
สวัสดีค่ะ แหม่มเป็นสมาชิกหน้าใหม่ในพันทิปนี้นะคะ ด้วยความที่เป็นแอร์โฮสเตสมานานกว่า 13ปีแล้วตั้งแต่จบจากรั้วมหาวิทยาลัยมา (กรุณาอย่าคำนวณอายุ555)แหม่มได้เริ่มทำfacebook fanpage: skycoachmamให้ความรู้และแรงบันดาลใจเกี่ยวกับงานการบิน และเป็นโค้ชแหม่มคอยให้คำปรึกษาน้องๆมาได้สักพักหนึ่งแล้ว หนึ่งในคำถามที่น้องๆมักถามคือทำอย่างไรถึงจะสอบได้คะแนนโทอิค (TOEIC)สูงๆ เพราะสายการบินมักจะต้องการคะแนนโทอิคอย่างน้อย 550-600ขึ้นไป หรือบางสายเช่นการบินไทยก็จะมีคะแนนพิเศษให้หากผู้สมัครได้คะแนนโทอิค 800 ขึ้นไปด้วยค่ะ
ตัวแหม่มเองไม่เคยเรียนเมืองนอกหรือเรียนคอร์สโทอิคเลยแต่เรียนเอกภาษาอังกฤษ ม.ธ. และก่อนไปสอบก็ซื้อหนังสือ “ สุดยอดเทคนิค พิชิต Redesigned TOEIC” ของ ดร.กิตติ์ จิรติกุลมาทบทวนและลองทำข้อสอบดูก่อน ช่วยได้มากๆเลยค่ะเพราะตั้งแต่จบมหาลัยมา แหม่มก็แทบจะไม่ได้ทบทวนหลักไวทยกรณ์อย่างนี้ และข้อสอบโทอิคก็เปลี่ยนไปจากที่เคยสอบเมื่อ 13ปีตอนก่อนจบมากเลยทีเดียว คราวนี้แหม่มไปสอบมาได้คะแนน Part reading (480) part listening (470)รวมเป็น 950 จากคะแนนเต็ม 990 ถึงจะไม่ได้คะแนนเต็มแต่ก็ยังอยู่ในระดับค่อนข้างดีค่ะ ก็เลยจะมาแนะวิธีทำข้อสอบให้น้องๆกันเพราะช่วงนี้สายการปิดเปิดรับเยอะ และน่าจะเป็นประโยชน์กับคนหลายๆคนที่จะไปสอบด้วยค่ะ อันนี้เป็นทริคส่วนตัวที่แหม่มใช้นะคะ อย่างที่บอกแหม่มก็ไม่ใช่เด็กนอกหรือครูสอนโทอิคอะไร แค่ใช้วิธีนี้แล้วได้คะแนนดี ก็เลยเอามาแบ่งผันค่ะ ใครมีวิธีอื่นๆเอามาบอกกันเพิ่มก็ดีนะคะ
ข้อสอบมีอยู่ด้วยกัน 7 part นะคะ โดยที่ part 1-4 เป็นpart listening และ part 5-7 เป็นpart reading ค่ะ
1) Photographs : เขาจะให้เราดูรูปแล้วฟังข้อความทั้ง 4 ข้อความแล้ว เลือกว่าข้อความอันไหนจาก4ข้อความบรรยายรูปได้ดีที่สุด ทริคก็คือ ให้เราตั้งใจมองดูรูปก่อนแล้วจับจุดเด่นของรูปมาว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เช่นในโจทย์ที่1เป็นรูปบนถนนมีรถอยู่หนึ่งคัน ชายในชุดสูทกำลังไขเปิดประตูรถ เมื่อเราได้ใจความสำคัญของรูปอย่างนี้แล้ว เราก็รอฟังข้อความค่ะ
a) The man is opening the door to his office
b) The man is cleaning his car on the road
