พิจารณา ความเป็นสัตว์
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑
------------------------------------------------
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ส่วนผู้มีจักษุเห็นอยู่อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเห็นความเป็นสัตว์ตามความเป็นจริง ครั้นแล้วย่อม
ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับความเป็นสัตว์ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ส่วนผู้มีจักษุเห็นอยู่ อย่างนี้แล ฯ
ถ้าภิกษุใด เห็นความเป็นสัตว์ตามความเป็นจริง และก้าวล่วง
ความเป็นสัตว์แล้ว ย่อมน้อมใจไปในธรรมตามที่เป็นจริง
เพื่อความหมดสิ้นแห่งภวตัณหา ภิกษุนั้น กำหนดรู้ ความ
เป็นสัตว์แล้ว ผู้ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ย่อม
ไม่มาสู่ภพใหม่ เพราะความไม่มีแห่งความเป็นสัตว์ ดังนี้ ฯ
...
จบทิฐิกถา
----------------------------------------------------
จากพุทธพจน์ ผู้ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมไม่มาสู่ภพใหม่ เพราะความไม่มีแห่งความเป็นสัตว์ ดังนี้
อธิบาย >>> ย่อมหมายถึงพระอรหันต์ ที่ดับสิ้น อวิชชา สิ้นแล้วนั้นเอง ซึ่งไม่มีอวิชชาปรากฏขึ้นอีกเลย ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่า เพียงแค่ อวิชชา บังเกิดจากปัจจัยใดๆ เป็นเหตุก็ตาม ความเป็นสัตว์ ก็บังเกิดขึ้นแล้วนั้นเอง
ย่อมไปสัมพันธ์กับพุทธพจน์ส่วนนี้ ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 20 ติตถสูตร.
----------------------------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะถือมั่นธาตุ ๖ สัตว์จึงลงสู่ครรภ์
เมื่อมีการลงสู่ครรภ์ จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะ
สฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เราบัญญัติ
ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
แก่บุคคลผู้เสวยเวทนาอยู่
---------------------------------
อธิบาย >>> "เพราะถือมั่นธาตุ 6" ก็คือ อุปทาน(อุปทานขันธ์) นั้นเอง อุปทาน เมื่อกล่าวโดยความหมายอีกอย่างหนึ่งก็คือ นิวรณ์ นั้นเอง ซึ่งเกิดเป็นปัจจัยให้เกิด อวิชชา นั้นได้ เพราะ อวิชชา ก็มีอาหาร ซึ่งนิวรณ์นั้นเป็นอาหารหรือเป็นปัจจัยให้เกิด อวิชชา เมื่อกล่าวถึงอวิชชา ก็หมายความว่า ความเป็นสัตว์ ปรากฏขึ้นแล้วนั้นเอง
พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า "สัตว์จึงลงสู่ครรภ์" หรือเกิดในท้องมารดา นั้นเอง
ซึ่งย่อมไปสัมพันธ์กับ พุทธพจน์ส่วนนี้ ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 12
---------------------------
เหตุแห่งการเกิดในครรภ์
[๔๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการ ความเกิด
แห่งทารกก็มี ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน แต่มารดายังไม่มีระดู และทารกที่จะมาเกิด
ยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามี
ระดู แต่ทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกันด้วย มารดามีระดูด้วย ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย เพราะความ
ประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการอย่างนี้ ความเกิดแห่งทารกจึงมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดา
ย่อมรักษาทารกนั้นด้วยท้องเก้าเดือนบ้าง สิบเดือนบ้าง เมื่อล่วงไปเก้าเดือน หรือสิบเดือน
มารดาก็คลอดทารกผู้เป็นภาระหนักนั้น ด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก และเลี้ยงทารกผู้เป็นภาระหนัก
นั้นซึ่งเกิดแล้ว ด้วยโลหิตของตนด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก.
