เมื่อวันที่ ‘ป๋า’ เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 1986 แมนฯยูไนเต็ด อยู่อันดับที่ 19 ของตารางดิวิชั่น 1 เดิม และไม่เคยได้แชมป์อีกมาเกือบ 2 ทรรศวรรษ นั่นเป็ฯช่วงเวลาที่ Fuji เพิ่งเปิดตัวกล้องแบบใช้แล้วทิ้งตัวแรกของโลก ขณะที่อีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ไมค์ ไทสัน จึงจะสามารถคว้าเข็มขัดแชมป์โลกเส้นแรกมาครองได้สำเร็จ (แชมป์รุ่นเฮฟวี่เวทดับเบิ้ลยูบีซี วันที่ 22 พฤษภาคม 1986) ส่วนในวงการบันเทิง มันเป็นปีแรกที่โลกได้รู้จักกับหนังดังอย่าง Top Gun และ Crocodile Dundee
มันฟังดูเหมือนเรื่องที่น่าจะเริ่มต้นแล้วด้วยวลีที่ว่า ‘กาลครั้งหนี่ง นานมาแล้ว’ โดยเฉพาะเมื่อเวยน์ รูนีย์ เพิ่งจะมีอายุครบ 1 ขวบในเดือนก่อนหน้า การจัดทัพปีศาจแดงชุดแรกของป๋าประกอบไปด้วย
เทอร์เนอร์, ดั๊กซ์ บิวรี่, พอล แม็คกรัธ, เควิน มอแรนม แฟร้งค์ อัลบิลตัน, ฮอกก์, เคลย์ตัน แบล็คมอร์, โมเสส, สเตลเพลตัน, ปีเตอร์ ดาเวนพอร์ท และบาร์นส์
‘ป๋า’ ยังไม่คุ้นชินกับลูกทีมของเขา ประสาเพิ่งเข้ามาใหม่ ชนิดที่เรียก ปีเตอร์ ดาเวนพอร์ท ว่า ‘ไนเจล’ และเขาประเดิมการคุมทีมปีศาจแดงลงสนามด้วยผลแพ้ 0-2
26 ปีที่ผ่านมา … เราสามารถจินตนาการได้เลยว่า 2 ทรรศวรรษครึ่งที่ผ่านมาแล้วว่า ‘ป๋า’ ทิ้งมรดกไว้ให้แมนฯ ยูไนเต็ด มากมายแค่ไหน ลำพังแต่ผ่านมุมมองของชายคนหนึ่งที่มีชือว่า พีท โมลินิวส์ วัย 58 ปีในปัจจุบัน ก็พอจะบอกเล่าอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว
อาทิตย์นี้ เป็นเกมที่ยูไนเต็ดจะฉลองแชมป์กับสวอนซี (ทางคุณมาเฟียรี่เขียนบทความนี้ไว้ตั้งแต่ตอนนั้น … เพียงแต่ผมยังไม่ได้คัดลอกมาลงให้พวกเราอ่านกัน) ลุงพีทคงจะเข้าไปชูป้ายที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เหมือนกับที่เคย ‘สร้างชื่อเสีย’ เอาไว้ในเดือนธันวาคม ปี 1989 ในตอนที่อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถูกกดดันด้วยความเหน็บหนาวและบรรยากาศแบบ ‘พอกันที’ ในโอลด์ แท็ฟฟอร์ด ที่ซึ่งทุกคนดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีเหมือนกันหมด
ข้อความที่ลุงพีทแกบรรจงเขียนไปร่วมกดดัน เฟอร์กี้ ในครั้งนั้นคือ ‘ Three years of excuse and we’re still crap, ta-ra Fergie’
‘3 ปีแห่งข้อแก้ตัวต่างๆ และเรายังห่วยอยู่เลย ลาแล้วเฟอร์กี้’ (Ta-ra เป็นภาษาพูดแบบตอนเหนือของอังกฤษ ใช้บอกลา ทั้งลาแบบชั่วคราว และลาขาด)'