c) The man is unlocking the car door
d) The man is taking care of his car
สำหรับตัวแหม่ม ทันที่ที่ได้ยินข้อ c ซึ่งแปลว่า ผู้ชายกำลังเปิดประตูรถ ตรงกับที่แหม่มเก็งไว้ แหม่มก็จะเลือกข้อนี้ทันทีเลยค่ะ เชื่อในสัญชาตญานแรกเลย แล้วเอาเวลาที่เหลือเลื่อนสายตาไปมองดูในโจทย์รูปถัดไปทันที จะไม่ใช้เวลานั่งฟังทุกข้อความแล้วค่อยตัดสินใจ เพราะมันจะทำให้เราเตรียมตัวสำหรับข้อถัดไปไม่ทัน และถ้าหากฟังแล้วไม่มีข้อไหนบรรยายตรงกับที่เราคิดไว้เลย แหม่มจะมั่วเลือกไปสักคำตอบอย่างรวดเร็ว ไม่เสียเวลานั่งนึกเพราะเรามีโอกาสฟังแค่ครั้งเดียว เอาสมาธิไปจดจ่อกับข้อถัดไปดีกว่า
2) Questions-Response: ในส่วนนี้เราจะได้ฟังคำถามสั้นๆ และได้ฟังประโยคโต้ตอบอีก3แบบ แล้วให้เราเลือกว่าคำโต้ตอบอันไหนที่เหมาะสม ทริคคือ เราจะต้องฟังทั้งประโยคคำถามและประโยคโต้ตอบเพราะฉะนั้นเราต้องตั้งสมาธิให้แม่นฟังว่าโจทย์ถามอะไร ทันทีที่ได้ยินคำตอบที่คล้องจองกันให้เลือกข้อนั้นเลย อย่าลังเล เพราะเราจะเสียสมาธิและรวนค่ะ เช่น
Question: How are you doing?
a) By myself.
b) I am alright. And you ?
c) I am cleaning my house.
คำถามว่า How are you doing เป็นสำนวนทักทายที่พวกอเมริกันชอบใช้เวลาเจอหน้ากันค่ะ แปลประมาณว่า เป็นไงบ้าง ไม่ได้ถามว่าทำอะไรอยู่หรือทำอย่างไรนะคะ เพราะฉะนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ b ค่ะ ถ้าเรามาใช้เวลาแปลตามตัวอักษร เรามักจะได้คำตอบที่ผิด เพราะโจทย์เขาตั้งใจหลอกเราอยู่แล้ว ให้เราเลือกข้อที่ฟังแล้วรู้สึกว่าโต้ตอบแล้วใช่ แล้วตั้งใจรอฟังโจทย์ใหม่เลยทันที อย่าลบคำตอบแล้วคิดใหม่เพราะเราจะฟังข้อถัดไปไม่ทันค่ะ เท่าที่แหม่มสังเกตุตัวเองนะคะ เวลาลบแล้วแก้ใหม่ มักจะผิดทุกทีอ่ะค่ะ
3) Short conversation: เราจะได้ฟังบทสนทนาโต้ตอบสั้นๆ สำหรับคำถาม 2-3ข้อค่ะ ในข้อสอบจะมีคำถามพร้อมตัวเลือกอยู่แล้วเกี่ยวกับบทสนทนาที่เราจะได้ฟัง คำถามมักจะถามว่า
1) ใคร (สามี ภรรยา พี่ชาย น้องสาว?), อาชีพอะไร
2) บทสนทนานี้เกิดที่ไหน
3) ผู้สนทนาทำอะไร
4) บทสนทนานี้เกี่ยวกับอะไร
