
ว่าที่คุณแม่และครอบครัว คงจะมีคำถามนี้กันทุกคนนะคะ ยิ่งฟังคนโน้น คนนี้พูด ฟังไปฟังมาจนสับสนไปหมด
จริงๆ แล้วจะบอกว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมากและเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน
แม้แต่ในวงการสูติแพทย์เอง ก็ไม่เคยได้ข้อสรุปที่สนับสนุนหรือคัดค้านการผ่าตัดคลอดแบบไม่มีข้อบ่งชี้ หรือ elective cesarean section ได้
แต่ทั้งสองวิธีก็มีข้อดีข้อเสียที่ต่างกัน
อยากจะมานำเสนอมุมมองที่หลายๆคนไม่เคยมีโอกาสได้รู้ ลองเปิดใจให้กว้าง แล้วอ่านดูนะคะ
- คลอดเอง -
ข้อดีที่เห็นได้ชัดมากที่สุด คือ การฟื้นตัวจะเร็วกว่าการผ่าตัดคลอดมาก เมื่อคลอดเสร็จปุ๊บ มดลูกหดตัวเล็กลง
ที่สำคัญไม่มีแผลที่มดลูกด้วย (เดี๋ยวจะบอกอีกทีว่าการไม่มีแผลที่มดลูกมันดีกว่ายังไง)
โดยธรรมชาติเมื่อเข้าสู่กระบวนการคลอดจะมีการบีบตัวของมดลูกเป็นจังหวะๆ ทำให้ดันส่วนนำของทารกลงมาตามช่องทางคลอด
พร้อมกันนั้นปากมดลูกก็จะค่อยๆบางตัวลงและเปิดกว้างขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทนของคนที่เตรียมตัวจะเป็นแม่
ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติในช่วงเวลานั้น เป็นเสมือนบททดสอบที่จะพิสูจน์ว่าคุณพร้อมที่จะเป็นแม่คนแล้วหรือยัง
แน่นอนว่าหลายๆ คนที่มีประสบการณ์คงจะบอกว่า การคลอดเป็นความเจ็บปวดที่มากที่สุดในชีวิต
แต่เมื่อคุณผ่านจุดนั้นมาแล้ว รางวัลคือ ลูกน้อยที่น่ารักนั่นเอง
เมื่อคลอดออกมาทางช่องคลอด ตัวของช่องคลอดจะบีบส่วนช่องอกของทารกเพื่อรีดเอาน้ำคร่ำที่คั่งค้างอยู่ในปอด
เมื่อลูกน้อยสูดอากาศหายใจเข้าครั้งแรก น้ำคร่ำจะดูดซึมเข้าสู่เส้นเลือดส่วนหนึ่งและทำให้ปอดไม่ชื้น
ต่างจากทารกที่ผ่าคลอด ทรวงอกของทารกจะไม่ได้รับการบีบรัดแบบนี้ทำให้มีโอกาสที่จะมีน้ำคั่งในปอด
และหายใจเร็วตามมาได้ซึ่งพบได้บ่อยกว่าทารกที่คลอดทางช่องคลอด
นอกจากนี้ถ้าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ probiotic หรือ prebiotic
ซึ่งมีนมผสมหลายๆ ยี่ห้อพยายามโฆษณาอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากเชื่อว่ามีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อย
ทารกที่คลอดทางช่องคลอดในระหว่างที่เดินทางผ่านช่องทางคลอดจะมีการกลืนสารคัดหลั่งในช่องทางคลอด
ซึ่งอุดมไปด้วยแบคทีเรียที่เป็น probiotic มากมาย เข้าสู่ลำไส้ไปกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
จะพบว่าเด็กเหล่านี้มีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่า นมหลายๆ ยี่ห้อจึงพยายามจะใส่สิ่งเหล่านี้เข้าไปทดแทนในเด็กที่แม่ผ่าคลอด
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถเทียบเท่าธรรมชาติได้หรอกนะ ^^
ข้อเสียของการคลอดเอง คือ กำหนดวันเวลาไม่ได้ ดังนั้นใครที่มีฤกษ์ก็คงจะกำหนดไม่ได้
(แต่บอกตามตรงว่าเหตุผลนี้เป็นเหตุผลที่จิ๊บจ๊อยมากจนคิดว่าไม่ใช่ข้อเสียเลย เพราะไม่เห็นด้วยกับการผ่าคลอดตามฤกษ์อยู่แล้ว
มันเป็นเรื่องของธุรกิจและความเชื่อส่วนบุคคล ไม่ใช่มาตรฐานการดูแลทางการแพทย์)
คุณแม่อาจจะต้องทนเจ็บปวดอยู่นาน ซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติของการคลอด
แต่ความเจ็บปวดในระหว่างการคลอดก็สามารถให้ยาระงับปวดได้หลายวิธี
ทั้งฉีดเข้าเส้นเลือด ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การฉีดยาเข้าช่องน้ำไขสันหลัง หรือแม้แต่การฝังเข็ม ซึ่งปัจจุบันได้ผลดีมาก
ระหว่างการรอคลอดก็อาจเกิดภาวะบางอย่าง เช่น ปากมดลูกไม่เปิดเพิ่ม คลอดไม่ออก หัวใจเด็กเต้นช้า ทำให้ต้องผ่าตัดฉุกเฉินอยู่ดี
แต่เชื่อเถอะค่ะว่าโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ส่วนใหญ่คลอดเองได้
คุณแม่หลายๆ คนที่กำลังตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการคลอด ลองดูว่า "สิ่งที่ลูกน้อยจะสูญเสีย" เพียงเพราะฤกษ์ดี หรือแม่กลัวเจ็บ มันคุ้มกันหรือเปล่า
-ผ่าคลอด-
ข้อดีของการผ่าคลอด ที่ชัดเจนคือแม่ไม่ต้องทนเจ็บ มีการควบคุมความเจ็บปวดที่ได้ผลค่อนข้างแน่นอน
และสามารถกำหนดเวลาคลอดได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในกรณีที่เป็นเคสที่ซับซ้อน ต้องการทีมแพทย์ดูแลหลายแผนก
อีกอย่างคือไม่ต้องเสี่ยงกับการเกิดภาวะแทรกซ้อนบางอย่างระหว่างรอคลอด เช่น หัวใจเด็กเต้นช้า สายสะดือโผล่ ปากมดลูกไม่เปิด
แต่ก็ต้องเพิ่มความเสี่ยงจากการดมยาสลบหรือบล๊อกหลังแทน
... จริงๆ ต้องบอกไว้ก่อนว่าการผ่าคลอดในปัจจุบันมีความปลอดภัยขึ้นมาก ทั้งเรื่องเทคนิคการผ่าตัดและการระงับปวดในระหว่างการผ่าตัด
(ไม่ว่าจะเป็นการฉีดยาเข้าช่องน้ำไขสันหลังหรือที่เรียกกันว่าบล็อคหลัง – spinal block หรือการดมยาสลบ – general anesthesia)
ดังนั้นถ้ามีความ “จำเป็น” ต้องผ่าคลอด ด้วยข้อบ่งชี้ทางสูติศาสตร์ เช่น เด็กท่าก้น เด็กตัวโต อุ้งเชิงกรานมารดาแคบ
ทารกมีความพิการที่ไม่สามารถคลอดเองได้ ปากมดลูกไม่เปิดหรือเปิดช้า หรือทารกมีภาวะหัวใจเต้นช้า
ถ้ามีข้อบ่งชี้ที่จำเป็นก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะเหตุผลมันคุ้มกัน
... ในที่นี้จะพูดถึงเฉพาะคนที่ “ขอ” ผ่าคลอด โดยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ หรือผ่าคลอดเพราะกลัวเจ็บเวลาคลอดเอง
หรือผ่าคลอดตามฤกษ์ มาดูกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากแผลผ่าตัด มีอะไรที่คุ้มกันกับการผ่าคลอดโดยไม่จำเป็นหรือเปล่า
... เมื่อผ่าตัดคลอดแล้ว คุณแม่ก็จะมีแผล ไม่ใช่แผลที่หน้าท้องเท่านั้น แต่เป็นแผลที่มดลูกด้วย
... การผ่าตัดต้องเปิดผิวหนัง ผ่านชั้นไขมัน ชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ ชั้นเยื่อหุ้มช่องท้อง แล้วถึงจะเป็นส่วนของมดลูก
จากนั้นต้องเปิดแผลที่มดลูกเข้าไปเพื่อเอาทารกออกมา โดยทั่วไปแผลที่มดลูกในปัจจุบันจะกรีดเป็นแนวขวาง ที่บริเวณมดลูกส่วนล่าง
(lower uterine segment) ซึ่งมีกล้ามเนื้อน้อยกว่าบริเวณมดลูกด้านบน (upper uterine segment)
เมื่อมีแผลที่มดลูก กระบวนการหายของแผล (wound healing) ก็จะคล้ายคลึงกับการหายของแผลในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
คือ อาศัยกระบวนการอักเสบ (inflammation process) เพื่อสร้างเนื้อเยื่อใหม่
อย่างไรก็ตามเหมือนแผลเป็นตามผิวหนังของร่างกาย ความแข็งแรงของโครงสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในบริเวณแผลก็จะไม่แข็งแรงเท่ากับบริเวณอื่นๆ ของมดลูก
กลายเป็นจุดอ่อนของมดลูกไป ....