ข้อความนั้นถุการึกไว้ในพงศาวดารลูกหนังปีศาจแดงยุคเฟอร์กี้ ซึ่งเป็นช่วงตกต่ำสุดขีดในการคุมทัมปีศาจแดงของเขาแล้ว แต่สำหรับวันอาทิตย์นี้ ลุงพีทเตรียมข้อความเวอร์ชั่นใหม่ ที่เต็มไปด้วยการสรรเสริญ ขอโทษ และขอบคุณ
พีท โมลินิวส์ คงจะอยู่ในอารมณ์เดียวกับสาวกปีศาจแดงส่วนใหญ่ ที่ต้องพยายามกลั้นน้ำตา หรือไม่ก็ต้องปล่อยให้ม้นไหลพรากตามอารมณ์ไป นอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า ที่ เดอะ ฮอร์ธอร์นส์ ซึ่งจะเป็นการคุมทีมปีศาจแดงนัดที่ 1,500 และนัดสุดท้ายของ ‘ป๋า’ (วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม)
ข้อความที่เขาเตรียมไว้อวดชาวบ้านคือ ‘Twenty-three years of silver trophies and we’re still top, ta-ra Fergie.’ (22 ปีแห่งถ้วยรางวัล และเขายังอยู่ที่นี่ และ เรายังคงเป็นอันดับหนึ่ง ลาก่อนเฟอร์กี้)
หากจะเปรียบไป เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ บรมกูรูยุไนเต็ดชาวสกอตติซ ปิดฉากยุคสมัยที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ตอนอายุ 62 ปี ขณะที่บิลด์ แชงค์ลี่ อีกหนึ่งอดีตปรมาจารย์ลูกหนังชาวสก็อตติซ ไปจากลิเวอร์พูลตอนอายุ 60 ปี ส่วนบ๊อบ เพลสลีย์ อยู่โยงที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดจนอายุ 64 ปี และ ไบรอัน ครัฟ อายุ 59 ปี ตอนเปิดหมวกอำลา
แต่ ‘ป๋า’ อายุ 71 ปีกว่า พร้อมกับมีเครื่องกระตุ้นหัวใจฝังไว้ที่หน้าอก ขณะที่ซัมเมอร์นี้ ‘ป๋า’ จะเข้ารับการผ่าตัดสะโพก ระยะเวลาประมาณ 10 ปีของอายุขัย ที่มากกว่าอดีตซือแป๋กุนซือลูกหนังทั้งหลาย ณ วันที่จากลาความยิ่งใหญ่ ตรงข้ามกับสุภาษิตที่ว่า ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากสิ่งที่ ‘ป๋า’ ทิ้งเอาไว้ อันหมายถึง legacy หรือ มรดก มันมากกว่า 38 โทรฟี่ ที่เขากวาดเข้าตู้โชว์ของแมนฯ ยูไนเต็ด มากมายนัก
ครั้งหนึ่ง หนังสือพิมพ์อังกฤษฉบับหนึ่ง เคยให้นิยาม ‘ป๋า’ ว่า ‘The Man Who Can’t Retire’ หรือ ‘ชายผู้ไม่มีวันเกษียณอายุ’ ขณะที่หลังการประกาศฃอปลดเกษียณอายุตัวเอง สื่ออีกฉบับชี้ว่า ‘ไม่มีใครเตรียมตัวรับฟุตบอลอังกฤษที่ไร้เขาไว้เลย’ เพียงประโยค 2 ประโยคนี้ ก็แสดงให้เห็ฯถึง ‘ความยิ่งใหญ่ของป๋า’ อยู่ในตัวอยู่แล้ว