ทริคคือ อ่านคำถาม และตัวเลือกเอาไว้ก่อน เวลาฟังเราจะได้จับใจความได้ตรงจุดที่เขาจะถาม เวลาฟังบทสนทนา สายตามองที่คำตอบในข้อสอบ ทันที่ที่ได้รู้คำตอบก็ทำเครื่องหมายเล็กๆไว้บนข้อสอบ แล้วเลื่อนสายตาดูข้อถัดไป เช่น บทสนทนาสำหรับคำถามข้อ 41-43 รีบอ่านอย่างรวดเร็วก่อนว่าคำถามข้อ 41-43 ถามว่าอะไร แล้วขณะฟังเรื่องก็ดูตัวเลือกของข้อ 41 เอาไว้ พอทราบคำตอบก็แอบทำเครื่องหมายเล็กๆไว้บนข้อสอบเลย แล้วเลื่อนไปดูตัวเลือกของข้อ 42 ทันที ได้คำตอบข้อ 42 ให้เลื่อนไปดุตัวเลือกข้อ 43 พอได้คำตอบข้อ 43แล้วค่อยมาฝนคำตอบในกระดาษคำตอบของเรา ส่วนมากคำถามจะเรียงตามลำดับเหตุการณ์ค่ะ เรามักจะได้คำตอบของข้อ 41 ก่อนข้อ 43 การทำเครื่องหมายเล็กๆไว้ก่อนจะทำให้เราไม่ลืมว่าเราจะเลือกคำตอบข้อไหน ทันทีที่ตอบเสร็จให้รีบไปอ่านคำถามและตัวเลือกของข้อ 44-46 เลยทันที ทำอย่างนี้ไปจนจบส่วนนี้ค่ะ
4)Short talk: ส่วนนี้เป็นส่วนสุดท้ายของข้อสอบการฟังค่ะ จะคล้ายคลึงกับส่วนที่แล้วคือในข้อสอบจะมีคำถามและคำตอบมาให้ในข้อสอบ ความต่างคือ ส่วนนี้เป็นบทพูดคนเดียว ส่วนมากมักเป็นประกาศในสนามบิน ประกาศของนักบิน หรือประกาศตามสถานีรถไป ประมาณเนี้ยค่ะ ทริคเหมือนกับส่วนที่แล้วคือ อ่านคำถามและตัวเลือกเอาไว้ก่อน ว่าโจทย์จะถามเกี่ยวกับตรงไหน พอเริ่มประกาศเราก็ดูตัวเลือกไปทีละข้อเลย แล้วทำเครื่องหมายเล็กๆเอาไว้เมื่อได้คำตอบ ถ้าตอบไม่ได้ให้มั่วเลือกไปเลยค่ะ ไม่ต้องมานั่งนึกนาน เพราะจะเสียเวลาและเสียสมาธิ ทำให้ฟังข้อต่อๆไปไม่ทัน และอย่าคิดว่าจะเว้นไว้ก่อนมาทำทีหลัง เพราะคนส่วนมากทำข้อสอบไม่ทันค่ะ ไม่ต้องตกใจนะคะ ตั้งสติให้ดี สติมา ปัญญาเกิดค่ะ
จบกันไปแล้วนะคะ สำหรับ ส่วนการฟังที่คนมักจะบ่นกันว่าฟังไม่ทันบ้าง ฟังไม่ออกบ้าง อยากบอกว่าไม่แปลกหรอกค่ะ ที่เราจะรู้สึกอย่างนั้น เพราะเราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักนี่นา แต่ถ้าเราฝึกฟังบ่อยๆเราก็จะฟังได้ง่ายขึ้นนะคะ และข้อสอบก็มักจะออกคล้ายๆกันค่ะ เห็นคนที่เขาสอบติดๆกันได้คะแนนเพิ่มขึ้นอยางมากมาย ( แต่ก็เงินหายอย่างรวดเร็ว สอบครั้งละ 1500 บาท555)
ส่วนที่เหลืออีก 3 ส่วน เป็นการทดสอบทักษะการอ่านของเรา
5) Incomplete sentences: เติมประโยคให้สมบูรณ์
6) Text completion: เติมคำลงในช่องว่าง
