ยมโลกในความฝัน

กระทู้สนทนา
“เอกสารทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ” ดร.ลีเงยหน้าขึ้นถามผม ดวงตาเรียวเล็กของอาจารย์สาวผู้มีวัยเป็นปริศนามีแววเมตตา

“เรียบร้อยดีครับ” ผมรวบแฟ้มวิทยานิพนธ์ เดินเปิดประตูให้ร่างระหงราวกับสาวน้อยเดินนำออกจากออฟฟิศเหมือนทุกที

“เรื่องอื่นๆ ล่ะ เรียบร้อยดีไหม” อาจารย์ถามเมื่อเราเดินออกจากอาคาร  ผมเพิ่งสังเกตว่าผมตัวสูงกว่าอาจารย์ ทุกครั้งที่นั่งทำงาน เพราะตำแหน่งและอาวุโส ผมมักจะคิดว่าดร.ลีตัวสูงกว่าผมเสมอ ตอนนี้ผมมองเห็นแค่ม่านผมย้อมสีน้ำตาลแดงตามสมัยนิยมเป็นประกายกับแดดตอนบ่าย กับเสี้ยวหน้าจิ้มลิ้มของดร.ลีเท่านั้น สูทสีดำสนิทอย่างที่เธอใส่เป็นประจำทำให้ร่างบางดูเพรียวระหง กระโปรงของเธอเป็นสีน้ำเงินสด... สีที่ผมชอบพอดี

“เรียบร้อยดีครับ วันนี้นั่งรถเมล์กลับหรือครับซังคยุง” ผมเรียกดร.ลีด้วยชื่อต้นอย่างที่เธอขอเมื่อนานมาแล้ว ตามปกติ ดร.ลีจะเดินแยกออกไปที่อาคารจอดรถเพื่อขับฮยุนไดคันเล็กของเธอกลับที่พัก ในขณะที่ผมจะกระโดดขึ้นจักรยานสีดำคันโปรดปั่นกลับบ้าน หรือข้ามถนนไปขึ้นรถประจำทาง ตามแต่ธุระของแต่ละวัน วันนี้ดร.ลีนำผมมาที่ป้ายรถเมล์

“เปล่า ฉันแค่เดินมาส่งเธอ ส่งได้แค่นี้เท่านั้นแหละ” ริมฝีปากที่แต้มลิปสติกอย่างดีแย้มเป็นรอยยิ้มให้ “โชคดีนะ”
รถประจำทางสายเหนือใต้ จอดเทียบที่ป้าย ผมบอกตัวเองว่าผมต้องขึ้นรถคันนี้

“แล้วพบกันใหม่ครับ” ผมยิ้มให้ ก่อนที่ดร.ลีจะยิ้มให้ผม ยิ้มที่มีความอ่อนหวาน เมตตา และลึกลับอย่างเคย


ผมขึ้นไปนั่งบนรถประจำทาง ยิ้มและทักทายคนขับ
เมืองเอเธนส์ มลรัฐจอร์เจีย สหรัฐฯ เมืองที่ผมอยู่ก็เป็นแบบนี้ เมืองเก่า เล็ก ชาวเมือง ถ้าไม่ใช่นักศึกษาที่เอาแต่ขลุกกับกลุ่มตัวเอง มักจะคุ้นเคยหน้าตากันดี วันนี้ก็เหมือนกัน ผมจำหน้าตาลุงคนขับได้ แกก็ยิ้มให้ผมนิดหนึ่งก่อนที่ผมจะก้าวขึ้นไปนั่งที่ด้านหน้า

ผมกำลังอยากจะไปหาอะไรกิน แต่ก็นึกได้ว่า วันนี้วันอาทิตย์

เอเธนส์เป็นเมืองที่ค่อนข้างเคร่งครัดในศาสนาคริสต์ วันอาทิตย์ถือเป็นวันพักผ่อนของพระคริสตเจ้า ร้านรวงในเมืองสมัยใหม่และร้านอาหารใกล้บ้านผมอาจจะเปิดทำการ แต่ร้านอาหารข้างในมหาวิทยาลัยนั้นปิดหมด รถประจำทางก็เปิดเหลือเพียงน้อยสายให้วิ่ง ส่วนผับ บาร์ และแหล่งอโคจรทั้งหลายนั้นไม่เปิดทำการในวันอันศักดิ์สิทธิ์นี้
แต่ถ้าอย่างนั้น ทำไมรถสายเหนือใต้ ที่เป็นรถวิ่งเฉพาะวันธรรมดา ถึงได้วิ่งมารับผมที่ป้าย ผมก็สุดจะรู้ได้