เมื่อมีการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ... ลองคิดดูว่ามดลูกที่ขนาดเพียงเท่ากำปั้นก่อนการตั้งครรภ์ ต้องขยายมากขนาดไหนเมื่อครบกำหนดคลอด
ก็ขนาดที่ใส่เด็กน้ำหนัก 3-4 กิโลกรัมเข้าไปได้แหละนะ มดลูกมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมาก เมื่อเข้าสู่ระยะการคลอดและมีการบีบตัวของมดลูก
จะเกิดแรงมหาศาล ความดันในมดลูกจะเกิดขึ้นอย่างมาก มากขนาดที่จะดันให้ปากมดลูกที่แข็งแรงซึ่งพยุงการตั้งครรภ์มาได้ถึง 40 สัปดาห์
เปิดออกและดันเด็กออกมาตามช่องทางคลอดได้นั่นแหละ
... แต่ถ้ามีแผลเป็นซึ่งเป็นเหมือนจุดอ่อนของมดลูก เมื่อมีการเจ็บครรภ์คลอดมดลูกบีบตัวความดันในมดลูกสูงขึ้น ลองคิดดูนะคะว่าจะเกิดอะไร
.... ความเสี่ยงที่จะเกิดมดลูกแตก (uterine rupture) ในตำแหน่งที่เคยผ่าตัดมาก่อนก็จะสูงขึ้นกว่าคนที่ไม่มีแผลที่มดลูก
ความเสี่ยงจะอยู่ที่ประมาณ 0.5-1% ในกรณีที่แผลผ่าตัดที่มดลูกเป็นแบบแนวขวางที่มดลูกส่วนล่างที่ทำกันทั่วไป (low transverse incision)
***อ่านดีๆ นะคะ หมายถึงแผลที่มดลูก ไม่ใช่แผลหน้าท้อง ***
แต่ถ้าเป็นแผลแบบอื่นซึ่งจำเป็นต้องทำในบางราย เช่น กรีดที่ส่วนบนของมดลูก หรือกรีดตามแนวยาว ความเสี่ยงจะสูงกว่านี้อีกนะคะ
.... ถ้ามดลูกแตกจะเกิดอะไร ก็จะเพื่มอัตราตายของทารก และอัตราตายของมารดาสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม .... อย่าเพิ่งจิตตก เพราะไม่ได้เกิดกับทุกคน แต่บอกว่ามีโอกาสเสี่ยง “เพิ่มขึ้น”
และส่วนมากหมอมักจะนัดผ่าตัดคลอดในคนที่เคยผ่าตัดคลอดในครรภ์ก่อนประมาณ 38-39 สัปดาห์
ซึ่งเป็นช่วงที่สมดุลระหว่างทารกโตเต็มที่และการเจ็บครรภ์คลอดจะไม่เกิดขึ้นก่อน ... แต่เราก็ไม่รู้แน่หรอกใช่มั๊ยคะ ว่าคุณจะเจ็บครรภ์คลอดเทื่อไหร่
.... นอกจากนี้ เมื่อมีแผลผ่าตัดที่เป็นจุดอ่อนอยู่ ถ้าเกิดโชคร้ายไปกว่านั้น “รก” เกิดไปเกาะในตำแหน่งที่เป็นแผลพอดี จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง
โดยปกติเมื่อมีการฝังตัวของรก รกจะฝังตัวในชั้น “เยื่อบุโพรงมดลูก” เท่านั้น ถ้าเกาะลึกกว่านั้นจะเรียกว่ารกเกาะลึก (placenta adherens)
ซึ่งจะลึกขนาดไหนก็จะมีแบ่งเป็นระดับ ลึกระดับกล้ามเนื้อมดลูก หรือทะลุออกมานอกมดลูกก็ได้
ที่น่ากลัวคือถ้ารกมาเกาะส่วนที่เป็นแผลแล้วเกิดรกเกาะลึกนี่ล่ะ .... เพราะมันจะเอาไม่ออก
หลังคลอดรกจะไม่ลอกตามปกติ จะใช้มือดึงแบบลอกกระดาษกาวสองหน้าแน่นๆ ก็ไม่ได้ มดลูกจะฉีกไปด้วย แล้วก็จะเสียเลือดมาก
บางคนอาจจะเสียเลือดมากถึง 5-10 ลิตรเลยทีเดียว
... ถ้าเกิดแบบนี้แล้วทำยังไงล่ะ ... ก็ทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากหลังคลอดเด็ก (ซึ่งก็ยากมากในภาวะนี้) ก็ห้ามลอกรก แต่ตัดออกมาทั้งมดลูกเลย
