การส่งสัญญาณของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีต่อการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ทางหน้าเฟซบุ๊ค เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2556 โดยหยิบยกการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จของญี่ปุ่น อีกทั้งยังกล่าวถึงการทำหน้าที่อย่างอิสระของ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าแบงก์ชาติ ที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ยตามแนวทางของรัฐบาล ว่าเกิดจากการแก้ไข พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย หลังการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ขณะที่ เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ความพยายามของทักษิณ ไม่ต่างอะไรกับการแทรกแซงการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ทั่วโลกล้วนใช้ระบบคานอำนาจระหว่างแบงก์ชาติและกระทรวงการคลัง
แถมยังตอกความเจ็บใจให้นายใหญ่ ...
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อ1-2 ปีที่ผ่านมา ทางฝ่ายการเมืองต้องการบีบให้ ธปท. นำเงินทุนสำรองที่มีเกือบ 1.8 แสนล้านดอลลาร์ ออกไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อหาผลตอบแทนมากขึ้น แต่ผู้ว่า ธปท. ที่ชื่อประสาร ไตรรัตน์วรกุล ไม่ยินยอมที่จะนำเงินของคนทั้งประเทศไปเสี่ยงต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ ก็อาจเป็นฟางเส้นแรกที่สร้างความไม่พอใจ ให้กับฝ่ายรัฐบาล โดยสิ่งที่รัฐบาลตอบแทนความห่วงใย ในเวลาต่อมาคือ
แก้ไขกฎหมายเพื่อโยกภาระหนี้ก้อนใหญ่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู ที่เป็นของกระทรวงการคลัง มาให้ธปท. ซึ่งทำให้ภาระทางการเงินทั้งหมดไปตกอยู่กับธ.กลาง แต่ช่วยให้รัฐบาลมีเงินเหลือที่จะนำไปใช้ในโคลงการประชานิยมต่างๆ.."
ปฐมบทของคดีหุ้นชิน ที่ ทักษิณและครอบครัวขายให้แก่กองทุนเทมาเส็ก เมื่อวันที่ 23 มค.2549 มูลค่า 7หมื่นล้านบาท ซึ่งถูกจับได้ว่าเป็นธุรกรรมอำพราง
โดยเฉพาะการใช้บ. นอมินี ที่เป็นคนไทยในนาม "บริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด" เป็นการกระทำที่ขัดต่อ พรบ.กำกับกิจการซึ่งไม่อนุญาติให้ต่างด้าวถือหุ้นเกิน 49% ในธุรกิจประเภทนี้
ธุรกรรมอำพรางดังกล่าว ได้ถูกเกียรติ ตรวจสอบล้วงลึกข้อมูล ตั้งแต่กระบวนการถือหุ้น การใช้นอมินีเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย
เมื่อเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงินจะพบว่าทุนใหญ่เป็นของเทมาเส็ก ทุนใหญ่ในสิงค์โปร์ ตั้งบริษัทลูกโยงไปโยงมาหลายทอด
แน่นอนว่า การล้วงลึกไปถึงดีลที่ไม่โปร่งใส รวมทั้งการใช้อำนาจทางการเมืองของทักษิณ ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญให้นำไปสู่คำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในการยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน
เกิดจาก การใช้นโยบายที่เอื้อประโยชน์ทางการเมือง เช่น การแก้ไขสัญญาโทรคมนาคม การแปลงค่าสัมทานเป็นภาษีสรรพสามิต
รวมถึงการปล่อยเงินกู้ให้แก่พม่า 4000 ล้าน โดยใช้เงินของ เอ็กซิมแบ้งค์ โดยที่หลังจากนั้นพม่าก็นำเงินไปใช้ประโยชน์ในดาวเทียมไอพีสตาร์ ที่มีบริษัทชิน แซทเทิลไลท์ ในเครือชินคอร์ปเป็นเจ้าของ
ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมายและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้คดีกุหลาบแก้ว ยังค้างอยู่ในกระบวนการยุติธรรม แต่ความเจ็บใจของ ทักษิณ ยังคงคุกรุ่นอยู่
หนาม "กุหลาบแก้ว" ตำมือทักษิณ
ขณะที่ เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ความพยายามของทักษิณ ไม่ต่างอะไรกับการแทรกแซงการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ทั่วโลกล้วนใช้ระบบคานอำนาจระหว่างแบงก์ชาติและกระทรวงการคลัง
แถมยังตอกความเจ็บใจให้นายใหญ่ ...