มรดกที่ ‘ป๋า’ ทิ้งไว้ให้ยูไนเต็ดและวงการลูกหนัง .. ไม่เฉพาะแต่อังกฤษ .. สูงเท่าภูเขาเลากา และหนักดั่งหินผาที่ประกอบกันเข้าเป็นรูปปั้น ‘ป๋า’ ที่หน้าสนาม และมันไม่ใช่เรื่องแค่ 13 แชมป์ลีกสูงสุดกับยูไนเต็ด, 2 แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ แชมป์เปี้ยส์ลีก, 2 แชมป์อินเตอร์คอนติเนนทั่ล หรือ แชมป์ฟีฟ่า คลับเวิร์ลด คัพ, 1 ถ้วยซุปเปอร์คัพ ยุโรป, 5 แชมป์เอฟ เอ คัพ, 4 แชมป์ลีกคัพ เท่านั้น หรือหากอยากจะให้นับโทรฟี่ โล่ แชริตี้ ชิลด์ เข้าด้วย ก็ยังมีอีกตั้ง 10 โทรฟี่ ขณะที่ขวบปีสมัยอยู่อเบิร์ดีน ‘ป๋า’ ก็เขย่าบัลลังก์คู่หู ‘โอลด์ เฟิร์ม’ สอยโทรฟี่ไว้ให้อเบอร์ดีนไว้ 10 ใบด้วยกัน
ส่วนการเป็น ‘ผู้จัดการแห่งปี’ ของพรีเมียร์ลีกหน่ะหรือ? 10 ครั้งล้วนๆ (ตอนนี้ หลังการประกาศผู้จัดการทีมแห่งปีซีซั่น 2012-13 รวมได้ 11 ครั้งแล้ว) แต่หากย่อยระดับลงมาที่ ‘ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือน’ ‘ป๋า’ รับโทรฟี่จนเมื่อมือมาแล้ว 27 ครั้ง (และยังได้ตำแหน่งผู้จัดการทีมแห่ง ‘ทศวรรษ’ อีก 1 ครั้ง) ‘ป๋า’ รับโทรฟี่จนเม่อยมือมาแล้ว 28 ครั้ง ซึ่งถ้าจะรวมทุกตัวเลข ทุกความสำเร็จในชีวิต ‘ป๋า’ เข้าด้วยกัน คนเกลียดวิชาเลขคงมึน
มรดกที่ ‘ป๋า’ ทิ้งไว้ในโทรฟี่ทั้งมวลจึงบอกได้แค่ว่า … มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหาใครเทียบเคียง ตามรายชื่อให้ได้มาซึ่งถ้วยรางวัลเหล่านั้น มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย รายละเอียดยิบย่อยที่หลบมุมอยู่ตามลิ้นชักแห่งความทรงจำของเราๆ ท่านๆ ‘ป๋า’ ไม่ใช่แค่โค้ชที่ประสบความสำเร็จสูงสุดที่เคยจุติในวงการฟุตบอลลูกหนังอังกฤษ หากแต่ยังเกษียณตัวเองในฐานะกุนซือผู้มีสีสัน มีอารมณ์ขัน และโมโหร้ายกาจ อยู่ในตัว มีจิตชิงชังในความปราชัย และมีบุคคลิกในแบบที่ยากจะอธิบายได้หมด
สื่ออเมริกัน พยายามเทียบเคียงเขากับคนใกล้ตัว พบว่าไม่มีโค้ชกีฬาอเมริกันชนคนใด สามารถสื่อความเป็น ‘ป๋า’ ได้หมด เขาห้าวแบบ บิลด์ เบลิชิค เฮดโค้ช ทีมนิว อิงแลนด์ แพทรีออท ในกีฬาอเมริกันฟุตบอล เขาลุกเป็นไฟยามโมโหเหมือน บ็อบ ไนท์ อดีตโค้ชบาสเกตบลอลเรืองนาม เจ้าของฉายา ‘ท่านนายพล’ และเขาก็มีแท็คติกในการปกครองทีมแบบเซนเช่น ฟิล แจ็คสัน อดีตหนึ่งในโค้ชผู้ยิงใหญ่ของเอ็นบีเอ