เครื่องปรับอากาศในรถเย็นชื่นใจ ในขณะที่รถขับอย่างเชื่องช้าไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ผมคุ้นเคยดีในเมืองเอเธนส์

ทั้งรถ มีเพียงผมและคนที่นั่งเยื้องหันหน้าให้ผมเป็นชายผิวดำสองคน ทั้งคู่อยู่ในวัยกลางคนแล้ว ผิวของพวกเขาเข้มราวกับเปลือกไม้ เรียบเป็นมันวับ ดูแล้วสวยงามในฉบับของตัวเอง คนหนึ่งมีหนวดเป็นมันหยิกขดอยู่เหนือริมฝีปาก คิ้วเข้มหนา ดวงตาเล็กซ่อนอยู่ใต้โหนกคิ้วสูงและพุ่มคิ้วจนเกือบมองไม่เห็น อีกคนนั้นโกนผมและหนวดเกลี้ยงเกลา มีเด็กน้อยๆ ผิวขาวนั่งอยู่บนตัก

เด็กคนนั้นพอเห็นผมก็ขย่มตักชายผิวดำ หัวเราะเอิ้กอ้าก แล้วชี้นิ้วป้อมๆ มาทางผม ผมยักคิ้วให้อย่างคนชอบเล่นกับเด็ก

“มาจากไหนล่ะพ่อหนุ่ม” ชายคิ้วดกถามผม เสียงของเขามีสำเนียงทางใต้ชัดเจนสมกับเป็นชาวบ้านในมลรัฐจอร์เจีย

“อิลลินอยครับ” ผมตอบแล้วยิ้มให้ อิลลินอยเป็นรัฐที่ผมอาศัยอยู่มาหลายปีก่อนจะย้ายมาเมืองนี้ ผมมักตอบคำถามแบบนี้เพื่อตัดปัญหาการอธิบายเรื่องบ้านเกิดของผมยืดยาว

“ไม่ใช่สิ ไอ้หนู” ชายผิวดำโคลงหัวอย่างอ่อนใจ ผมเห็นประกายวาบออกมาจากใต้คิ้วที่ดกหนา และเข้าใจว่านั่นคือแววตาของเขา “ที่จริงๆ ที่จากมา มาจากไหน”

ไม่ใช่เรื่องแปลก คนพื้นเมืองบางคนจะไม่เชื่อว่าชาวเอเชียที่มาอยู่อาศัยนี้เป็นชาวอเมริกันอย่างแท้จริง ผมไม่ใช่จริงๆ แต่เพื่อนผมหลายคนที่เป็นชนเชื้อสายเอเชีย เกิด และโตในดินแดนนี้ มักหงุดหงิดเมื่อถูกถามแบบนี้

“ผมมาจากประเทศไทยครับ”

ชายผิวดำคนหัวโล้นเกลี้ยงยิ้มยิงฟันขาวให้ผม ดวงตาของเขาขาวเด่นอยู่บนใบหน้าสีเข้ม ชายคิ้วดกพยักหน้าเหมือนรับรู้

“ทำมาหากินอะไรล่ะ”

ผมยิ้มและตอบคำถามของแกไปเรื่อยเปื่อย ตอบไปตามจริง ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะชาวบ้านช่างซักนั้นพบได้ทั่วไปในเมืองนี้ พวกเขามักชวนคนนอกเมืองอย่างผมคุยแก้เบื่อกับการนั่งรถโดยสารเป็นเวลานานๆ บางคนเมินไม่ตอบ เพราะเห็นว่าเป็นคนแปลกหน้า แต่ผมมักจะคุยกับพวกเขาเพราะสนุกกว่านั่งรถเฉยๆ

