บัดนี้เหลือเวลาอีกสั้นจุ๊ดจู๋แล้วที่คดี ปรส. จะหมดอายุความ

กระทู้สนทนา
ดีเอสไอ-ป.ป.ช.-ปรส.? (หน่วยงานใด จะเป็น “จ่าเฉื่อย น้องจ่าเฉย)

เป็นประชารัฐ----อัคนี คคนัมพร

บัดนี้เหลือเวลาอีกสั้นจุ๊ดจู๋แล้วที่คดี ปรส. จะหมดอายุความ
ยังไม่เห็นคิดจะแถลงความคืบหน้า-คืบหลังให้ประชาชนทราบเลย
ทั้งที่ยอดความเสียหายตั้ง 600,000 ล้านบาท
ทวงกันแล้วทวงกันเล่า พบแต่ความเงียบ

เมื่อเร็วๆนี้ได้ยินข่าวว่า ป.ป.ช.(คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) เขามีโครงการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อใช้ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต นอกเหนือจากการใช้เงินจากงบประมาณประจำปีที่ทางรัฐบาลและรัฐสภาจัดให้ตามปรกติ ตามข่าวบอกว่าจะเป็นกองทุนก้อนใหญ่ทีเดียว ผู้เขียนฟังแล้วก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลย เพราะไม่ค่อยเชื่อน้ำมนต์ขององค์กรอิสระหน่วยนี้มาเสียแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ. 2548 เป็นต้นมา  รู้สึกว่าหน่วยงานหน่วยนี้รู้จักแต่จับปลาซิวปลาสร้อย  ไม่รู้จักปลาชะโดหรือปลาฉลาม ลองประเมินผลงานกันละเอียดสักหน่อย จะพบว่าหน่วยงานซึ่งกำลังขยายสาขาออกไปให้ครบ 77 จังหวัด

จนเร็วๆนี้ทำงานได้ไม่คุ้มค่าเงินเดือน สภาพจริงๆคล้ายตู้เย็นใบใหญ่ใช้สำหรับแช่เย็น แช่แข็ง เรื่องราวการทุจริต คอร์รัปชั่นมากกว่า ดูแต่เรื่องใหญ่ๆอย่างองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ที่บริหารสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน 56 แห่งที่ถูกปิดกิจการโดยฝีมือของทีมงานเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ในปี พ.ศ.2540 ก็จะปรากฏภาพให้เห็นชัด

ปิดกิจการของเขาเป็นการถาวรแล้ว นำเอาสินทรัพย์มารวมกันเข้ามูลค่า 800,000 ล้านบาท นำออกประมูลขายโดยมีเงื่อนไขฉ้อฉล พิสดารได้นำเงินกลับเข้ามาเพียง 200,000 ล้านบาทเท่านั้น

ตอนหลังมีคนจับได้ไล่ทันว่าการเปิดประมูลขายสินทรัพย์ไม่ค่อยจะโปร่งใส มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชาวต่างชาติที่เป็นที่ปรึกษาของกระทรวงการคลัง จึงนำเรื่องไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อเอาโทษแก่ผู้ที่เข้าบริหารสินทรัพย์ รวมทั้งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง กรมสอบสวนคดีพิเศษให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบล้วงลึก พบความไม่โปร่งใสหลายประการจริง จึงส่งเรื่องต่อให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อไป ป.ป.ช. รับเรื่องแล้วก็สวมบทบาทจ่าเฉยตอนที่ คมช. (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) ยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อ 19 กันยายน 2549 โดยอ้างเหตุจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันนั้น คมช. ไม่เห็นสนใจเรื่องนี้สักนิดเดียวป.ป.ช. เองก็ถือโอกาสสวมบทบาทจ่าเฉื่อย น้องจ่าเฉย ต่อไปอย่างเงียบเชียบ บัดนี้เหลือเวลาอีกสั้นจุ๊ดจู๋แล้วที่คดีจะหมดอายุความ ยังไม่เห็นคิดจะแถลงความคืบหน้า-คืบหลังให้ประชาชนทราบบ้างเลย ทั้งที่ยอดความเสียหายตั้ง 600,000 ล้านบาท อย่างนี้จะไว้ใจอะไรกันได้