ไม่ใช่เรื่องเกินความจริงไป ที่ผู้นำทั้งหลายในสาขาอาชีพต่างๆ สามารถหยิบยก ‘มรดกของป๋า’ ที่เป็นนามธรรมมาใช้กับหน้าที่การงานของตนได้ สไตล์ของ ‘ป๋า’ ไม่ได้ซับซ้อน มันแค่ยากจะอธิบายด้วยคำๆ เดียว คุณต้องโฟกัสไปที่เป้าหมาย ต้องมุ่งมั่น ต้องกล้าได้กล้าเสีย ต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด ต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และที่สำคัญ ต้องโต้ตอบให้เป็น นี่คือ คุณสมบัติต่างๆ ที่ผู้นำองค์กร หรือ ทีม พึงมี จึงจะสามารถออกมายืนอย่างโด่ดเด่นท่ามกลางฝูงชน
ศาสตราจารย์ คริส โบนส์ แห่งแมนเชสเตอร์ บิซิเนส สกูล หยิบยก 3 คุณลักษณะใหญ่ๆ ของ ‘ป๋า’ มาสอนสั่ง ประกอบด้วย :
1. วางมาตรฐานที่เป้าไปให้ได้สูงที่สุด ทั้งสำหรับตัวเองและคนอื่น
2. ตั้งคนมีฝีมือเอาไว้รอบตัวคุณ และมอบหมายหน้าที่ รวมถึงความรับผิดชอบให้กับพวกเขา
3. เรียนรู้จากความล้มเหลว หรือ ผิดพลาด และใช้มันเพื่อให้ตัวเองดีขึ้น
บทสรุปของอาจารย์โบนส์ ที่มีต่อ ‘ป๋า’ ก็คือ ‘ในโลก ซึ่งผู้นำในทุกด้านของชีวิต มีอายุทำงานที่สั้นลงทุกที แต่เซอร์อเล็กซ์คือ ข้อยกเว้น นอกจากนั้น เขายังเป็นข้อยกเว้นต่อการที่รู้ว่า เมื่อไหร่จะบอกตัวเองว่า วันนั้นมาถึงแล้ว
และทิ้งท้ายกันด้วยนิยามของ ‘ป๋า’ ของเขา
‘เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน … ก็เหมือนผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ … ที่ไม่สามารถถูกลอกเลียนแบบหรือทำซ้ำได้ แต่บุคคลที่ประสิทธิภาพพอๆ กัน สามารถทำตามแบบอย่างของเขาได้
เพียงเท่านั้น ก็อาจจะยากเกินไปสำหรับใครต่อใครแล้ว …
credit : นสพ.สตาร์ซอคเกอร์ โดย มาเฟียรี่ (ผู้อำนวยการแผนกฟุตบอลต่างประเทศ)
[บทความผีแดง 2013-05-28] มรดกของ 'ป๋า'
มันฟังดูเหมือนเรื่องที่น่าจะเริ่มต้นแล้วด้วยวลีที่ว่า ‘กาลครั้งหนี่ง นานมาแล้ว’ โดยเฉพาะเมื่อเวยน์ รูนีย์ เพิ่งจะมีอายุครบ 1 ขวบในเดือนก่อนหน้า การจัดทัพปีศาจแดงชุดแรกของป๋าประกอบไปด้วย
เทอร์เนอร์, ดั๊กซ์ บิวรี่, พอล แม็คกรัธ, เควิน มอแรนม แฟร้งค์ อัลบิลตัน, ฮอกก์, เคลย์ตัน แบล็คมอร์, โมเสส, สเตลเพลตัน, ปีเตอร์ ดาเวนพอร์ท และบาร์นส์
‘ป๋า’ ยังไม่คุ้นชินกับลูกทีมของเขา ประสาเพิ่งเข้ามาใหม่ ชนิดที่เรียก ปีเตอร์ ดาเวนพอร์ท ว่า ‘ไนเจล’ และเขาประเดิมการคุมทีมปีศาจแดงลงสนามด้วยผลแพ้ 0-2
26 ปีที่ผ่านมา … เราสามารถจินตนาการได้เลยว่า 2 ทรรศวรรษครึ่งที่ผ่านมาแล้วว่า ‘ป๋า’ ทิ้งมรดกไว้ให้แมนฯ ยูไนเต็ด มากมายแค่ไหน ลำพังแต่ผ่านมุมมองของชายคนหนึ่งที่มีชือว่า พีท โมลินิวส์ วัย 58 ปีในปัจจุบัน ก็พอจะบอกเล่าอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว
อาทิตย์นี้ เป็นเกมที่ยูไนเต็ดจะฉลองแชมป์กับสวอนซี (ทางคุณมาเฟียรี่เขียนบทความนี้ไว้ตั้งแต่ตอนนั้น … เพียงแต่ผมยังไม่ได้คัดลอกมาลงให้พวกเราอ่านกัน) ลุงพีทคงจะเข้าไปชูป้ายที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เหมือนกับที่เคย ‘สร้างชื่อเสีย’ เอาไว้ในเดือนธันวาคม ปี 1989 ในตอนที่อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถูกกดดันด้วยความเหน็บหนาวและบรรยากาศแบบ ‘พอกันที’ ในโอลด์ แท็ฟฟอร์ด ที่ซึ่งทุกคนดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีเหมือนกันหมด
ข้อความที่ลุงพีทแกบรรจงเขียนไปร่วมกดดัน เฟอร์กี้ ในครั้งนั้นคือ ‘ Three years of excuse and we’re still crap, ta-ra Fergie’
‘3 ปีแห่งข้อแก้ตัวต่างๆ และเรายังห่วยอยู่เลย ลาแล้วเฟอร์กี้’ (Ta-ra เป็นภาษาพูดแบบตอนเหนือของอังกฤษ ใช้บอกลา ทั้งลาแบบชั่วคราว และลาขาด)'
ข้อความนั้นถุการึกไว้ในพงศาวดารลูกหนังปีศาจแดงยุคเฟอร์กี้ ซึ่งเป็นช่วงตกต่ำสุดขีดในการคุมทัมปีศาจแดงของเขาแล้ว แต่สำหรับวันอาทิตย์นี้ ลุงพีทเตรียมข้อความเวอร์ชั่นใหม่ ที่เต็มไปด้วยการสรรเสริญ ขอโทษ และขอบคุณ
พีท โมลินิวส์ คงจะอยู่ในอารมณ์เดียวกับสาวกปีศาจแดงส่วนใหญ่ ที่ต้องพยายามกลั้นน้ำตา หรือไม่ก็ต้องปล่อยให้ม้นไหลพรากตามอารมณ์ไป นอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า ที่ เดอะ ฮอร์ธอร์นส์ ซึ่งจะเป็นการคุมทีมปีศาจแดงนัดที่ 1,500 และนัดสุดท้ายของ ‘ป๋า’ (วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม)
ข้อความที่เขาเตรียมไว้อวดชาวบ้านคือ ‘Twenty-three years of silver trophies and we’re still top, ta-ra Fergie.’ (22 ปีแห่งถ้วยรางวัล และเขายังอยู่ที่นี่ และ เรายังคงเป็นอันดับหนึ่ง ลาก่อนเฟอร์กี้)
หากจะเปรียบไป เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ บรมกูรูยุไนเต็ดชาวสกอตติซ ปิดฉากยุคสมัยที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ตอนอายุ 62 ปี ขณะที่บิลด์ แชงค์ลี่ อีกหนึ่งอดีตปรมาจารย์ลูกหนังชาวสก็อตติซ ไปจากลิเวอร์พูลตอนอายุ 60 ปี ส่วนบ๊อบ เพลสลีย์ อยู่โยงที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดจนอายุ 64 ปี และ ไบรอัน ครัฟ อายุ 59 ปี ตอนเปิดหมวกอำลา
