หนี้บัตรเครดิต

กระทู้คำถาม
ผมเป็นหนี้บัตรเครดิต หลายใบ รวมกันแล้ว ประมาณ 500000 กว่าบาท ทาง ธนาคาร จะฟ้อง อยากรบกวนถามหน่อยครับ ว่า เราต้องทำไงบ้าง แล้วถ้าถูกฟ้อง ทางธนาคาร สามารถยึดรถ  และบ้านของผมได้ไหมครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
ปล.ที่พิมพ์มิใช่ เพื่อให้เหล่าลูกหนี้ หนีหนี้ แต่เป็นการชี้หนทางในการ ชำระหนี้อย่างยุติธรรม จากการคิดอัตราดอกเบี้ย และค่าดำเนินการที่ไม่เป็นธรรม ของเจ้าหนี้เท่านั้น

ขั้นตอน หลังจากการหยุดชำระ แน่นอนว่าเป้นหนี้ คุณต้องชำระ คืนเจ้าหนี้
เจ้าหนี้คุณจะเริ่มฟ้องร้อง ที่ละรายๆ ไป อย่างกลัวที่จะไปขึ้นศาล

ศาลแพ่งหรือศาลผู้บริโภค มีหน้าที่แค่พิจารณาหนี้ไปตาม คำร้อง/คำโต้แย้ง ของคู่ความเท่านั้น

1. รอหมายศาล
   ในหมายศาล จะเขียนว่า ให้จำเลยมาศาลในวันนัดพิจารณาเพื่อการไกล่เกลี่ย
   ให้การแก้ข้อหาแห่งคดีและสืบพยาน ในวันที่ xx เดือน xxxxx พ.ศ.2556 เป็นต้น ซึ่งคุณจะต้องเตรียมตัวลางานไป ขึ้นศาลตามวันนัด
   คดีดำ...ก็คือคดีที่ออกหมายฟ้องแล้ว แต่ศาลยังไม่ได้พิจารณา และพิพากษา ส่วนคดีแดง...มันก็คือ คือ คดีดำ ใดๆ ที่ถูกศาลตัดสินพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

โดยที่ ศาลไม่มีหน้าที่ไปอายัดหรือยึดทรัพย์ใดๆของลูกหนี้  เพราะหน้าที่ในการอายัดหรือยึดทรัพย์ของจำเลย เป็นหน้าที่ของ"กรมบังคับคดี" เท่านั้น...ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์...แม้กระทั่งตัวของเจ้าหนี้เอง ก็ไม่มีสิทธิ์
โดยกระบวนการอายัดหรือยึดทรัพย์ดังกล่าว จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ต้องจบสิ้นคดีในการฟ้องร้องต่อศาลแล้ว โดยศาลได้มีคำสั่งให้ลูกหนี้ต้องจ่ายหนี้ ตามคำพิพากษาที่ศาลสั่ง หากลูกหนี้ก็ยังเพิกเฉยไม่ปฎิบัติตามที่ศาลสั่งดังกล่าวอยู่อีก เจ้าหนี้ก็จะเอาคำพิพากษาของศาลในคดีดังกล่าว ไปยื่นคำร้องต่อกรมบังคับคดี เพื่อให้ทางกรมบังคับคดีเป็นผู้ออกคำสั่ง และเป็นผู้ดำเนินการในการยึดและอายัดทรัพย์ของลูกหนี้
เพื่อนำมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลต่อไป

ดังนั้น...การที่ไอ้พวกทวงหนี้ อ้างว่า หากลูกหนี้ไม่ยอมจ่ายหนี้ที่ค้างชำระอยู่ เจ้าหนี้มีสิทธิ์มาอายัดหรือยึดทรัพย์ใดๆของลูกหนี้ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องฟ้องศาล นั้น จึงเป็นคำพูดที่โกหกหลวกลวง

