืนภาษีทั้ง 2 ใบแล้ว ผมต้องนำแบบฟอร์มทั้ง 2 นี้ไปยื่นเรื่องเพื่อขอเงินคืนอีกที่นึง แบบฟอร์มแรกเป็นของร้านค้าในสเปน ผมต้องไปยื่นที่แบงค์ชื่อจำไม่ได้ อยู่คนละชั้นในสนามบิน พอไปถึงทางจนท.แบงค์รับแบบฟอร์มขอคืนภาษีที่ลงประทับตราเรียบร้อยแล้ว เธอร้องขอ invoice ยุ่งล่ะสิ ตอนแรกผมบอกว่าไม่มี (ปกติพอได้ประทับตราจากจนท.แล้ว ไม่น่าจะต้องตรวจสอบเอกสารอื่นอีกนี่นา) แต่เธอยืนยันว่าถ้าไม่มีจะจ่ายเงินให้ไม่ได้ ดีนะที่นึกออกว่าขอใบเสร็จจากร้านค้ามาแล้ว เลยให้ตัวจริงเธอไป เธอแค่นำไปถ่ายสำเนาแล้วคืนใบเสร็จตัวจริงให้ผม เท่านี้ก็เรียบร้อย ผมได้รับเงินสดคืนทันที จบในส่วนของสเปน
แต่ในส่วนของอิตาลี ทางเคาน์เตอร์ของโกลบอลบลูใช้แค่แบบฟอร์มที่มีตราประทับแล้วแค่นั้น ไม่ขอดูเอกสารอื่นอีก แค่บอกว่าเคสนี้ไม่อาจคืนเงินสดได้เท่านั้นเอง ต้องใช้วิธีคืนผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น และเธอได้ขอบัตรเครดิตของผมไปทำเรื่อง แล้วบอกว่าจะคืนเงินเข้าบัตรใบนี้ (ดีนะที่ผมให้บัตรเครดิตของกสิกรไป ถ้าให้บัตรของซิตี้แบงค์ล่ะก็ จะได้เรทอัตราแลกเปลี่ยนที่แย่กว่าแน่นอน)
สรุป 1.บินกลับที่ประเทศไหนควรซื้อของจากประเทศนั้น จะได้ขอคืนภาษีเป็นเงินสดได้ (รึเปล่า)
2. ต้องขอใบเสร็จหรือสลิปจากร้านค้าทุกครั้ง เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการยื่นขอคืนภาษี
แชร์ประสบการณ์ เพิ่งรู้ว่า เคสนี้ในยุโรปไม่สามารถขอคืนภาษีเป็นเงินสดได้
ปัญหาที่เพิ่งรู้จากทริปยุโรปล่าสุด ผมซื้อของที่อิตาลีและสเปน เนื่องจากของมีมูลค่าสูงปกติผมจะใช้บัตรเครดิตจ่าย ซึ่งสะดวกปลอดภัยดีแม้ต้องเสียค่า fee อัตราแลกเปลี่ยนบ้างก็ต้องยอม ซึ่งผมไม่ลืมที่จะย้ำกับร้านค้าทั้ง 2 ประเทศแล้วว่าต้องการขอคืนภาษีเป็นเงินสดเท่านั้น ร้านค้ายืนยันว่าไม่มีปัญหา ทางลูกค้าสามารถเลือกได้ที่เคาน์เตอร์ขอคืนภาษีในสนามบิน ว่าจะรับเป็นเงินสดหรือผ่านบัตรเครดิต ผมบอกด้วยว่าขากลับบินกลับที่สนามบินบาร์เซโลน่า สเปน ไม่ใช่ประเทศอิตาลีนะ ร้านค้าที่อิตาลีก็ยังยืนยันแบบเดิม และได้กรอกข้อมูลแบบฟอร์มการคืนภาษี (เป็นของบริษัทโกลบอลบลู) ใส่ซองให้ผมเรียบร้อย
ปรากฏว่าตอนทำเรื่องขอคืนภาษีที่สนามบินในสเปน ผมได้คืนเป็นเงินสดเพียงรายการเดียวคือของที่ซื้อในสเปน (ใช้แบบฟอร์มการขอคืนภาษีอีกบริษัทหนึ่งไม่ใช่โกลบอลบลู) ส่วนของที่ซื้อจากอิตาลีต้องไปทำเรื่องขอคืนเงินที่เคาน์เตอร์ของบริษัทโกลบอลบลู และได้รับคำตอบว่าต้องคืนเงินผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น ผมถามจนท.ว่าทำไมขอคืนเป็นเงินสดไม่ได้ เธอ (จนท.) ตอบว่ารายการของที่ผมซื้อที่อิตาลีนั้นผมจะได้คืนเป็นเงินสดต่อเมื่อทำเรื่องขอคืนภาษีที่อิตาลีเท่านั้น แย่จริง กลายเป็นซื้อของแพงขึ้นไปอีกสองสามพันบาทได้มั๊ง
ตอนนี้ผมเลยไม่แน่ใจว่าถ้าซื้อของที่ประเทศนึง แต่ขอคืนภาษีอีกประเทศนึง จะต้องผ่านบัตรเครดิตเท่านั้นหรือไม่ แต่คาดว่าคงจะเป็นเช่นนั้น ซึ่งตามหลักการขอคืนภาษีที่ยุโรป เราจะต้องทำเรื่องของคืนภาษีที่ประเทศสุดท้ายก่อนเดินทางออกจากอียู