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อ1-2 ปีที่ผ่านมา ทางฝ่ายการเมืองต้องการบีบให้ ธปท. นำเงินทุนสำรองที่มีเกือบ 1.8 แสนล้านดอลลาร์ ออกไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อหาผลตอบแทนมากขึ้น แต่ผู้ว่า ธปท. ที่ชื่อประสาร ไตรรัตน์วรกุล ไม่ยินยอมที่จะนำเงินของคนทั้งประเทศไปเสี่ยงต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ ก็อาจเป็นฟางเส้นแรกที่สร้างความไม่พอใจ ให้กับฝ่ายรัฐบาล โดยสิ่งที่รัฐบาลตอบแทนความห่วงใย ในเวลาต่อมาคือ
แก้ไขกฎหมายเพื่อโยกภาระหนี้ก้อนใหญ่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู ที่เป็นของกระทรวงการคลัง มาให้ธปท. ซึ่งทำให้ภาระทางการเงินทั้งหมดไปตกอยู่กับธ.กลาง แต่ช่วยให้รัฐบาลมีเงินเหลือที่จะนำไปใช้ในโคลงการประชานิยมต่างๆ.."
ปฐมบทของคดีหุ้นชิน ที่ ทักษิณและครอบครัวขายให้แก่กองทุนเทมาเส็ก เมื่อวันที่ 23 มค.2549 มูลค่า 7หมื่นล้านบาท ซึ่งถูกจับได้ว่าเป็นธุรกรรมอำพราง
โดยเฉพาะการใช้บ. นอมินี ที่เป็นคนไทยในนาม "บริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด" เป็นการกระทำที่ขัดต่อ พรบ.กำกับกิจการซึ่งไม่อนุญาติให้ต่างด้าวถือหุ้นเกิน 49% ในธุรกิจประเภทนี้
ธุรกรรมอำพรางดังกล่าว ได้ถูกเกียรติ ตรวจสอบล้วงลึกข้อมูล ตั้งแต่กระบวนการถือหุ้น การใช้นอมินีเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย
เมื่อเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงินจะพบว่าทุนใหญ่เป็นของเทมาเส็ก ทุนใหญ่ในสิงค์โปร์ ตั้งบริษัทลูกโยงไปโยงมาหลายทอด
แน่นอนว่า การล้วงลึกไปถึงดีลที่ไม่โปร่งใส รวมทั้งการใช้อำนาจทางการเมืองของทักษิณ ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญให้นำไปสู่คำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในการยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน
เกิดจาก การใช้นโยบายที่เอื้อประโยชน์ทางการเมือง เช่น การแก้ไขสัญญาโทรคมนาคม การแปลงค่าสัมทานเป็นภาษีสรรพสามิต
รวมถึงการปล่อยเงินกู้ให้แก่พม่า 4000 ล้าน โดยใช้เงินของ เอ็กซิมแบ้งค์ โดยที่หลังจากนั้นพม่าก็นำเงินไปใช้ประโยชน์ในดาวเทียมไอพีสตาร์ ที่มีบริษัทชิน แซทเทิลไลท์ ในเครือชินคอร์ปเป็นเจ้าของ
ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมายและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้คดีกุหลาบแก้ว ยังค้างอยู่ในกระบวนการยุติธรรม แต่ความเจ็บใจของ ทักษิณ ยังคงคุกรุ่นอยู่