2. เมื่อมีเจตนาขึ้นศาล แล้ว หากได้รับการติดต่อ สำนักทนายความ ให้จ่ายเงิน เพื่อตัดยอดหนี้ จำนวนเท่านั้น เท่านี้ ก็ไม่เป็นความจริงนั้นสิ้น ถ้าไม่มีเอกสารจากบริษัทฯเจ้าหนี้คุณ ลงลายมือชื่อกรรมการบริษัทฯ มาแสดงให้คุณ เพราะเป็นการหลอก ให้ลูกหนี้จ่ายเงิน เพื่อ เริ่มต้นนับอายุความใหม่ (มีผลนะครับ)

3. เมื่อไปศาลตามนัด ให้ไปดูที่บอร์ดที่ศาล ว่าคดีของคุณ อยู่ห้องไหน ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม
"อย่าไปรอนอกศาล ให้รอข้างใน รอจนกว่าศาลจะมา" เด็จขาด

เมื่อไปถึงห้องพิจารณาคดี ให้เข้าไปรายงานตัวกับ เสมียนศาล ในห้องพิจารณาคดี
บอกเจ้าหน้าที่ว่า "ผม /หนู/ดิฉัน/ยาย...มาแล้วนะ...มาคดีของ..."

อย่าไปเชื่อ มุขของทนาย หรือแม้แต่ จนท. ที่บอกว่า ให้รอข้างนอก เดี๋ยวศาลท่านจะเรียกเองเมื่อถึงคิว
เป็นเรื่องที่ ทนายขาดจริยธรรม กระทำต่อผู้ไม่รู้กฎหมาย(ผมเกียจที่สุด)

เพราะศาลท่านจะเรียกชื่อ ในห้องพิจารณาคดีเท่านั้ หากใครไม่ขาน ไม่รับ ท่านจะถือว่าจำเลยไม่ประสงค์สู้คดี และสามารถพิพากษาตามคำฟ้องของฝ่ายโจทก์
เพราะถ้าจำเลยไม่อยู่ในห้องพิจารณาคดี ทนายโจทก์ แถลงว่าจำเลยไม่มาศาล เราก็เสร็จเลย โดยส่วนใหญ่แพ้คดีกันง่ายๆ ตรงนี้

ดังนั้น เมื่อไปศาล อย่าได้เชื่อใจทนายฝ่ายโจทก์เด็กขาด ทนายเพื่องานของตัวเอง มีลูกเล่นในการชนะคดี
เช่น
1. ทำทีไปพูดคุยเห็นใจ แล้วหลอกให้ จำเลยไปนั่งรอนอกห้องพิจารณาคดี ว่าศาลจะเรียกตามคิว
2. ทำทีไปพูดคุยเห็นใจ ชักมแม่น้ำทั้งห้า เมื่อจำเลยไม่ออกจากห้อง ก็ทำทีว่าเอาเอกสารของศาลให้เซ็นต์ แล้วบอกว่า จำเลยกลับบ้านได้เลย  
ทีนี้ มี จนท. ศาลก็มาช่วยพูดจาหว่านล้อม บอกกลับได้เลย คดีเล็กๆ บัตรเครดิต ศาลไม่ตัดสินหรอก รอคำพิพากษาเลย เป็นต้น
3.ทำเป็น ประกาศรายชื่อที่บอร์ดของศาลว่า รายชื่อจำเลยอยู่ที่ “ศูนย์ไกล่เกลี่ยคดีความของศาล กับบริษัทฯ“ ลักษณะเป็นห้องคล้ายๆช่องจำหน่ายตั๋วตามสถานที่ราชการทั่วไป เหมือนว่าเป้นการเจรจาไกล่เกลี่ย ก่อนขึ้นศาล มีทนายฝ่ายโจทก์ และเจ้าหน้าที่ และ เหล่าจำเลย
เพื่อไม่ให้ จำเลย อยู่ในศาล ขณะที่ ทนายโจทก์อีกคนอยู่ในศาล เพราะถ้าไม่เจอศาล ก็เท่ากับหนีศาล ศาลจะพิพากษาตามโจทก์ฟ้องทุกประการ
4.หลอกจำเลยว่า "วันนี้ศาลท่านไม่มานั่งบัลลังก์" โดยอาจโกหกว่า ศาลป่วย หรือติดธุระสำคัญ เป็นต้น แล้วให้กลับบ้านไปก่อน และจะมีหมายศาลไปที่บ้าน เพื่อเรียกตัวมาขึ้นศาลใหม่ในนัดหน้า
5.เรียกออกมาคุย แล้วหลอกให้ไปนั่งรอศาลที่ "ผิดห้อง" หรือ "ผิดบัลลังก์"...คุณก็นั่งรอศาลไปเรื่อยๆ...จนกระทั่งศาลลงจากบัลลังก์ไปแล้ว
6.
ย้ำว่า
“อย่าไว้ใจมนุษย์” ยิ่งเป็นมนุษย์ที่หากินกับความเดือดร้อนของคนอื่น หน้าโรงหน้าศาล