แต่ ‘ป๋า’ อายุ 71 ปีกว่า พร้อมกับมีเครื่องกระตุ้นหัวใจฝังไว้ที่หน้าอก ขณะที่ซัมเมอร์นี้ ‘ป๋า’ จะเข้ารับการผ่าตัดสะโพก ระยะเวลาประมาณ 10 ปีของอายุขัย ที่มากกว่าอดีตซือแป๋กุนซือลูกหนังทั้งหลาย ณ วันที่จากลาความยิ่งใหญ่ ตรงข้ามกับสุภาษิตที่ว่า ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากสิ่งที่ ‘ป๋า’ ทิ้งเอาไว้ อันหมายถึง legacy หรือ มรดก มันมากกว่า 38 โทรฟี่ ที่เขากวาดเข้าตู้โชว์ของแมนฯ ยูไนเต็ด มากมายนัก
ครั้งหนึ่ง หนังสือพิมพ์อังกฤษฉบับหนึ่ง เคยให้นิยาม ‘ป๋า’ ว่า ‘The Man Who Can’t Retire’ หรือ ‘ชายผู้ไม่มีวันเกษียณอายุ’ ขณะที่หลังการประกาศฃอปลดเกษียณอายุตัวเอง สื่ออีกฉบับชี้ว่า ‘ไม่มีใครเตรียมตัวรับฟุตบอลอังกฤษที่ไร้เขาไว้เลย’ เพียงประโยค 2 ประโยคนี้ ก็แสดงให้เห็ฯถึง ‘ความยิ่งใหญ่ของป๋า’ อยู่ในตัวอยู่แล้ว
มรดกที่ ‘ป๋า’ ทิ้งไว้ให้ยูไนเต็ดและวงการลูกหนัง .. ไม่เฉพาะแต่อังกฤษ .. สูงเท่าภูเขาเลากา และหนักดั่งหินผาที่ประกอบกันเข้าเป็นรูปปั้น ‘ป๋า’ ที่หน้าสนาม และมันไม่ใช่เรื่องแค่ 13 แชมป์ลีกสูงสุดกับยูไนเต็ด, 2 แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ แชมป์เปี้ยส์ลีก, 2 แชมป์อินเตอร์คอนติเนนทั่ล หรือ แชมป์ฟีฟ่า คลับเวิร์ลด คัพ, 1 ถ้วยซุปเปอร์คัพ ยุโรป, 5 แชมป์เอฟ เอ คัพ, 4 แชมป์ลีกคัพ เท่านั้น หรือหากอยากจะให้นับโทรฟี่ โล่ แชริตี้ ชิลด์ เข้าด้วย ก็ยังมีอีกตั้ง 10 โทรฟี่ ขณะที่ขวบปีสมัยอยู่อเบิร์ดีน ‘ป๋า’ ก็เขย่าบัลลังก์คู่หู ‘โอลด์ เฟิร์ม’ สอยโทรฟี่ไว้ให้อเบอร์ดีนไว้ 10 ใบด้วยกัน
ส่วนการเป็น ‘ผู้จัดการแห่งปี’ ของพรีเมียร์ลีกหน่ะหรือ? 10 ครั้งล้วนๆ (ตอนนี้ หลังการประกาศผู้จัดการทีมแห่งปีซีซั่น 2012-13 รวมได้ 11 ครั้งแล้ว) แต่หากย่อยระดับลงมาที่ ‘ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือน’ ‘ป๋า’ รับโทรฟี่จนเมื่อมือมาแล้ว 27 ครั้ง (และยังได้ตำแหน่งผู้จัดการทีมแห่ง ‘ทศวรรษ’ อีก 1 ครั้ง) ‘ป๋า’ รับโทรฟี่จนเม่อยมือมาแล้ว 28 ครั้ง ซึ่งถ้าจะรวมทุกตัวเลข ทุกความสำเร็จในชีวิต ‘ป๋า’ เข้าด้วยกัน คนเกลียดวิชาเลขคงมึน
มรดกที่ ‘ป๋า’ ทิ้งไว้ในโทรฟี่ทั้งมวลจึงบอกได้แค่ว่า … มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหาใครเทียบเคียง ตามรายชื่อให้ได้มาซึ่งถ้วยรางวัลเหล่านั้น มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย รายละเอียดยิบย่อยที่หลบมุมอยู่ตามลิ้นชักแห่งความทรงจำของเราๆ ท่านๆ ‘ป๋า’ ไม่ใช่แค่โค้ชที่ประสบความสำเร็จสูงสุดที่เคยจุติในวงการฟุตบอลลูกหนังอังกฤษ หากแต่ยังเกษียณตัวเองในฐานะกุนซือผู้มีสีสัน มีอารมณ์ขัน และโมโหร้ายกาจ อยู่ในตัว มีจิตชิงชังในความปราชัย และมีบุคคลิกในแบบที่ยากจะอธิบายได้หมด