-------------------------------
อธิบาย >>> จากพุทธพจน์ส่วนนี้ ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย ก็หมายความว่า ความเป็นสัตว์ได้ปรากฏขึ้น หรือ อวิชชาได้ปรากฏขึ้นนั้นเอง แต่ไม่ใช่ เดินมา ปลิวมา หรือล่องลอยมา แต่เป็นการปรากฏขึ้นบังเกิดขึ้น ในธรรมชาติฝ่าย สังขตธรรม นั้นเอง เพราะ ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือ รูป ทั้งหลายย่อมมีอยู่ในที่ใดๆ ทั้งสิ้นใน ธรรมชาติฝ่ายสังขตธาตุ หรือ สังขตธรรม นั้นเอง ด้วยเหตุ "เพราะถือมั่นธาตุ ๖" เป็นอาหารเป็นปัจจัย จึงบังเกิด อวิชชา ในส่วนใดๆ ของสังขตธาตุ ก็ได้ ตามเหตุปัจจัยนั้นเอง
พิจารณา อัตภาพนี้ อัตภาพถัดไป.
คำว่า "อัตภาพนี้" มีพุทธพจน์กล่าวใน พระไตรปิฏกเล่มที่ 20 จูฬนีสูตร ดังนี้
-------------------------------------
....
พ. ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ
แสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่ง
พระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล
ให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของ
ข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้
เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์
ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่าน
พระอุทายีกล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าว
อย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา
๗ ครั้งพึงเป็นเจ้าจักพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี
ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ
-------------------------------------
อธิบาย >>> จากพุทธพจน์ ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ก็หมายความว่า "อัตภาพนี้" ก็หมายถึงในชาติที่ เป็นพระอานนท์ ปัจจุบันนั้นเอง ไม่ได้หมายถึงชาติอื่นๆ ที่จะมีต่อไป
ดังนั้น คำว่า "อัตภาพนี้" ก็หมายถึง ในปัจจุบันชาติปัจจุบัน นั้นเอง และเมื่อกล่าวถึงพุทธพจน์ พระไตรปิฏกเล่ม 24
------------------------------------
กรรมสูตรที่ ๑
[๑๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวความสิ้นสุดแห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจ
กระทำสั่งสมขึ้น ก็วิบากนั้นแล อันสัตว์ผู้ทำพึงได้เสวยในปัจจุบัน(ทิฏฐธรรมเวทนียะ) ใน
อัตภาพถัดไป (อุปปัชชเวทนียะ) หรือในอัตภาพต่อๆ ไป(อปราปรเวทนียะ) ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวการทำที่สุดทุกข์แห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจกระทำสั่งสมขึ้น ในข้อนั้น
ความวิบัติอันเป็โทษแห่งการงานทางกาย ๓ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร
มีทุกข์เป็นวิบาก ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางวาจา ๔ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล
ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง มีความ
ตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ฯ
------------------------------------
อธิบาย >>> เมื่อ "อัตภาพนี้" หมายถึง ในปัจจุบันหรือในชาติปัจจุบัน ดังนั้นในพุทธพจน์ส่วนนี้
ก็วิบากนั้นแล อันสัตว์ผู้ทำพึงได้เสวยในปัจจุบัน(ทิฏฐธรรมเวทนียะ) ใน
อัตภาพถัดไป (อุปปัชชเวทนียะ) หรือในอัตภาพต่อๆ ไป(อปราปรเวทนียะ)
ย่อมแปรความหมายได้ว่า "วิบากกรรมนั้น อันสัตว์ผู้กระทำพึงได้เสวยในปัจจุบันชาติ ในชาติถัดไป หรือในชาติต่อๆ ไป" นั้นเอง
สรุป ทั้งหมดนั้นเป็นการชี้ให้เห็น ถึงความหมายความสัมพันธ์กันในพุทธพจน์ ที่มีอยู่ในพระไตรปิฏก ว่ามีทิศทางไปทางเดียวกันอย่างนั้น ตามหลักฐานที่มีอยู่ในพระไตรปิฏก
แต่ถ้าท่านผู้ใด เห็นอย่างไรก็สนทนาต่อกันได้ ตามเหมาะสมนะครับ.