3. ต่อจากการหลอกจำเลยให้กลับบ้าน แต่เป้นการหลอกให้ เซ็นต์ยอมความ เช่นทนายโจทก์เอาใบมาให้เซ็นต์ 2ใบรับรองว่ามาศาลจริง แล้วบอกให้กลับได้รอคัดคำพิพากษาอีก 2 อาทิตย์
ในเอกสารเนื้อหาข้างในจะมีใจความว่า "จำเลยได้ทำการไกล่เกลี่ยและตกลงกับโจทก์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจำเลยยินยอมชำระหนี้คืนให้กับโจทก์ พร้อมดอกเบี้ย เป็นจำนวนเงิน xxxxx บาท จึงใคร่ขอให้ศาล พิจารณาความไปตามข้อตกลงที่ได้ทำการไกล่เกลี่ยกันนี้" ลงชื่อ...........จำเลย
(มีทั้งหมด 2 ชุด...โดยชุดที่หนึ่งทนายโจทก์จะส่งให้กับศาล และชุดที่สอง ทนายจะเก็บเอาไว้เองเป็นหลักฐาน)

แน่นอนว่าเอกสารทนายโจทก์ ไม่ใช่ใบรับรองว่าจำเลยได้มาศาลจริง...ตามที่จำเลยเข้าใจ
แต่เป็นการหลอกให้จำเลยกลับบ้าน เพื่อไม่ให้จำเลยได้พบกับศาลที่หน้าบัลลังก์...จำเลยจะได้ไม่มีสิทธิ์ร้องขอต่อศาล
โดยทนายจะนำเอาเอกสารที่จำเลยเซ็นต์ให้นี้ ไปยื่นให้ศาลขณะทำการพิจารณาคดี และยัดไส้ข้อตกลง ที่เขียนเอาไว้ข้างใน...หลังจากที่จำเลยได้กลับบ้านไปแล้ว

4.เตรียม หลักฐานอย่างอื่น...เช่น ค่ารักษาพยาบาล บิดา/มารดา ที่ป่วยเป็นโรคไต , ค่ารักษาพยาบาลบุตรที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ , ค่ารักพยาบาลตัวเองที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง , หลักฐานที่แสดงว่าตัวเอง ตกงาน ถูกลดเงินเดือน ถูกเลิกจ้าง ฯลฯ เรียกความเมตตาช่วยเหลือจากศาล

5. ถ้าประสงค์จะสู้คดีก็ให้ "ยืน"คำให้การ " ต่อศาล เพราะการต่อสู้คดีบนชั้นศาล จะต้องยื่นคำให้การด้วยทุกครั้ง ไม่สามารถสู้คดีด้วยปากเปล่าได้
หากจำเลยไม่เขียนคำให้การไปยื่นต่อศาล...ศาลจะถือว่าจำเลยมีเจตนา“ไม่ต้องการสู้คดี” ต่อให้จำเลยมีหลักฐานอันแน่นหนาว่า โจทก์โกง , โจทก์ผิดกฏหมาย , โจทก์ฉ้อฉล , คดีขาดอายุความไปแล้ว...ฯลฯ ศาลท่านก็จะไม่พิจารณาตามหลักฐานดังกล่าวเลย เพราะถือว่า จำเลยไม่ยอมปฎิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของศาล ครับ อันนี้ สำหรับคดีผู้บริโภค โดยเขียนคำให้การต่อสู้เป็นภาษากฏหมาย ซึ่งถ้าเขียนเองไม่เป็น ก็ต้องจ้างทนายช่วยเขียนให้