... อย่าคิดว่าง่ายๆ นะคะ ใครเจอซักเคสเนี่ย หน้ามืดเลยนะ ลองถามคุณหมอทุกคนดู ไม่มีใครอยากเจอเคสแบบนี้หรอก เพราะมันเสี่ยงสุดๆ
... การตัดมดลูกออกในตอนที่ตั้งครรภ์ไม่ง่ายนะ เพราะตอนท้องมดลูกจะมีเลือดมาเลี้ยงเยอะมาก
เส้นเลือดขนาดเท่าหลอดยาคูลย์ตอนก่อนท้องจะขยายขนาดเป็นเกือบเท่านิ้วก้อย เนื้อเยื่อรอบๆ ก็มีเลือดมาเลี้ยงมากมาย
จะหยิบจะจับตรงไหนก็เลือดออก เรียกว่าหน้ามืดเหงื่อตกกันเลยทีเดียวล่ะ
*** แต่ก็อย่างที่บอก อย่าเพิ่งจิดตกไป เพราะไม่ได้เกิดกับทุกคน ไม่ได้เจอบ่อยมาก แต่ก็เจอได้เรื่อยๆ
โดยเฉพาะปัจจุบัน อัตราการผ่าคลอดสูงขึ้นมาก บางแห่งอัตราการผ่าคลอดมากถึง 60-70% และโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งก็ 80-90% ก็มี
นอกจากแผลที่มดลูกแล้ว การเข้าไปยุ่งกับชั้นเยื่อหุ้มช่องท้อง ก็ยังทำให้เกิดผังผืด (adhesion)
ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการหายของแผลที่เกิดจากกระบวนการอักเสบเช่นกัน
เจ้าตัว adhesion นี้อาจจะไปทำให้ลำไส้, กระเพาะปัสสาวะ หรือเยื่อบุช่องท้องเองมาแปะติดกับมดลูก เหมือนใยแมงมุมยุ่งๆ ได้
ซึ่งเราบอกไม่ได้ว่าใครจะเกิดมากหรือเกิดน้อย
... เจ้า adhesion นี้เองทำให้เกิดความยากลำบากในการผ่าตัดครั้งต่อๆ ไป ยิ่งผ่ามาก ยิ่งเกิด adhesion มาก
ดังนั้นคนที่เคยผ่าตัดมาหลายๆ ครั้ง จึงสร้างความลำบากใจให้กับคุณหมอผ่าตัดมากกว่าคนที่ไม่เคยผ่าตัดมาก่อน
เพราะกลัวว่าถ้ามี adhesion ติดอิรุงตุงนัง อาจจะเกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะอื่นแบบไม่ได้ตั้งใจได้
เพราะมันยากจริงๆ เคยผ่าตัดคนที่ adhesion เยอะๆ เล่นเอาหน้ามืดเหมือนกัน
... ไม่ใช่แค่ผ่าตัดคลอดครั้งต่อๆ ไป การผ่าตัดช่องท้องด้วยความจำเป็นอื่นๆ เช่น เนื้องอกมดลูก ตัดมดลูก หรือเป็นมะเร็ง
หรือบาดเจ็บในช่องท้องแล้วต้องผ่าตัด แล้วมีประวัติผ่าตัดคลอดมาก่อน โดยเฉพาะถ้าเคยผ่าตัดมาแล้วหลายๆ ครั้ง
ก็จะทำให้ความเครียดของหมอผ่าตัดเพิ่มขึ้นอีกหลายระดับ เพราะไม่รู้ว่า adhesion จะยุ่งอิรุงตุงนังขนาดไหน
จะเกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะอื่นที่ไม่จำเป็นหรือเปล่า จะเสียเลือดเยอะขึ้นหรือเปล่า
..... ปัจจุบันเรื่องการผ่าตัดคลอด เป็นเรื่องของธุรกิจมากขึ้น คุณแม่หลายๆ คนเลือกที่จะไปฝากครรภ์กับหมอที่ได้ยินมาว่าผ่าคลอดให้ตามฤกษ์
การผ่าตัดคลอดจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการคลอดเอง ค่าผ่าตัดที่แพทย์จะได้รับก็จะเยอะขึ้น ไม่ต้องมานั่งเฝ้าคลอด
ตั้งเวลาได้ว่าจะผ่าเมื่อไหร่ ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าจะคลอดได้หรือเปล่า
จะว่าไปก็ win-win เนาะ แต่เมื่อหมอได้ประโยชน์ขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ผ่ามันซะทุกคนเลยล่ะ จะมานั่งลำบากเฝ้าทำไม ทราบแล้วใช่มั๊ยคะ ....