ความเป็นสัตว์ อัตภาพนี้ อัตภาพถัดไป
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑
------------------------------------------------
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ส่วนผู้มีจักษุเห็นอยู่อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเห็นความเป็นสัตว์ตามความเป็นจริง ครั้นแล้วย่อม
ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับความเป็นสัตว์ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ส่วนผู้มีจักษุเห็นอยู่ อย่างนี้แล ฯ
ถ้าภิกษุใด เห็นความเป็นสัตว์ตามความเป็นจริง และก้าวล่วง
ความเป็นสัตว์แล้ว ย่อมน้อมใจไปในธรรมตามที่เป็นจริง
เพื่อความหมดสิ้นแห่งภวตัณหา ภิกษุนั้น กำหนดรู้ ความ
เป็นสัตว์แล้ว ผู้ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ย่อม
ไม่มาสู่ภพใหม่ เพราะความไม่มีแห่งความเป็นสัตว์ ดังนี้ ฯ
...
จบทิฐิกถา
----------------------------------------------------
จากพุทธพจน์ ผู้ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมไม่มาสู่ภพใหม่ เพราะความไม่มีแห่งความเป็นสัตว์ ดังนี้
อธิบาย >>> ย่อมหมายถึงพระอรหันต์ ที่ดับสิ้น อวิชชา สิ้นแล้วนั้นเอง ซึ่งไม่มีอวิชชาปรากฏขึ้นอีกเลย ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่า เพียงแค่ อวิชชา บังเกิดจากปัจจัยใดๆ เป็นเหตุก็ตาม ความเป็นสัตว์ ก็บังเกิดขึ้นแล้วนั้นเอง
ย่อมไปสัมพันธ์กับพุทธพจน์ส่วนนี้ ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 20 ติตถสูตร.
----------------------------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะถือมั่นธาตุ ๖ สัตว์จึงลงสู่ครรภ์
เมื่อมีการลงสู่ครรภ์ จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะ
สฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เราบัญญัติ
ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
แก่บุคคลผู้เสวยเวทนาอยู่
---------------------------------
อธิบาย >>> "เพราะถือมั่นธาตุ 6" ก็คือ อุปทาน(อุปทานขันธ์) นั้นเอง อุปทาน เมื่อกล่าวโดยความหมายอีกอย่างหนึ่งก็คือ นิวรณ์ นั้นเอง ซึ่งเกิดเป็นปัจจัยให้เกิด อวิชชา นั้นได้ เพราะ อวิชชา ก็มีอาหาร ซึ่งนิวรณ์นั้นเป็นอาหารหรือเป็นปัจจัยให้เกิด อวิชชา เมื่อกล่าวถึงอวิชชา ก็หมายความว่า ความเป็นสัตว์ ปรากฏขึ้นแล้วนั้นเอง
พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า "สัตว์จึงลงสู่ครรภ์" หรือเกิดในท้องมารดา นั้นเอง
ซึ่งย่อมไปสัมพันธ์กับ พุทธพจน์ส่วนนี้ ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 12
---------------------------
เหตุแห่งการเกิดในครรภ์
[๔๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการ ความเกิด
แห่งทารกก็มี ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน แต่มารดายังไม่มีระดู และทารกที่จะมาเกิด
ยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามี
ระดู แต่ทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกันด้วย มารดามีระดูด้วย ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย เพราะความ
ประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการอย่างนี้ ความเกิดแห่งทารกจึงมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดา
ย่อมรักษาทารกนั้นด้วยท้องเก้าเดือนบ้าง สิบเดือนบ้าง เมื่อล่วงไปเก้าเดือน หรือสิบเดือน
มารดาก็คลอดทารกผู้เป็นภาระหนักนั้น ด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก และเลี้ยงทารกผู้เป็นภาระหนัก
นั้นซึ่งเกิดแล้ว ด้วยโลหิตของตนด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก.