ปัจจุบันนี้เรื่องการทุจริต ในการสร้างโรงพักตำรวจ 396 แห่ง มูลค่า5,800 ล้านบาท ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลกำลังเป็นเรื่องดังเปรี้ยงปร้าง ดีเอสไอเป็นเจ้าของเรื่องรวบรวมหลักฐานเป็นสำนวน
ส่งให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ เขาเปิดเผยออกมาชัดเจนว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ กับบริษัทผู้รับเหมา ต้องตกเป็นจำเลยในคดีนี้แน่นอน โดยมีอดีตผู้รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยุค
นั้นคือ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ถูกกันเป็นพยาน เพราะรูปการมันบอกว่านักการเมืองล้วงลูก ป.ป.ช. จะเล่นบทอะไรอีก เราต้องช่วยกันติดตามดู ระหว่างที่กำลังติดตามดูนี้ ผู้เขียนจะลองเล่านิทานเปิดประเด็นให้ฟังพลางๆสักเรื่องหนึ่ง

หลายปีมาแล้ว เมื่อครั้งรัฐบาลนายชวน หลีกภัย 1 ประมาณปี พ.ศ. 2535-2537 นั้น เกิดสถานการณ์ราคายางตกต่ำ รัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตร ในขณะนั้นชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เสนอโครงการปรับปรุงคุณภาพยางเพื่อยกระดับราคาขายเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง วิธีการคือ การใช้เงินงบประมาณ 900 ล้านบาท สร้างโรงรมยางให้เกษตรกรใน 300 ตำบลเกือบทั่วทุกจังหวัดที่ปลูกยางพารา 300 ตำบล 300 โรงรมยาง งบประมาณ 900 ล้านบาท ก็เท่ากับตำบลละ 3 ล้านบาท

เรื่องมันอร่อยเหาะตรงที่กระทรวงเกษตรฯกำหนดให้มีผู้รับเหมารายเดียวรับเหมาไปก่อสร้างงานใน 300 พื้นที่ของประเทศ โดยมีเงื่อนไขหลักว่าห้ามมิให้มีการรับเหมาช่วง แต่แล้วก็หามีการปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาไม่ เพราะผู้รับเหมารายเดียวไม่สามารถไปก่อสร้างพร้อมกันให้เสร็จพร้อมกันทั้ง 300 โรงได้ จึงเกิดการพลิกแพลงให้มีการรับเหมาช่วง ซ้ำร้ายมีการเรียกเก็บค่าหัวคิวกันหนักจนผู้รับเหมาช่วงทิ้งงาน โรงรมยางร้างสร้างไม่เสร็จ โครงการล้มครืน ยังไม่มีใครจับคนโกงครั้งนั้นมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ผู้คนเห็นได้ มีแต่นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ลาออกไปเพียงคนเดียว เป็นการแสดงสปิริตเฉพาะตัว

แต่ 15 ปีต่อมา คือวาระที่พรรคประชาธิปัตย์กลับมามีอำนาจยิ่งใหญ่อีกครั้งในปี 2552 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผงาด
ขึ้นเป็นรองนายกฯ คุมกิจการตำรวจ เรื่องของการสร้างโรงพัก 396 โรงปรากฏขึ้นโดยมีรูปแบบและวิธีการคล้ายคลึง
จนแทบจะพูดได้ว่าเหมือนกับโรงรมยางในครั้งกระโน้นราวกับแกะ

พูดกันเล่นๆในวงวิชาการอาชญาวิทยาว่า ผู้ร้ายที่ชอบกระทำความผิดซ้ำมีอยู่ทั่วไปในแวดวงอาชญากรรม หากติดตามดีๆจะสามารถจับตัวผู้ร้ายประเภทนี้ได้ไม่ยากกรณีโรงรมยางพารา 300 โรงกับกรณีโรงพัก 396 แห่ง พอจะเป็นกรณีตัวอย่างได้หรือไม่ นักอาชญาวิทยาไม่ได้ระบุชัด

วกกลับมาถามหน่วยงานที่มีหน้าที่ปราบปรามการทุจริตคือ ป.ป.ช. ถามว่านิทานที่ผู้เขียนเล่ามานี้ท่านเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่ ทราบมาก่อนหรือเพิ่งมาทราบตอนผู้เขียนเล่าให้ฟังวันนี้ ทราบแล้วจะเฉยไว้ หรือจะทำอะไรต่อไปก็เป็นเรื่องที่ท่านจะต้องตัดสินใจเอาเอง เพราะทุกวันนี้คนเขาเริ่มชินเสียแล้วกับบทบาทที่ปฏิบัติต่อเรื่องของ ปรส. 600,000 ล้านบาท ทวงกันแล้วทวงกันเล่า พบแต่ความเงียบ จนคนเขาเรียกท่านว่าจ่าเฉื่อย กับจ่าเฉย ช่วยกันเตะถ่วงคดีทุจริตมโหฬารนี้ รอให้คดีขาดอายุความ!

ที่มา:http://www.dailyworldtoday.com/index.php
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่