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ถ้าขากลับบินออกจากประเทศไหน ก็ควรซื้อของที่ประเทศนั้น จะได้ขอคืนภาษีเป็นเงินสดได้ ไม่รู้ผมเข้าใจถูกรึเปล่า
อีกเคสที่ต้องระวัง คือการขอคืนภาษีอาจต้องใช้ใบเสร็จเป็นหลักฐานด้วย ตอนที่ผมซื้อของในสเปน จ่ายด้วยบัตรเครดิตเจอปัญหาตัดบัตรผ่านเรียบร้อย แต่เครื่องรูดบัตรขัดข้องไม่สามารถพิมพ์สลิปส่วนที่ต้องคืนให้ลูกค้าได้ ผมถามคนขายว่าถ้าไม่มีสลิปจะขอคืนภาษีได้หรือไม่ (เหตุที่ถามเพราะเคยซื้อของในอิตาลี แบบฟอร์มการขอคืนภาษีที่้รานค้าแนบมาให้ จะมีสลิปการรูดบัตรเครดิตตรงตามยอดราคาสินค้าแปะติดมาในแบบฟอร์มด้วย)
คนขายได้โทรถามหน่วยงานที่ทำเรื่องขอคืนภาษีในสเปน คุยต่อหน้าผมแล้วแจ้งว่าไม่มีปัญหา ไม่ต้องใช้สลิปเป็นหลักฐาน ดีนะที่ผมยังกังวลใจ จึงขอให้ร้านค้าทำใบเสร็จรับเงินให้ผมด้วย ร้านค้าจึงพิมพ์ใบเสร็จให้เต็มรูปแบบ ปรากฏว่าในสนามบินบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน เราจะต้องนำของที่ซื้อ (เคสนี้ผมซื้อนาฬิกา) ไปให้จนท.ตรวจสอบความถูกต้องและประทับตราให้อนุญาตรับเงินภาษีคืนได้ กลายเป็นว่านอกจากดูนาฬิกาแล้วทางจนท.ยังขอดูการ์ดการันตีด้วย (แต่ไม่ขอดูสลิปหรือใบเสร็จใดๆเลย) เพื่อเปรียบเทียบกับของจริงว่าตรงกันหรือไม่ ซึ่งเป็นเคสที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน (เคยซื้อที่อิตาลีกับเยอรมัน ตอนขอคืนภาษีจนท.ขอดูแค่นาฬิกา ไม่เคยขอดูการ์ดการันตีเลย แถมในเยอรมันจนท.ไม่ขอดูนาฬิกาด้วยซ้ำ) แต่ไม่มีปัญหาเพราะผมเก็บการ์ดการันตีไว้กับตัวอยู่แล้ว
พอจนท.ประทับตราลงบนแบบฟอร์มการขอคืนภาษีทั้ง 2 ใบแล้ว ผมต้องนำแบบฟอร์มทั้ง 2 นี้ไปยื่นเรื่องเพื่อขอเงินคืนอีกที่นึง แบบฟอร์มแรกเป็นของร้านค้าในสเปน ผมต้องไปยื่นที่แบงค์ชื่อจำไม่ได้ อยู่คนละชั้นในสนามบิน พอไปถึงทางจนท.แบงค์รับแบบฟอร์มขอคืนภาษีที่ลงประทับตราเรียบร้อยแล้ว เธอร้องขอ invoice ยุ่งล่ะสิ ตอนแรกผมบอกว่าไม่มี (ปกติพอได้ประทับตราจากจนท.แล้ว ไม่น่าจะต้องตรวจสอบเอกสารอื่นอีกนี่นา) แต่เธอยืนยันว่าถ้าไม่มีจะจ่ายเงินให้ไม่ได้ ดีนะที่นึกออกว่าขอใบเสร็จจากร้านค้ามาแล้ว เลยให้ตัวจริงเธอไป เธอแค่นำไปถ่ายสำเนาแล้วคืนใบเสร็จตัวจริงให้ผม เท่านี้ก็เรียบร้อย ผมได้รับเงินสดคืนทันที จบในส่วนของสเปน
แต่ในส่วนของอิตาลี ทางเคาน์เตอร์ของโกลบอลบลูใช้แค่แบบฟอร์มที่มีตราประทับแล้วแค่นั้น ไม่ขอดูเอกสารอื่นอีก แค่บอกว่าเคสนี้ไม่อาจคืนเงินสดได้เท่านั้นเอง ต้องใช้วิธีคืนผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น และเธอได้ขอบัตรเครดิตของผมไปทำเรื่อง แล้วบอกว่าจะคืนเงินเข้าบัตรใบนี้ (ดีนะที่ผมให้บัตรเครดิตของกสิกรไป ถ้าให้บัตรของซิตี้แบงค์ล่ะก็ จะได้เรทอัตราแลกเปลี่ยนที่แย่กว่าแน่นอน)
สรุป 1.บินกลับที่ประเทศไหนควรซื้อของจากประเทศนั้น จะได้ขอคืนภาษีเป็นเงินสดได้ (รึเปล่า)
2. ต้องขอใบเสร็จหรือสลิปจากร้านค้าทุกครั้ง เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการยื่นขอคืนภาษี