แต่เมื่อเหลียวออกไปนอกหน้าต่าง ผมก็พบว่า รถเมล์ขับเลยป้ายที่ผมต้องลงไปเสียแล้ว

รถที่ปกติต้องไปกลับที่ท่า ข้ามสะพานเล็กเหมือนสะพานจีน ก่อนจะผ่านไปยังถนนที่ผมไม่รู้จัก แปลกดี... เวลาสองปีในเมืองเล็กๆ ผมขับจักรยานไปแทบทุกซอกซอยของเอเธนส์ แต่ผมจำถนนเส้นนี้ไม่ได้

รถโดยสารขับไปตลอดแนวรั้วไม้ไผ่สองข้าง สูงเสมอคันรถ อาการเบื้องบนจากที่มีแดดเปลี่ยนเป็นขมุกขมัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ เมื่อรถจอด ผมชะโงกมองแล้วก็ต้องทึ่งกับป้ายรถเมล์ที่เห็น

เอเธนส์เป็นเมืองศิลปะ ป้ายรถประจำทางเป็นที่หนึ่งที่มีการประกวดประขันกันมากมาย บางป้ายมีหมาบูลด็อก สัญลักษณ์ประจำเมืองยืนจังก้า บางป้ายเป็นรถโรงเรียนผ่าครึ่ง บางป้ายทาสีชมพูสด เจาะเป็นช่องๆ สีฟ้าสีส้มพราวไปหมด แต่ผมก็ไม่เคยเห็นป้ายรถเมล์ไหนที่แปลกเช่นนี้
ตัวป้ายทำจากไม้ไผ่ ไม่ใช่ไม้ไผ่สาน แต่เป็นการนำมาเรียงเป็นปล้องๆ แล้วมัดเข้าด้วยกันเป็นแผ่นกระดาน เชือกขัดเป็นกากบาทเรียงกันเป็นระเบียบตลอดแนวไม้ ไม้ไผ่ปล้องใหญ่ทำเป็นเสาสี่ด้าน หลังคาเป็นเพิงเล็กๆ รอบๆ ป้ายรถมีดอกไม้สีฟ้าปลูกแน่นขนัด หินสีเทาแบบสวนญี่ปุ่นและเฟิร์นปลูกประดับประดารายล้อม

ผมก้าวลงจากรถ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าที่นี่คือป้ายอะไร

มองไปด้านหน้า ผมเห็นตลาด แม้ภายนอกจะเป็นตอนกลางวัน หากด้วยเพิงซ้อนทับกัน หลังคาจรดทับกันหลายชั้น ทำให้ภายในดูเป็นเงามืดครึ้ม ตะเกียงและหลอดไฟส่องแสงให้เห็นทางเดินปูคอนกรีตเข้าไปภายใน มีคนเดินขวักไขว่ ชวนให้นึกถึงไชน่าทาวน์ หรือย่านร้านค้าคนจีนที่มีอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ เช่นซาน ฟรานซิสโกหรือชิคาโก ต่างกันก็แต่ความมืดทึบจนแสงอาทิตย์ส่องไปไม่ถึงเท่านั้น

...ไชน่าทาวน์ในเมืองเอเธนส์ แปลกดี

ผมหันกลับไป และพบว่ารถประจำทางที่พาผมมา หายไปอย่างไร้ร่องรอย ผมยักไหล่ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เดินเสียหน่อยก็คงไม่เสียหาย

ข้างในตลาดมีอะไรให้ดูมากมายเหมือนตลาดในไชน่าทาวน์หรือตลาดน้ำเมืองไทย ขนมไทยและจีนใส่กระทงทั้งโฟมและใบตองเรียงกันแน่นขนัด กล้วยน้ำว้าดิบเครือใหญ่สีเขียวสดในแสงนีออนวางพาดทางเดินให้กระโดดหลบ หนังสือการ์ตูนยุคเก่าใหม่สีสันสดใสเรียงเต็มแผง ภาษาจีน  ญี่ปุ่น อังกฤษ วางปะปนกัน ตามด้วยภาษาที่หายากๆ อย่างไทย เวียตนาม ภาษาลาว