ทั้งสองส่วนนี้ทดสอบหลักไวทยกรณ์และคลังศัพท์ล้วนๆเลยค่ะ ใครที่ตั้งใจเรียน ท่องตำหลักตำรามาเข้มข้นมักทำคะแนนจากตรงนี้ได้ไม่ยาก เพราะท่อง ท่อง ท่องจำอย่างเดียวเลย หนังสือสอบโทอิคมักจะรวบรวมคำศัพท์ที่มักปรากฏในข้อสอบ และหลักไวทยกรณ์ที่เขามักถามมาให้แล้วนะคะ เราสามารถตั้งเป้าหมายได้ค่ะว่าจะท่องจำวันละหน้า หรืออ่านวันละบท จะได้ไม่อาเจียนออกมาเป็นภาษาอังกฤษซะก่อนจะได้ไปสอบค่ะ
7) Reading comprehension: เป็นส่วนสุดท้ายของข้อสอบ และคนมักจะทำไม่ทัน คือ การอ่านจับใจความสำคัญของเนื้อหา โดยที่เขามักจะให้เป็นจดหมาย memo ประกาศ โฆษณา มา บางอันมีคววามยาวเต็มหน้ากระดาษเลย หากเราใช้เวลาอ่านข้อความทั้งหมดก็จะเสียเวลามากค่ะ ทริคคือ ข้ามไปอ่านคำถามก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาอ่านสิ่งที่เขาให้มาอย่างลวกๆค่ะ เมื่อเจอตรงจุดที่เขาถามแล้วจึงค่อยอ่านละเอียดเพื่อทำความเข้าใจตรงนั้น วิธีนี้จะช่วยประหยัดเวลาเราได้เยอะเลยค่ะ และท้ายสุด หากใกล้หมดเวลาแล้วจริงๆ เช่นเหลือ 5 นาทีสุดท้าย แล้วเหลืออีก 20 ข้อที่ยังไม่ได้ทำ ( ใครเป็นบ้างยกมือขึ้น) แนะนำให้หยุดอ่านค่ะ แล้วมั่วฝนข้อที่เหลือทุกข้อให้หมด เพราะอย่างน้อยก็ยังมีโอกาสถูก 25% (ตัวเลือกมี 4 ข้อ abcd) ไม่ต้องพยายามอ่านแล้วเร่งทำ เพราะ 5 นาที เราอาจทำได้แค่ 3-5 ข้อ และที่เหลืออีก 15 ข้อ เราไม่ได้ฝนคำตอบลงไป กระดาษคำตอบว่างมีโอกาสถูกแค่ 0%
หวังว่าวิธีของแหม่มจะช่วยคนที่กำลังจะไปสอบได้บ้างนะคะ หากอยากรู้อะไรเพิ่มเติม ถามมาได้ที่หน้าเพจ Skycoachmam ได้นะคะ ถ้าตอบยินดีตอบให้เสมอค่ะ
สมัครแอร์ สจ็วต?? แอร์รุ่นพี่แนะวิธีทำข้อสอบโทอิคค่ะ
ตัวแหม่มเองไม่เคยเรียนเมืองนอกหรือเรียนคอร์สโทอิคเลยแต่เรียนเอกภาษาอังกฤษ ม.ธ. และก่อนไปสอบก็ซื้อหนังสือ “ สุดยอดเทคนิค พิชิต Redesigned TOEIC” ของ ดร.กิตติ์ จิรติกุลมาทบทวนและลองทำข้อสอบดูก่อน ช่วยได้มากๆเลยค่ะเพราะตั้งแต่จบมหาลัยมา แหม่มก็แทบจะไม่ได้ทบทวนหลักไวทยกรณ์อย่างนี้ และข้อสอบโทอิคก็เปลี่ยนไปจากที่เคยสอบเมื่อ 13ปีตอนก่อนจบมากเลยทีเดียว คราวนี้แหม่มไปสอบมาได้คะแนน Part reading (480) part listening (470)รวมเป็น 950 จากคะแนนเต็ม 990 ถึงจะไม่ได้คะแนนเต็มแต่ก็ยังอยู่ในระดับค่อนข้างดีค่ะ ก็เลยจะมาแนะวิธีทำข้อสอบให้น้องๆกันเพราะช่วงนี้สายการปิดเปิดรับเยอะ และน่าจะเป็นประโยชน์กับคนหลายๆคนที่จะไปสอบด้วยค่ะ อันนี้เป็นทริคส่วนตัวที่แหม่มใช้นะคะ อย่างที่บอกแหม่มก็ไม่ใช่เด็กนอกหรือครูสอนโทอิคอะไร แค่ใช้วิธีนี้แล้วได้คะแนนดี ก็เลยเอามาแบ่งผันค่ะ ใครมีวิธีอื่นๆเอามาบอกกันเพิ่มก็ดีนะคะ
ข้อสอบมีอยู่ด้วยกัน 7 part นะคะ โดยที่ part 1-4 เป็นpart listening และ part 5-7 เป็นpart reading ค่ะ
1) Photographs : เขาจะให้เราดูรูปแล้วฟังข้อความทั้ง 4 ข้อความแล้ว เลือกว่าข้อความอันไหนจาก4ข้อความบรรยายรูปได้ดีที่สุด ทริคก็คือ ให้เราตั้งใจมองดูรูปก่อนแล้วจับจุดเด่นของรูปมาว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เช่นในโจทย์ที่1เป็นรูปบนถนนมีรถอยู่หนึ่งคัน ชายในชุดสูทกำลังไขเปิดประตูรถ เมื่อเราได้ใจความสำคัญของรูปอย่างนี้แล้ว เราก็รอฟังข้อความค่ะ
a) The man is opening the door to his office
b) The man is cleaning his car on the road
c) The man is unlocking the car door
d) The man is taking care of his car
สำหรับตัวแหม่ม ทันที่ที่ได้ยินข้อ c ซึ่งแปลว่า ผู้ชายกำลังเปิดประตูรถ ตรงกับที่แหม่มเก็งไว้ แหม่มก็จะเลือกข้อนี้ทันทีเลยค่ะ เชื่อในสัญชาตญานแรกเลย แล้วเอาเวลาที่เหลือเลื่อนสายตาไปมองดูในโจทย์รูปถัดไปทันที จะไม่ใช้เวลานั่งฟังทุกข้อความแล้วค่อยตัดสินใจ เพราะมันจะทำให้เราเตรียมตัวสำหรับข้อถัดไปไม่ทัน และถ้าหากฟังแล้วไม่มีข้อไหนบรรยายตรงกับที่เราคิดไว้เลย แหม่มจะมั่วเลือกไปสักคำตอบอย่างรวดเร็ว ไม่เสียเวลานั่งนึกเพราะเรามีโอกาสฟังแค่ครั้งเดียว เอาสมาธิไปจดจ่อกับข้อถัดไปดีกว่า
2) Questions-Response: ในส่วนนี้เราจะได้ฟังคำถามสั้นๆ และได้ฟังประโยคโต้ตอบอีก3แบบ แล้วให้เราเลือกว่าคำโต้ตอบอันไหนที่เหมาะสม ทริคคือ เราจะต้องฟังทั้งประโยคคำถามและประโยคโต้ตอบเพราะฉะนั้นเราต้องตั้งสมาธิให้แม่นฟังว่าโจทย์ถามอะไร ทันทีที่ได้ยินคำตอบที่คล้องจองกันให้เลือกข้อนั้นเลย อย่าลังเล เพราะเราจะเสียสมาธิและรวนค่ะ เช่น
Question: How are you doing?
a) By myself.
b) I am alright. And you ?
c) I am cleaning my house.
