ต่อจากตอนที่แล้วนะครับ เมื่อท่านได้รับหมายศาล หลังจากที่ท่านไม่ชำระหนี้บัตรเครดิตตามเงื่อนไขที่สถาบันการเงินเสนอมา ขอให้ท่านไปศาลตามกำหนดนัดและแจ้งต่อศาลว่าท่านในฐานะจำเลยในคดีมีความประสงค์ที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยประนอมหนี้กับโจทก์ ศาลก็จะอนุญาตให้มีการเลื่อนกำหนดนัดไกล่เกลี่ย ให้การ และสืบพยานออกไป เพื่อให้โอกาสคู่ความทั้งสองฝ่ายในการเจรจาหาข้อยุติในการประนอมหนี้ระหว่างกัน ซึ่งโดยปกติในคดีหนี้บัตรเครดิต ศาลจะอนุญาตให้มีการเลื่อนคดีออกไปได้ไม่เกิน 2 ครั้งนับจากกำหนดนัดในครั้งแรก ทำให้ระยะเวลาในการดำเนินคดีถูกเลื่อนออกไปประมาณ 6 เดือน (หรืออาจจะมากกว่านั้นสุดแล้วแต่ปริมาณคดีของศาล) ในระหว่างนี้ก็เป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องดำเนินการเจรจาประนอมหนี้กับโจทก์ให้แล้วเสร็จ
การประนอมหนี้ หรือ การประนีประนอมยอมความ คือการที่โจทก์และจำเลยตกลงกันเพื่อผ่อนปรนจำนวนหนี้ และ/หรือ เงื่อนไขในการชำระหนี้ระหว่างกัน โดยโจทก์ยอมลดยอดหนี้ตามคำฟ้องลงมา หรือยอมขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับจำเลย หรือยอมทั้งลดยอดหนี้ตามคำฟ้องลงมาและขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับจำเลยด้วย ยกตัวอย่างเช่น
1) กรณีที่โจทก์ยอมลดยอดหนี้ตามคำฟ้องลงมา เช่น จำเลยเป็นหนี้บัตรเครดิตกับโจทก์เป็นเงินต้นจำนวน 100,000 บาท และดอกเบี้ยจำนวน 40,000 บาท รวมเป็นทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องมาตามคำฟ้องจำนวน 140,000 บาท ในการประนอมหนี้ โจทก์ยินดีที่จะตัดดอกเบี้ยคงค้างจำนวน 40,000 บาทให้กับจำเลยทั้งหมด โดยให้จำเลยชำระแต่เพียงเงินต้นจำนวน 100,000 บาท หากจำเลยชำระครบถ้วน ก็ถือว่าหนี้บัตรเครดิตกรณีนี้เป็นอันจบสิ้น
2) กรณีที่โจทก์ยอมขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับจำเลย เช่น จำเลยเป็นหนี้บัตรเครดิตกับโจทก์ตามตัวอย่างในข้อ 1) รวมเป็นทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องมาตามคำฟ้องจำนวน 140,000 บาท ในการประนอมหนี้ โจทก์ไม่ยอมลดยอดหนี้ตามฟ้องให้กับจำเลย แต่ยินยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้จำนวน 140,000 บาทดังกล่าวให้กับโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดระยะเวลา 2 ปี (24 เดือน)
3) กรณีที่โจทก์ยอมทั้งลดยอดหนี้ตามคำฟ้องลงมา และขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับจำเลยด้วย เช่น จำเลยป็นหนี้บัตรเครดิตกับโจทก์ตามตัวอย่างในข้อ 1) รวมเป็นทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องมาตามคำฟ้องจำนวน 140,000 บาท ในการประนอมหนี้โจทก์ยินยอมที่จะตัดดอกเบี้ยคงค้างจำนวน 40,000 บาทให้กับจำเลยทั้งหมด โดยให้จำเลยชำระแต่เพียงเงินต้นจำนวน 100,000 บาท และยังยินยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้จำนวน 100,000 บาทดังกล่าวให้กับโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดระยะเวลา 2 ปี (24 เดือน)
หลายท่านสงสัยว่า ทำไมสถาบันการเงินถึงยอมลดยอดหนี้ให้กับลูกหนี้ถึงขนาดนั้น ก็ต้องเรียนว่า หนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้ที่ไม่มีประกัน ซึ่งแตกต่างจากหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน หรือหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี (สัญญาบัญชีเดินสะพัด) ซึ่งหนี้พวกนี้ส่วนใหญ่สถาบันการเงินจะเรียกให้ผู้กู้วางหลักประกันเพื่อประกันการชำระหนี้ ดังนั้นหนี้บัตรเครดิตจึงถือเป็นหนี้ที่สถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีความเสี่ยงสูงในการไม่ได้รับชำระหนี้ ประกอบกับหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำหนดให้สถาบันการเงินจำเป็นต้องกันเงินสำรองไว้ 100% ในกรณีที่ลูกหนี้บัตรเครดิตผิดนัดชำระหนี้ ทำให้ในบรรดาหนี้ประเภทต่างๆ ของสถาบันการเงิน หนี้บัตรเครดิตจะเป็นหนี้ประเภทที่ลูกหนี้สามารถเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ได้อย่างเต็มที่ที่สุด และลูกหนี้จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเจรจาต่อรอง
