เมื่อโตขึ้น ฉันจะกินให้พุงกางไปเลย

ใครที่มีพื้นเพเป็นคนบ้านนอก ฐานะยากจน ก็คงมีความรู้สึกเหมือนผู้เขียนสิน่ะ เพราะตอนเด็ก ๆ ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้กินของดี ๆ เป็นต้นว่า ขนม และ ผลไม้บางชนิด เลยตั้งความปราถนาไว้เสมอว่า โตขึ้น มีงานการ มีเงินแล้ว จะกินให้หนำใจไปเลย

ที่บอกว่า "บ้านนอก " และ "ยากจน" ใช่ว่าเราไม่มีกิน อาหารการกิน ข้าวปลา มีสมบูรณ์ ที่ไม่ค่อยมีคือ เงินทองเท่านั้นเอง เด็กบ้านนอกไม่ร่ำรวยเงินทอง แต่กินอยู่ไม่อดอยาก เพราะในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ดังนั้นสิ่งที่เราขาดคือ ข้าวของแพง ๆ เท่านั้น

ตอนเด็ก ๆ ผู้เขียนได้เงินวันล่ะ 2 บาท หากไปโรงเรียนก็ 5 บาท ข้าวกินฟรี ดังนั้นหากมีขนมราคามากกว่า 2 บาทขึ้นไป เราก็อดกิน แต่สมัยนั้นก็คงมีน้อย เพราะขนมที่ขายกันนั้น ชิ้นละไม่ถึง 1 บาท ดังนั้น 2 บาท (ขนมสด) ก็ซื้อกินอิ่มอยู่ จะไม่อิ่มก็ต่อเมื่อเรากินขนมแห้ง (ขนมในร้านค้า เช่น เลย์ ) ขนมพวกนี้ขายแพง ซองละ 5 บาท กินไปก็ไม่ได้รู้สึกอิ่มอะไร แต่แปลกที่ว่า "มันอร่อยดี" อาจเป็นเพราะเราไม่ค่อยได้กินกระมัง

ตอนเป็นเด็ก คงไม่มีเรื่องไหนสำคัญไปกว่าเรื่องกิน และเล่น หากเด็กคนไหนมีพ่อแม่รวย เค้าก็จะได้กินอาหารดี ๆ ซึ่งเด็กจน ๆ ก็คงได้แต่มอง ฮ่า ๆ ที่พูดมาไม่เกิดจากการเก็บกด แต่พอย้อนนึกสมัยก่อนแล้วก็อดขำไม่ได้ มันทำให้เห็นตัวเราชัดเจนว่า เราต่างจากตอนนั้นไปอย่างไรแล้วบ้าง

บัดนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีงานมีการ มีเงิน (บ้าง) แล้ว แต่ทำไมสิ่งที่เราปราถนาตอนเด็ก มันถึงไม่ย้อนกลับมาเลย สิ่งที่เราต้องการตอนนี้คือ การมีฐานะ มีบ้าน มีรถ และมีเงินเก็บเยอะ ๆ ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของการกินเลยแม้แต่น้อย คิดอย่างเดียวว่า กินให้อิ่มก็พอแล้ว

รู้สึกว่าเป็นการหักหลังตนเองอย่างตั้งใจ ที่ไม่ได้ทำตามความปราถนาที่ตั้งไว้ ซ้ำร้ายคือลืมไปเสียด้วยซ้ำ เมื่อวัยเปลี่ยนไป ความต้องการของคนเราย่อมเปลี่ยนแปลงตาม ตอนเด็กอยากกินโน่น อยากกินนี่ เช่น น้ำอัดลม ผลไม้อย่างแอปเปิ้ล KFC ฯลฯ แต่ตอนนี้มีอยู่เต็มตู้เย็น ก็ไม่เคยคิดจะผันแล เว้นแต่จำเป็นต้องกิน ในสมองและหัวจิตหัวใจคิดอยู่อย่างเดียวคือ เรื่องงาน เงิน และอนาคต