.... สำหรับคนที่จำเป็นต้องผ่า .... ก็ผ่าเถอะคะ แต่คนที่เลือกได้ ลองคิดดูถึงสิ่งที่จะตามเหล่านี้ซักนิด
เชื่อว่าในเวลานั้น น้อยคนนักที่จะพูดถึงความเสี่ยงเหล่านี้ให้คุณฟัง
.... คุณลองชั่งดูนะคะ ว่าฤกษ์ดี แต่สิ่งที่ลูกคุณและคุณจะต้องเสี่ยงมันคุ้มกันหรือเปล่า
หมอเมษ์@ใกล้มิตรชิดหมอ
https://www.facebook.com/pages/ใกล้มิตรชิดหมอ/138161163029343?ref=hl
**แก่ไขเนื้อหาเพิ่มเติมเล็กน้อย ตามคำแนะนำของคุณ paramedian ค่ะ เพื่อไม่ให้เป็นความเห็นชี้นำด้านเดียวจนเกินไป
ภาษาที่ใช้อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยในส่วนที่เพิ่มเติมนะคะ เพราะปรับจากบทความที่เพื่อนเขียนมาอีกที แต่ทั้งเจ้าของบทความ และจขกท. เป็นแอดมินเพจด้วยกันค่ะ**
คลอดเองหรือผ่าคลอด .. ข้อดีและข้อเสีย ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้
ว่าที่คุณแม่และครอบครัว คงจะมีคำถามนี้กันทุกคนนะคะ ยิ่งฟังคนโน้น คนนี้พูด ฟังไปฟังมาจนสับสนไปหมด
จริงๆ แล้วจะบอกว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมากและเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน
แม้แต่ในวงการสูติแพทย์เอง ก็ไม่เคยได้ข้อสรุปที่สนับสนุนหรือคัดค้านการผ่าตัดคลอดแบบไม่มีข้อบ่งชี้ หรือ elective cesarean section ได้
แต่ทั้งสองวิธีก็มีข้อดีข้อเสียที่ต่างกัน
อยากจะมานำเสนอมุมมองที่หลายๆคนไม่เคยมีโอกาสได้รู้ ลองเปิดใจให้กว้าง แล้วอ่านดูนะคะ
- คลอดเอง -
ข้อดีที่เห็นได้ชัดมากที่สุด คือ การฟื้นตัวจะเร็วกว่าการผ่าตัดคลอดมาก เมื่อคลอดเสร็จปุ๊บ มดลูกหดตัวเล็กลง
ที่สำคัญไม่มีแผลที่มดลูกด้วย (เดี๋ยวจะบอกอีกทีว่าการไม่มีแผลที่มดลูกมันดีกว่ายังไง)
โดยธรรมชาติเมื่อเข้าสู่กระบวนการคลอดจะมีการบีบตัวของมดลูกเป็นจังหวะๆ ทำให้ดันส่วนนำของทารกลงมาตามช่องทางคลอด
พร้อมกันนั้นปากมดลูกก็จะค่อยๆบางตัวลงและเปิดกว้างขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทนของคนที่เตรียมตัวจะเป็นแม่
ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติในช่วงเวลานั้น เป็นเสมือนบททดสอบที่จะพิสูจน์ว่าคุณพร้อมที่จะเป็นแม่คนแล้วหรือยัง
แน่นอนว่าหลายๆ คนที่มีประสบการณ์คงจะบอกว่า การคลอดเป็นความเจ็บปวดที่มากที่สุดในชีวิต
แต่เมื่อคุณผ่านจุดนั้นมาแล้ว รางวัลคือ ลูกน้อยที่น่ารักนั่นเอง
เมื่อคลอดออกมาทางช่องคลอด ตัวของช่องคลอดจะบีบส่วนช่องอกของทารกเพื่อรีดเอาน้ำคร่ำที่คั่งค้างอยู่ในปอด
เมื่อลูกน้อยสูดอากาศหายใจเข้าครั้งแรก น้ำคร่ำจะดูดซึมเข้าสู่เส้นเลือดส่วนหนึ่งและทำให้ปอดไม่ชื้น
ต่างจากทารกที่ผ่าคลอด ทรวงอกของทารกจะไม่ได้รับการบีบรัดแบบนี้ทำให้มีโอกาสที่จะมีน้ำคั่งในปอด
และหายใจเร็วตามมาได้ซึ่งพบได้บ่อยกว่าทารกที่คลอดทางช่องคลอด
นอกจากนี้ถ้าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ probiotic หรือ prebiotic
ซึ่งมีนมผสมหลายๆ ยี่ห้อพยายามโฆษณาอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากเชื่อว่ามีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อย
ทารกที่คลอดทางช่องคลอดในระหว่างที่เดินทางผ่านช่องทางคลอดจะมีการกลืนสารคัดหลั่งในช่องทางคลอด
ซึ่งอุดมไปด้วยแบคทีเรียที่เป็น probiotic มากมาย เข้าสู่ลำไส้ไปกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
จะพบว่าเด็กเหล่านี้มีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่า นมหลายๆ ยี่ห้อจึงพยายามจะใส่สิ่งเหล่านี้เข้าไปทดแทนในเด็กที่แม่ผ่าคลอด
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถเทียบเท่าธรรมชาติได้หรอกนะ ^^
ข้อเสียของการคลอดเอง คือ กำหนดวันเวลาไม่ได้ ดังนั้นใครที่มีฤกษ์ก็คงจะกำหนดไม่ได้
(แต่บอกตามตรงว่าเหตุผลนี้เป็นเหตุผลที่จิ๊บจ๊อยมากจนคิดว่าไม่ใช่ข้อเสียเลย เพราะไม่เห็นด้วยกับการผ่าคลอดตามฤกษ์อยู่แล้ว
มันเป็นเรื่องของธุรกิจและความเชื่อส่วนบุคคล ไม่ใช่มาตรฐานการดูแลทางการแพทย์)
คุณแม่อาจจะต้องทนเจ็บปวดอยู่นาน ซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติของการคลอด
แต่ความเจ็บปวดในระหว่างการคลอดก็สามารถให้ยาระงับปวดได้หลายวิธี
ทั้งฉีดเข้าเส้นเลือด ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การฉีดยาเข้าช่องน้ำไขสันหลัง หรือแม้แต่การฝังเข็ม ซึ่งปัจจุบันได้ผลดีมาก
ระหว่างการรอคลอดก็อาจเกิดภาวะบางอย่าง เช่น ปากมดลูกไม่เปิดเพิ่ม คลอดไม่ออก หัวใจเด็กเต้นช้า ทำให้ต้องผ่าตัดฉุกเฉินอยู่ดี
แต่เชื่อเถอะค่ะว่าโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ส่วนใหญ่คลอดเองได้
คุณแม่หลายๆ คนที่กำลังตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการคลอด ลองดูว่า "สิ่งที่ลูกน้อยจะสูญเสีย" เพียงเพราะฤกษ์ดี หรือแม่กลัวเจ็บ มันคุ้มกันหรือเปล่า
-ผ่าคลอด-
ข้อดีของการผ่าคลอด ที่ชัดเจนคือแม่ไม่ต้องทนเจ็บ มีการควบคุมความเจ็บปวดที่ได้ผลค่อนข้างแน่นอน
และสามารถกำหนดเวลาคลอดได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในกรณีที่เป็นเคสที่ซับซ้อน ต้องการทีมแพทย์ดูแลหลายแผนก
อีกอย่างคือไม่ต้องเสี่ยงกับการเกิดภาวะแทรกซ้อนบางอย่างระหว่างรอคลอด เช่น หัวใจเด็กเต้นช้า สายสะดือโผล่ ปากมดลูกไม่เปิด
แต่ก็ต้องเพิ่มความเสี่ยงจากการดมยาสลบหรือบล๊อกหลังแทน
... จริงๆ ต้องบอกไว้ก่อนว่าการผ่าคลอดในปัจจุบันมีความปลอดภัยขึ้นมาก ทั้งเรื่องเทคนิคการผ่าตัดและการระงับปวดในระหว่างการผ่าตัด
(ไม่ว่าจะเป็นการฉีดยาเข้าช่องน้ำไขสันหลังหรือที่เรียกกันว่าบล็อคหลัง – spinal block หรือการดมยาสลบ – general anesthesia)
ดังนั้นถ้ามีความ “จำเป็น” ต้องผ่าคลอด ด้วยข้อบ่งชี้ทางสูติศาสตร์ เช่น เด็กท่าก้น เด็กตัวโต อุ้งเชิงกรานมารดาแคบ
ทารกมีความพิการที่ไม่สามารถคลอดเองได้ ปากมดลูกไม่เปิดหรือเปิดช้า หรือทารกมีภาวะหัวใจเต้นช้า
ถ้ามีข้อบ่งชี้ที่จำเป็นก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะเหตุผลมันคุ้มกัน
... ในที่นี้จะพูดถึงเฉพาะคนที่ “ขอ” ผ่าคลอด โดยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ หรือผ่าคลอดเพราะกลัวเจ็บเวลาคลอดเอง
หรือผ่าคลอดตามฤกษ์ มาดูกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากแผลผ่าตัด มีอะไรที่คุ้มกันกับการผ่าคลอดโดยไม่จำเป็นหรือเปล่า
... เมื่อผ่าตัดคลอดแล้ว คุณแม่ก็จะมีแผล ไม่ใช่แผลที่หน้าท้องเท่านั้น แต่เป็นแผลที่มดลูกด้วย
... การผ่าตัดต้องเปิดผิวหนัง ผ่านชั้นไขมัน ชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ ชั้นเยื่อหุ้มช่องท้อง แล้วถึงจะเป็นส่วนของมดลูก
จากนั้นต้องเปิดแผลที่มดลูกเข้าไปเพื่อเอาทารกออกมา โดยทั่วไปแผลที่มดลูกในปัจจุบันจะกรีดเป็นแนวขวาง ที่บริเวณมดลูกส่วนล่าง
(lower uterine segment) ซึ่งมีกล้ามเนื้อน้อยกว่าบริเวณมดลูกด้านบน (upper uterine segment)
เมื่อมีแผลที่มดลูก กระบวนการหายของแผล (wound healing) ก็จะคล้ายคลึงกับการหายของแผลในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
คือ อาศัยกระบวนการอักเสบ (inflammation process) เพื่อสร้างเนื้อเยื่อใหม่
อย่างไรก็ตามเหมือนแผลเป็นตามผิวหนังของร่างกาย ความแข็งแรงของโครงสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในบริเวณแผลก็จะไม่แข็งแรงเท่ากับบริเวณอื่นๆ ของมดลูก
กลายเป็นจุดอ่อนของมดลูกไป ....