ผมนึกได้ว่าควรจะถามทางกลับเอาไว้ ก็เลยเดินไปยังแผงขายขนมอะไรสักอย่างที่ดูคล้ายขนมกล้วย โรยมะพร้าวขูดฝอย ส่งกลิ่นหอมน่ากินดีทีเดียว

“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าพอจะทราบตารางรถเมล์ไหมครับ” ผมถามเป็นภาษาอังกฤษ

ชายที่หันมาน่าจะอายุไล่เลี่ยกับผม คือสักต้นยี่สิบ เป็นชายชาวจีนผิวขาว มีไฝเม็ดเล็กๆ ใต้ตาข้างขวา แต่งตัวเหมือนพ่อค้าเยาวราช สวมเสื้อขาวๆ พับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก ผ้ากับเปื้อนสีตุ่นๆ ชายคนนั้นเมื่อมองเห็นผมก็ยิ้มจนดวงตาเรียวคมหรี่แทบปิด

“ได้สิ ตอนนี้กี่โมงนะ” สำเนียงของเขาละม้ายกับผม บอกให้รู้ว่าคงย้ายมาบ้านเมืองนี้นานเอาการ แต่ย้ายมาเมื่อปลายวัยรุ่นแล้ว แม้วิธีพูดจะไหลรื่น คล่องแคล่ว แต่สำเนียงของบ้านเกิดยังพอฟังได้ภายใต้สายน้ำของภาษานั้น

ผมหยิบโทรศัพท์ กดเวลาส่งให้เขา

“อ้อ ตอนนี้สองโมงสิบแปดนาที เดี๋ยวห้าโมงน้องก็กลับได้แล้วนะ”

“ขึ้นรถเมล์ที่เดิมรึเปล่าครับ” ผมถาม รถบางสายขับวนเป็นวง จะไม่จอดที่เดิมแต่จะไปส่งใกล้ๆ แทน

“เดี๋ยวผมไปส่งก็ได้ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก เที่ยวเสร็จแล้วก็เดินกลับมาทางนี้”

ผมกล่าวขอบคุณเขา แล้วก็ออกเดินชมตลาดต่อ แต่สองสามก้าวเขาก็ร้องตามหลังมา

“อย่าเผลอไปกินอะไรในนี้เข้าก็แล้วกัน ถ้ามัวโอ้เอ้จะออกไปไม่ได้ ผมไม่รับผิดชอบนะ”

ผมจึงไม่ได้สนใจของกินอะไรตามร้านค้าอีก แม้มันจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งยั่วยวนขนาดไหน

เมื่อเดินมาจนสุดทางแล้วผมก็พบกับแผงหนังสือขนาดใหญ่ สุดปลายแผงมีประตูบานหนึ่งเปิดแง้มไว้ ภายในมีสีขาวสว่างจ้าเหมือนแสงจากภายนอกลอดเข้ามา มันสว่างจนผมต้องหรี่ตา ตัวตลาดเองก็เป็นทางตันแล้ว ไม่มีทางเดินอีกนอกจากจะเดินย้อนกลับ

ผมคิดๆ อยู่เหมือนกันว่าจะแอบแง้มประตูดูดีหรือไม่ หากเข้าไป มันอาจจะเป็นสวนเล็กๆ หรือมีตลาดอีกชั้น หรืออาจเป็นที่รกร้างก็ได้

คิดไปสักครู่ ผมก็ตัดสินใจว่าท่าทางจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่น่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว เลยกลับหลังเดินจากมา

พลางคิดว่า ใกล้ได้เวลาเดินที่นัดไว้กับพี่คนนั้นรึยังนะ

......

ผมลืมตาขึ้นในความมืด

เครื่องปรับอากาศในห้องนอนที่ประเทศไทยทำงานเต็มที่ เตียงนุ่มๆ ชวนให้ยังรู้สึกง่วงงุน ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิท ผมสงสัยว่า นี่มันเวลาเท่าไหร่แล้ว

ผมเดินไปที่นาฬิกาปลุกหน้าประตูห้อง กดปุ่มให้พรายน้ำเรืองแสงขึ้นบอกเวลา

...ห้านาฬิกา หนึ่งนาที...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่