ขอให้เจ้าของกระทู้เริ่มเก็บเงิน เพื่อใช้คืนแก่เจ้าหนี้ เพราะบางท่านสามารถเจรจาสำเร็จ ต่อหน้าศาลได้

เมื่อขึ้นศาล

หากไม่ยื่นคำให้การสู้คดี
ท่านก็ถามเราว่าคุยอะไรกับแบงก์หรือยัง จะทำยอมความไหม
ให้แถลงตามนี้ "ขอให้ท่านตัดสินให้เลย แต่เนื่องจากจำเลยเองก็ไม่มีความรู้ในเรื่องดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าปรับต่างที่แบงก์แจ้งมาว่ามันถูกต้องหรือไม่ก็อยากจะให้ศาลช่วยพิจารณาให้หน่อยว่ามีตรงไหนที่จะลดหย่อนได้บ้าง และจำเลยก็จะคุยกับทางแบงก์ในเรื่องการผ่อนชำระอีกที"

เมื่อให้ศาลตัดสินศาลก็จะออกคำบังคับวันนี้เลย
ศาลท่านก็บอกว่าศาลจะให้โจทก์ส่งเอกสารหลักฐาน แทนการสืบพยาน จำเลยขาดการส่งคำให้การ
พอเสร็จก็ให้จำเลยเซ็นต์กระดาษแผ่นหนึ่ง ที่มีข้อความเหมือนกับที่ท่านอ่านให้ฟัง
เมื่อจำเลยลงนาม

รอเจ้าหน้าที่ บอกว่ากลับบ้านได้ แล้วเป็นอันเสร็จพิธีการขึ้นศาล

หลังจากวนัที่ ท่านจะพิพากษา "ด้วยปากเปล่า" (พิพากษาเป็นคำพูด) เจ้าหน้าที่ของศาล ต้องเอาคำพิพากษาของศาลที่พูดเป็นคำพูดนี้ ไปพิมพ์เป็น "หนังสือคำพิพากษา" แล้วจะส่งให้จำเลยรับทราบ เพื่อให้สามารถใช้บังคับได้ตามกฏหมาย
ดังนั้น...ตราบใดที่จำเลยยังไม่ได้ "หนังสือคำพิพากษา" จากศาล...ก็จะยังไม่สามารถบังคับให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ (ถึงแม้ว่าศาลจะพิพากษา "ด้วยปากเปล่า" ไปแล้วก็ตาม)
"หนังสือคำพิพากษา" ส่งไปหาจำเลย ด้วยวิธีการ "ให้คุณมา คัดคำพิพากษาด้วยตนเองที่ศาล อีกในสองเดือนข้างหน้า"
หรือวิธีการ "จัดส่งหนังสือคำพิพากษาไปที่บ้านของจำเลย (เหมือนกับการส่งหมายศาลไปที่บ้านนั่นแหละ)"

จึงจะถือได้ว่า จำเลยได้รับทราบคำพิพากษาแล้วโดยสมบูรณ์ และจำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ได้รับทราบแล้วนี้...ภายใน 15 วัน...หลังจากที่ได้รับทราบแล้ว

เหตุนี้...ถ้าคุณยังไม่ได้รับทราบคำพิพากษา (ตามใน หนังสือคำพิพากษา) คุณก็ยังไม่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา...เพราะถือว่าคุณยังไม่ได้รับรู้นั้นเอง

หวังว่า ข้อความนี้ คงพอจะช่วยได้บ้าง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่