เมื่อมีการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ... ลองคิดดูว่ามดลูกที่ขนาดเพียงเท่ากำปั้นก่อนการตั้งครรภ์ ต้องขยายมากขนาดไหนเมื่อครบกำหนดคลอด
ก็ขนาดที่ใส่เด็กน้ำหนัก 3-4 กิโลกรัมเข้าไปได้แหละนะ มดลูกมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมาก เมื่อเข้าสู่ระยะการคลอดและมีการบีบตัวของมดลูก
จะเกิดแรงมหาศาล ความดันในมดลูกจะเกิดขึ้นอย่างมาก มากขนาดที่จะดันให้ปากมดลูกที่แข็งแรงซึ่งพยุงการตั้งครรภ์มาได้ถึง 40 สัปดาห์
เปิดออกและดันเด็กออกมาตามช่องทางคลอดได้นั่นแหละ
... แต่ถ้ามีแผลเป็นซึ่งเป็นเหมือนจุดอ่อนของมดลูก เมื่อมีการเจ็บครรภ์คลอดมดลูกบีบตัวความดันในมดลูกสูงขึ้น ลองคิดดูนะคะว่าจะเกิดอะไร
.... ความเสี่ยงที่จะเกิดมดลูกแตก (uterine rupture) ในตำแหน่งที่เคยผ่าตัดมาก่อนก็จะสูงขึ้นกว่าคนที่ไม่มีแผลที่มดลูก
ความเสี่ยงจะอยู่ที่ประมาณ 0.5-1% ในกรณีที่แผลผ่าตัดที่มดลูกเป็นแบบแนวขวางที่มดลูกส่วนล่างที่ทำกันทั่วไป (low transverse incision)
***อ่านดีๆ นะคะ หมายถึงแผลที่มดลูก ไม่ใช่แผลหน้าท้อง ***
แต่ถ้าเป็นแผลแบบอื่นซึ่งจำเป็นต้องทำในบางราย เช่น กรีดที่ส่วนบนของมดลูก หรือกรีดตามแนวยาว ความเสี่ยงจะสูงกว่านี้อีกนะคะ
.... ถ้ามดลูกแตกจะเกิดอะไร ก็จะเพื่มอัตราตายของทารก และอัตราตายของมารดาสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม .... อย่าเพิ่งจิตตก เพราะไม่ได้เกิดกับทุกคน แต่บอกว่ามีโอกาสเสี่ยง “เพิ่มขึ้น”
และส่วนมากหมอมักจะนัดผ่าตัดคลอดในคนที่เคยผ่าตัดคลอดในครรภ์ก่อนประมาณ 38-39 สัปดาห์
ซึ่งเป็นช่วงที่สมดุลระหว่างทารกโตเต็มที่และการเจ็บครรภ์คลอดจะไม่เกิดขึ้นก่อน ... แต่เราก็ไม่รู้แน่หรอกใช่มั๊ยคะ ว่าคุณจะเจ็บครรภ์คลอดเทื่อไหร่
.... นอกจากนี้ เมื่อมีแผลผ่าตัดที่เป็นจุดอ่อนอยู่ ถ้าเกิดโชคร้ายไปกว่านั้น “รก” เกิดไปเกาะในตำแหน่งที่เป็นแผลพอดี จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง
โดยปกติเมื่อมีการฝังตัวของรก รกจะฝังตัวในชั้น “เยื่อบุโพรงมดลูก” เท่านั้น ถ้าเกาะลึกกว่านั้นจะเรียกว่ารกเกาะลึก (placenta adherens)
ซึ่งจะลึกขนาดไหนก็จะมีแบ่งเป็นระดับ ลึกระดับกล้ามเนื้อมดลูก หรือทะลุออกมานอกมดลูกก็ได้
ที่น่ากลัวคือถ้ารกมาเกาะส่วนที่เป็นแผลแล้วเกิดรกเกาะลึกนี่ล่ะ .... เพราะมันจะเอาไม่ออก
หลังคลอดรกจะไม่ลอกตามปกติ จะใช้มือดึงแบบลอกกระดาษกาวสองหน้าแน่นๆ ก็ไม่ได้ มดลูกจะฉีกไปด้วย แล้วก็จะเสียเลือดมาก
บางคนอาจจะเสียเลือดมากถึง 5-10 ลิตรเลยทีเดียว
... ถ้าเกิดแบบนี้แล้วทำยังไงล่ะ ... ก็ทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากหลังคลอดเด็ก (ซึ่งก็ยากมากในภาวะนี้) ก็ห้ามลอกรก แต่ตัดออกมาทั้งมดลูกเลย
... อย่าคิดว่าง่ายๆ นะคะ ใครเจอซักเคสเนี่ย หน้ามืดเลยนะ ลองถามคุณหมอทุกคนดู ไม่มีใครอยากเจอเคสแบบนี้หรอก เพราะมันเสี่ยงสุดๆ
... การตัดมดลูกออกในตอนที่ตั้งครรภ์ไม่ง่ายนะ เพราะตอนท้องมดลูกจะมีเลือดมาเลี้ยงเยอะมาก
เส้นเลือดขนาดเท่าหลอดยาคูลย์ตอนก่อนท้องจะขยายขนาดเป็นเกือบเท่านิ้วก้อย เนื้อเยื่อรอบๆ ก็มีเลือดมาเลี้ยงมากมาย
จะหยิบจะจับตรงไหนก็เลือดออก เรียกว่าหน้ามืดเหงื่อตกกันเลยทีเดียวล่ะ