ชีวิตดำเนินมาถึงจุดนี้ จะว่าไปแล้วก็เหมือนนาฬิกาใกล้เที่ยง จึงพอจะเข้าใจว่า คนเรานี้มีความอยากที่ไม่สิ้นสุด และความอยากนั้นก็เป็นไปตามวัยของเรา เราจึงไม่อาจจะโทษเด็กและวัยรุ่นที่มีความต้องการในเรื่องไร้สาระ เพราะมันเป็นวัยของเขา หากเราเคยผ่านวัยนั้นมาแล้วก็คงจะเข้าใจดี แต่จะทำอย่างไรให้ความต้องการนั้น อยู่ในระดับที่พอดี

ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ มีความต้องการที่ไม่สิ้นสุด จนบางครั้งเราลืมความต้องการขั้นพื้นฐานไป (ปัจจัย 4) ไขว่ขว้าสิ่งที่มากกว่านั้น เพราะเห็นว่ามันจะสร้างความสุขให้กับชีวิตได้ มันเป็นความคิดที่ "ไม่ผิด" เว้นแต่เราจะต้องการจนเกินพอดี บางคนรวยมากอยู่แล้ว ก็ยังอยากรวยเพิ่มขึ้นอีก จนบางทีเงินที่มีนั้น ใช้จ่ายแบบปกติทั้งชาติก็ไม่หมด จึงไม่รู้เหมือนกันว่า "รวยไปเพื่ออะไร"

คนเราดำรวชีวิตอยู่ได้ด้วย ปัจจัย 4 เป็นความสุขขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนพึงมี แต่กลับถูกมองข้ามไป ด้วยเพราะว่าสังคมเป็นตัวบีบบังคับให้คนเราต้องมีมากกว่านั้น เพื่อให้มั่งมี เพื่อให้เหนือกว่าใคร เพื่อให้คนอื่นนับหน้าถือตา เพื่อให้เป็นคนมีเกียรติ เพื่อให้มีศักดิ์ศรี และเพื่อให้ความสบาย จึงมีคำถามต่อว่า เมื่อเรามีสิ่งเหล่านั้นแล้ว เราจะมีความสุขจริงหรือ คำตอบคือ "ก็ไม่รู้สิ" เพราะเห็นบางคน ร่ำรวยมาก มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ครบทุกอย่าง แต่ก็ยังเดือดร้อนอยู่

ความสุข เป็นของที่หาได้ไม่ยาก แต่เหตุใดคนสมัยนี้ถึงคิดว่ามันหายาก ทั้งๆที่มันอยู่ในทุกการกระทำของเราด้วยซ้ำ เรามองข้ามอะไรไปหรือเปล่า เคยมีคนพูดว่า "ชีวิตนี้ขอแค่ กินได้ นอนหลับ ขับถ่ายคล่อง ก็พอแล้ว" ทำให้คิดได้เลยว่า โอหนอชีวิตเรา ไม่ได้ต้องการอะไรมากเลย แค่มีกิน มีใช้ พอประมาณก็เป็นสุขแล้ว ทำไมถึงต้องดิ้นรนให้มากมายขนาดนั้น ใครคิดเช่นนี้ได้ก็ถือเป็น "บุญ" มันเป็นการปล่อยวางขั้นพื้นฐานที่นำไปสู่ความสุขทั้งหลาย

ถึงตอนนี้ ความต้องการในวัยเด็ก ได้จางหายไปแล้ว คงเหลือแต่ความต้องการของวัยผู้ใหญ่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะสมหวังแค่ไหน แต่แน่นอนว่าความต้องการในตอนนี้ต่างไปจากเดิมอย่างแน่นอน เราจะทำได้ไหมให้ชีวิตเราดำเนินไปด้วยความพอประมาณ หรือเราจะต้องเป็นไปตามเกมส์ของสังคม ก็ได้แต่หวังว่า สักวัน เราคงจะปล่อยวางได้

bank9597 เว็บไซต์ NPZmoon.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่