คราวหน้าเราจะมาดูกันว่า เราจะเจรจาอย่างไร เพื่อให้ได้ส่วนลดยอดหนี้ และขอขยายระยะเวลาชำระหนี้ได้มากที่สุด
สงสัยอย่างไร ลองเมล์มาคุยกันครับ chitchaichinsunti@hotmail.com
ทำอย่างไรดี กับคดีหนี้บัตรเครดิต (ตอนที่ 4)
การประนอมหนี้ หรือ การประนีประนอมยอมความ คือการที่โจทก์และจำเลยตกลงกันเพื่อผ่อนปรนจำนวนหนี้ และ/หรือ เงื่อนไขในการชำระหนี้ระหว่างกัน โดยโจทก์ยอมลดยอดหนี้ตามคำฟ้องลงมา หรือยอมขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับจำเลย หรือยอมทั้งลดยอดหนี้ตามคำฟ้องลงมาและขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับจำเลยด้วย ยกตัวอย่างเช่น
1) กรณีที่โจทก์ยอมลดยอดหนี้ตามคำฟ้องลงมา เช่น จำเลยเป็นหนี้บัตรเครดิตกับโจทก์เป็นเงินต้นจำนวน 100,000 บาท และดอกเบี้ยจำนวน 40,000 บาท รวมเป็นทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องมาตามคำฟ้องจำนวน 140,000 บาท ในการประนอมหนี้ โจทก์ยินดีที่จะตัดดอกเบี้ยคงค้างจำนวน 40,000 บาทให้กับจำเลยทั้งหมด โดยให้จำเลยชำระแต่เพียงเงินต้นจำนวน 100,000 บาท หากจำเลยชำระครบถ้วน ก็ถือว่าหนี้บัตรเครดิตกรณีนี้เป็นอันจบสิ้น
2) กรณีที่โจทก์ยอมขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับจำเลย เช่น จำเลยเป็นหนี้บัตรเครดิตกับโจทก์ตามตัวอย่างในข้อ 1) รวมเป็นทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องมาตามคำฟ้องจำนวน 140,000 บาท ในการประนอมหนี้ โจทก์ไม่ยอมลดยอดหนี้ตามฟ้องให้กับจำเลย แต่ยินยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้จำนวน 140,000 บาทดังกล่าวให้กับโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดระยะเวลา 2 ปี (24 เดือน)
3) กรณีที่โจทก์ยอมทั้งลดยอดหนี้ตามคำฟ้องลงมา และขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับจำเลยด้วย เช่น จำเลยป็นหนี้บัตรเครดิตกับโจทก์ตามตัวอย่างในข้อ 1) รวมเป็นทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องมาตามคำฟ้องจำนวน 140,000 บาท ในการประนอมหนี้โจทก์ยินยอมที่จะตัดดอกเบี้ยคงค้างจำนวน 40,000 บาทให้กับจำเลยทั้งหมด โดยให้จำเลยชำระแต่เพียงเงินต้นจำนวน 100,000 บาท และยังยินยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้จำนวน 100,000 บาทดังกล่าวให้กับโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดระยะเวลา 2 ปี (24 เดือน)
หลายท่านสงสัยว่า ทำไมสถาบันการเงินถึงยอมลดยอดหนี้ให้กับลูกหนี้ถึงขนาดนั้น ก็ต้องเรียนว่า หนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้ที่ไม่มีประกัน ซึ่งแตกต่างจากหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน หรือหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี (สัญญาบัญชีเดินสะพัด) ซึ่งหนี้พวกนี้ส่วนใหญ่สถาบันการเงินจะเรียกให้ผู้กู้วางหลักประกันเพื่อประกันการชำระหนี้ ดังนั้นหนี้บัตรเครดิตจึงถือเป็นหนี้ที่สถาบันการเงินซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีความเสี่ยงสูงในการไม่ได้รับชำระหนี้ ประกอบกับหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำหนดให้สถาบันการเงินจำเป็นต้องกันเงินสำรองไว้ 100% ในกรณีที่ลูกหนี้บัตรเครดิตผิดนัดชำระหนี้ ทำให้ในบรรดาหนี้ประเภทต่างๆ ของสถาบันการเงิน หนี้บัตรเครดิตจะเป็นหนี้ประเภทที่ลูกหนี้สามารถเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ได้อย่างเต็มที่ที่สุด และลูกหนี้จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเจรจาต่อรอง
คราวหน้าเราจะมาดูกันว่า เราจะเจรจาอย่างไร เพื่อให้ได้ส่วนลดยอดหนี้ และขอขยายระยะเวลาชำระหนี้ได้มากที่สุด
สงสัยอย่างไร ลองเมล์มาคุยกันครับ chitchaichinsunti@hotmail.com