สื่ออเมริกัน พยายามเทียบเคียงเขากับคนใกล้ตัว พบว่าไม่มีโค้ชกีฬาอเมริกันชนคนใด สามารถสื่อความเป็น ‘ป๋า’ ได้หมด เขาห้าวแบบ บิลด์ เบลิชิค เฮดโค้ช ทีมนิว อิงแลนด์ แพทรีออท ในกีฬาอเมริกันฟุตบอล เขาลุกเป็นไฟยามโมโหเหมือน บ็อบ ไนท์ อดีตโค้ชบาสเกตบลอลเรืองนาม เจ้าของฉายา ‘ท่านนายพล’ และเขาก็มีแท็คติกในการปกครองทีมแบบเซนเช่น ฟิล แจ็คสัน อดีตหนึ่งในโค้ชผู้ยิงใหญ่ของเอ็นบีเอ
ไม่ใช่เรื่องเกินความจริงไป ที่ผู้นำทั้งหลายในสาขาอาชีพต่างๆ สามารถหยิบยก ‘มรดกของป๋า’ ที่เป็นนามธรรมมาใช้กับหน้าที่การงานของตนได้ สไตล์ของ ‘ป๋า’ ไม่ได้ซับซ้อน มันแค่ยากจะอธิบายด้วยคำๆ เดียว คุณต้องโฟกัสไปที่เป้าหมาย ต้องมุ่งมั่น ต้องกล้าได้กล้าเสีย ต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด ต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และที่สำคัญ ต้องโต้ตอบให้เป็น นี่คือ คุณสมบัติต่างๆ ที่ผู้นำองค์กร หรือ ทีม พึงมี จึงจะสามารถออกมายืนอย่างโด่ดเด่นท่ามกลางฝูงชน
ศาสตราจารย์ คริส โบนส์ แห่งแมนเชสเตอร์ บิซิเนส สกูล หยิบยก 3 คุณลักษณะใหญ่ๆ ของ ‘ป๋า’ มาสอนสั่ง ประกอบด้วย :
1. วางมาตรฐานที่เป้าไปให้ได้สูงที่สุด ทั้งสำหรับตัวเองและคนอื่น
2. ตั้งคนมีฝีมือเอาไว้รอบตัวคุณ และมอบหมายหน้าที่ รวมถึงความรับผิดชอบให้กับพวกเขา
3. เรียนรู้จากความล้มเหลว หรือ ผิดพลาด และใช้มันเพื่อให้ตัวเองดีขึ้น
บทสรุปของอาจารย์โบนส์ ที่มีต่อ ‘ป๋า’ ก็คือ ‘ในโลก ซึ่งผู้นำในทุกด้านของชีวิต มีอายุทำงานที่สั้นลงทุกที แต่เซอร์อเล็กซ์คือ ข้อยกเว้น นอกจากนั้น เขายังเป็นข้อยกเว้นต่อการที่รู้ว่า เมื่อไหร่จะบอกตัวเองว่า วันนั้นมาถึงแล้ว
และทิ้งท้ายกันด้วยนิยามของ ‘ป๋า’ ของเขา
‘เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน … ก็เหมือนผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ … ที่ไม่สามารถถูกลอกเลียนแบบหรือทำซ้ำได้ แต่บุคคลที่ประสิทธิภาพพอๆ กัน สามารถทำตามแบบอย่างของเขาได้
เพียงเท่านั้น ก็อาจจะยากเกินไปสำหรับใครต่อใครแล้ว …
credit : นสพ.สตาร์ซอคเกอร์ โดย มาเฟียรี่ (ผู้อำนวยการแผนกฟุตบอลต่างประเทศ)