-------------------------------
อธิบาย >>> จากพุทธพจน์ส่วนนี้ ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย ก็หมายความว่า ความเป็นสัตว์ได้ปรากฏขึ้น หรือ อวิชชาได้ปรากฏขึ้นนั้นเอง แต่ไม่ใช่ เดินมา ปลิวมา หรือล่องลอยมา แต่เป็นการปรากฏขึ้นบังเกิดขึ้น ในธรรมชาติฝ่าย สังขตธรรม นั้นเอง เพราะ ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือ รูป ทั้งหลายย่อมมีอยู่ในที่ใดๆ ทั้งสิ้นใน ธรรมชาติฝ่ายสังขตธาตุ หรือ สังขตธรรม นั้นเอง ด้วยเหตุ "เพราะถือมั่นธาตุ ๖" เป็นอาหารเป็นปัจจัย จึงบังเกิด อวิชชา ในส่วนใดๆ ของสังขตธาตุ ก็ได้ ตามเหตุปัจจัยนั้นเอง
พิจารณา อัตภาพนี้ อัตภาพถัดไป.
คำว่า "อัตภาพนี้" มีพุทธพจน์กล่าวใน พระไตรปิฏกเล่มที่ 20 จูฬนีสูตร ดังนี้
-------------------------------------
....
พ. ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ
แสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่ง
พระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล
ให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของ
ข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้
เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์
ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่าน
พระอุทายีกล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าว
อย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา
๗ ครั้งพึงเป็นเจ้าจักพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี
ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ
-------------------------------------
อธิบาย >>> จากพุทธพจน์ ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ก็หมายความว่า "อัตภาพนี้" ก็หมายถึงในชาติที่ เป็นพระอานนท์ ปัจจุบันนั้นเอง ไม่ได้หมายถึงชาติอื่นๆ ที่จะมีต่อไป
ดังนั้น คำว่า "อัตภาพนี้" ก็หมายถึง ในปัจจุบันชาติปัจจุบัน นั้นเอง และเมื่อกล่าวถึงพุทธพจน์ พระไตรปิฏกเล่ม 24
------------------------------------
กรรมสูตรที่ ๑
[๑๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวความสิ้นสุดแห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจ
กระทำสั่งสมขึ้น ก็วิบากนั้นแล อันสัตว์ผู้ทำพึงได้เสวยในปัจจุบัน(ทิฏฐธรรมเวทนียะ) ใน
อัตภาพถัดไป (อุปปัชชเวทนียะ) หรือในอัตภาพต่อๆ ไป(อปราปรเวทนียะ) ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวการทำที่สุดทุกข์แห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจกระทำสั่งสมขึ้น ในข้อนั้น
ความวิบัติอันเป็โทษแห่งการงานทางกาย ๓ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร
มีทุกข์เป็นวิบาก ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางวาจา ๔ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล
ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง มีความ
ตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ฯ
------------------------------------
อธิบาย >>> เมื่อ "อัตภาพนี้" หมายถึง ในปัจจุบันหรือในชาติปัจจุบัน ดังนั้นในพุทธพจน์ส่วนนี้
ก็วิบากนั้นแล อันสัตว์ผู้ทำพึงได้เสวยในปัจจุบัน(ทิฏฐธรรมเวทนียะ) ใน
อัตภาพถัดไป (อุปปัชชเวทนียะ) หรือในอัตภาพต่อๆ ไป(อปราปรเวทนียะ)
ย่อมแปรความหมายได้ว่า "วิบากกรรมนั้น อันสัตว์ผู้กระทำพึงได้เสวยในปัจจุบันชาติ ในชาติถัดไป หรือในชาติต่อๆ ไป" นั้นเอง
สรุป ทั้งหมดนั้นเป็นการชี้ให้เห็น ถึงความหมายความสัมพันธ์กันในพุทธพจน์ ที่มีอยู่ในพระไตรปิฏก ว่ามีทิศทางไปทางเดียวกันอย่างนั้น ตามหลักฐานที่มีอยู่ในพระไตรปิฏก
แต่ถ้าท่านผู้ใด เห็นอย่างไรก็สนทนาต่อกันได้ ตามเหมาะสมนะครับ.