*** แต่ก็อย่างที่บอก อย่าเพิ่งจิดตกไป เพราะไม่ได้เกิดกับทุกคน ไม่ได้เจอบ่อยมาก แต่ก็เจอได้เรื่อยๆ
โดยเฉพาะปัจจุบัน อัตราการผ่าคลอดสูงขึ้นมาก บางแห่งอัตราการผ่าคลอดมากถึง 60-70% และโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งก็ 80-90% ก็มี
นอกจากแผลที่มดลูกแล้ว การเข้าไปยุ่งกับชั้นเยื่อหุ้มช่องท้อง ก็ยังทำให้เกิดผังผืด (adhesion)
ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการหายของแผลที่เกิดจากกระบวนการอักเสบเช่นกัน
เจ้าตัว adhesion นี้อาจจะไปทำให้ลำไส้, กระเพาะปัสสาวะ หรือเยื่อบุช่องท้องเองมาแปะติดกับมดลูก เหมือนใยแมงมุมยุ่งๆ ได้
ซึ่งเราบอกไม่ได้ว่าใครจะเกิดมากหรือเกิดน้อย
... เจ้า adhesion นี้เองทำให้เกิดความยากลำบากในการผ่าตัดครั้งต่อๆ ไป ยิ่งผ่ามาก ยิ่งเกิด adhesion มาก
ดังนั้นคนที่เคยผ่าตัดมาหลายๆ ครั้ง จึงสร้างความลำบากใจให้กับคุณหมอผ่าตัดมากกว่าคนที่ไม่เคยผ่าตัดมาก่อน
เพราะกลัวว่าถ้ามี adhesion ติดอิรุงตุงนัง อาจจะเกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะอื่นแบบไม่ได้ตั้งใจได้
เพราะมันยากจริงๆ เคยผ่าตัดคนที่ adhesion เยอะๆ เล่นเอาหน้ามืดเหมือนกัน
... ไม่ใช่แค่ผ่าตัดคลอดครั้งต่อๆ ไป การผ่าตัดช่องท้องด้วยความจำเป็นอื่นๆ เช่น เนื้องอกมดลูก ตัดมดลูก หรือเป็นมะเร็ง
หรือบาดเจ็บในช่องท้องแล้วต้องผ่าตัด แล้วมีประวัติผ่าตัดคลอดมาก่อน โดยเฉพาะถ้าเคยผ่าตัดมาแล้วหลายๆ ครั้ง
ก็จะทำให้ความเครียดของหมอผ่าตัดเพิ่มขึ้นอีกหลายระดับ เพราะไม่รู้ว่า adhesion จะยุ่งอิรุงตุงนังขนาดไหน
จะเกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะอื่นที่ไม่จำเป็นหรือเปล่า จะเสียเลือดเยอะขึ้นหรือเปล่า
..... ปัจจุบันเรื่องการผ่าตัดคลอด เป็นเรื่องของธุรกิจมากขึ้น คุณแม่หลายๆ คนเลือกที่จะไปฝากครรภ์กับหมอที่ได้ยินมาว่าผ่าคลอดให้ตามฤกษ์
การผ่าตัดคลอดจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการคลอดเอง ค่าผ่าตัดที่แพทย์จะได้รับก็จะเยอะขึ้น ไม่ต้องมานั่งเฝ้าคลอด
ตั้งเวลาได้ว่าจะผ่าเมื่อไหร่ ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าจะคลอดได้หรือเปล่า
จะว่าไปก็ win-win เนาะ แต่เมื่อหมอได้ประโยชน์ขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ผ่ามันซะทุกคนเลยล่ะ จะมานั่งลำบากเฝ้าทำไม ทราบแล้วใช่มั๊ยคะ ....
.... สำหรับคนที่จำเป็นต้องผ่า .... ก็ผ่าเถอะคะ แต่คนที่เลือกได้ ลองคิดดูถึงสิ่งที่จะตามเหล่านี้ซักนิด
เชื่อว่าในเวลานั้น น้อยคนนักที่จะพูดถึงความเสี่ยงเหล่านี้ให้คุณฟัง
.... คุณลองชั่งดูนะคะ ว่าฤกษ์ดี แต่สิ่งที่ลูกคุณและคุณจะต้องเสี่ยงมันคุ้มกันหรือเปล่า
หมอเมษ์@ใกล้มิตรชิดหมอ
https://www.facebook.com/pages/ใกล้มิตรชิดหมอ/138161163029343?ref=hl
**แก่ไขเนื้อหาเพิ่มเติมเล็กน้อย ตามคำแนะนำของคุณ paramedian ค่ะ เพื่อไม่ให้เป็นความเห็นชี้นำด้านเดียวจนเกินไป
ภาษาที่ใช้อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยในส่วนที่เพิ่มเติมนะคะ เพราะปรับจากบทความที่เพื่อนเขียนมาอีกที แต่ทั้งเจ้าของบทความ และจขกท. เป็นแอดมินเพจด้วยกันค่ะ**