คำถามว่า How are you doing เป็นสำนวนทักทายที่พวกอเมริกันชอบใช้เวลาเจอหน้ากันค่ะ แปลประมาณว่า เป็นไงบ้าง ไม่ได้ถามว่าทำอะไรอยู่หรือทำอย่างไรนะคะ เพราะฉะนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ b ค่ะ ถ้าเรามาใช้เวลาแปลตามตัวอักษร เรามักจะได้คำตอบที่ผิด เพราะโจทย์เขาตั้งใจหลอกเราอยู่แล้ว ให้เราเลือกข้อที่ฟังแล้วรู้สึกว่าโต้ตอบแล้วใช่ แล้วตั้งใจรอฟังโจทย์ใหม่เลยทันที อย่าลบคำตอบแล้วคิดใหม่เพราะเราจะฟังข้อถัดไปไม่ทันค่ะ เท่าที่แหม่มสังเกตุตัวเองนะคะ เวลาลบแล้วแก้ใหม่ มักจะผิดทุกทีอ่ะค่ะ
3) Short conversation: เราจะได้ฟังบทสนทนาโต้ตอบสั้นๆ สำหรับคำถาม 2-3ข้อค่ะ ในข้อสอบจะมีคำถามพร้อมตัวเลือกอยู่แล้วเกี่ยวกับบทสนทนาที่เราจะได้ฟัง คำถามมักจะถามว่า
1) ใคร (สามี ภรรยา พี่ชาย น้องสาว?), อาชีพอะไร
2) บทสนทนานี้เกิดที่ไหน
3) ผู้สนทนาทำอะไร
4) บทสนทนานี้เกี่ยวกับอะไร
ทริคคือ อ่านคำถาม และตัวเลือกเอาไว้ก่อน เวลาฟังเราจะได้จับใจความได้ตรงจุดที่เขาจะถาม เวลาฟังบทสนทนา สายตามองที่คำตอบในข้อสอบ ทันที่ที่ได้รู้คำตอบก็ทำเครื่องหมายเล็กๆไว้บนข้อสอบ แล้วเลื่อนสายตาดูข้อถัดไป เช่น บทสนทนาสำหรับคำถามข้อ 41-43 รีบอ่านอย่างรวดเร็วก่อนว่าคำถามข้อ 41-43 ถามว่าอะไร แล้วขณะฟังเรื่องก็ดูตัวเลือกของข้อ 41 เอาไว้ พอทราบคำตอบก็แอบทำเครื่องหมายเล็กๆไว้บนข้อสอบเลย แล้วเลื่อนไปดูตัวเลือกของข้อ 42 ทันที ได้คำตอบข้อ 42 ให้เลื่อนไปดุตัวเลือกข้อ 43 พอได้คำตอบข้อ 43แล้วค่อยมาฝนคำตอบในกระดาษคำตอบของเรา ส่วนมากคำถามจะเรียงตามลำดับเหตุการณ์ค่ะ เรามักจะได้คำตอบของข้อ 41 ก่อนข้อ 43 การทำเครื่องหมายเล็กๆไว้ก่อนจะทำให้เราไม่ลืมว่าเราจะเลือกคำตอบข้อไหน ทันทีที่ตอบเสร็จให้รีบไปอ่านคำถามและตัวเลือกของข้อ 44-46 เลยทันที ทำอย่างนี้ไปจนจบส่วนนี้ค่ะ
4)Short talk: ส่วนนี้เป็นส่วนสุดท้ายของข้อสอบการฟังค่ะ จะคล้ายคลึงกับส่วนที่แล้วคือในข้อสอบจะมีคำถามและคำตอบมาให้ในข้อสอบ ความต่างคือ ส่วนนี้เป็นบทพูดคนเดียว ส่วนมากมักเป็นประกาศในสนามบิน ประกาศของนักบิน หรือประกาศตามสถานีรถไป ประมาณเนี้ยค่ะ ทริคเหมือนกับส่วนที่แล้วคือ อ่านคำถามและตัวเลือกเอาไว้ก่อน ว่าโจทย์จะถามเกี่ยวกับตรงไหน พอเริ่มประกาศเราก็ดูตัวเลือกไปทีละข้อเลย แล้วทำเครื่องหมายเล็กๆเอาไว้เมื่อได้คำตอบ ถ้าตอบไม่ได้ให้มั่วเลือกไปเลยค่ะ ไม่ต้องมานั่งนึกนาน เพราะจะเสียเวลาและเสียสมาธิ ทำให้ฟังข้อต่อๆไปไม่ทัน และอย่าคิดว่าจะเว้นไว้ก่อนมาทำทีหลัง เพราะคนส่วนมากทำข้อสอบไม่ทันค่ะ ไม่ต้องตกใจนะคะ ตั้งสติให้ดี สติมา ปัญญาเกิดค่ะ
จบกันไปแล้วนะคะ สำหรับ ส่วนการฟังที่คนมักจะบ่นกันว่าฟังไม่ทันบ้าง ฟังไม่ออกบ้าง อยากบอกว่าไม่แปลกหรอกค่ะ ที่เราจะรู้สึกอย่างนั้น เพราะเราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักนี่นา แต่ถ้าเราฝึกฟังบ่อยๆเราก็จะฟังได้ง่ายขึ้นนะคะ และข้อสอบก็มักจะออกคล้ายๆกันค่ะ เห็นคนที่เขาสอบติดๆกันได้คะแนนเพิ่มขึ้นอยางมากมาย ( แต่ก็เงินหายอย่างรวดเร็ว สอบครั้งละ 1500 บาท555)
ส่วนที่เหลืออีก 3 ส่วน เป็นการทดสอบทักษะการอ่านของเรา
5) Incomplete sentences: เติมประโยคให้สมบูรณ์
6) Text completion: เติมคำลงในช่องว่าง
ทั้งสองส่วนนี้ทดสอบหลักไวทยกรณ์และคลังศัพท์ล้วนๆเลยค่ะ ใครที่ตั้งใจเรียน ท่องตำหลักตำรามาเข้มข้นมักทำคะแนนจากตรงนี้ได้ไม่ยาก เพราะท่อง ท่อง ท่องจำอย่างเดียวเลย หนังสือสอบโทอิคมักจะรวบรวมคำศัพท์ที่มักปรากฏในข้อสอบ และหลักไวทยกรณ์ที่เขามักถามมาให้แล้วนะคะ เราสามารถตั้งเป้าหมายได้ค่ะว่าจะท่องจำวันละหน้า หรืออ่านวันละบท จะได้ไม่อาเจียนออกมาเป็นภาษาอังกฤษซะก่อนจะได้ไปสอบค่ะ
7) Reading comprehension: เป็นส่วนสุดท้ายของข้อสอบ และคนมักจะทำไม่ทัน คือ การอ่านจับใจความสำคัญของเนื้อหา โดยที่เขามักจะให้เป็นจดหมาย memo ประกาศ โฆษณา มา บางอันมีคววามยาวเต็มหน้ากระดาษเลย หากเราใช้เวลาอ่านข้อความทั้งหมดก็จะเสียเวลามากค่ะ ทริคคือ ข้ามไปอ่านคำถามก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาอ่านสิ่งที่เขาให้มาอย่างลวกๆค่ะ เมื่อเจอตรงจุดที่เขาถามแล้วจึงค่อยอ่านละเอียดเพื่อทำความเข้าใจตรงนั้น วิธีนี้จะช่วยประหยัดเวลาเราได้เยอะเลยค่ะ และท้ายสุด หากใกล้หมดเวลาแล้วจริงๆ เช่นเหลือ 5 นาทีสุดท้าย แล้วเหลืออีก 20 ข้อที่ยังไม่ได้ทำ ( ใครเป็นบ้างยกมือขึ้น) แนะนำให้หยุดอ่านค่ะ แล้วมั่วฝนข้อที่เหลือทุกข้อให้หมด เพราะอย่างน้อยก็ยังมีโอกาสถูก 25% (ตัวเลือกมี 4 ข้อ abcd) ไม่ต้องพยายามอ่านแล้วเร่งทำ เพราะ 5 นาที เราอาจทำได้แค่ 3-5 ข้อ และที่เหลืออีก 15 ข้อ เราไม่ได้ฝนคำตอบลงไป กระดาษคำตอบว่างมีโอกาสถูกแค่ 0%
หวังว่าวิธีของแหม่มจะช่วยคนที่กำลังจะไปสอบได้บ้างนะคะ หากอยากรู้อะไรเพิ่มเติม ถามมาได้ที่หน้าเพจ Skycoachmam ได้นะคะ ถ้าตอบยินดีตอบให้เสมอค่ะ