ชี้ กลุ่มสกัดจนท. แต่งกายเลียนแบบทหาร วอนทุกฝ่ายหยุดเผยแพร่เรื่องเท็จ หวั่นสร้างรอยร้าวให้สังคม
ผู้สื่อข่าว MThai News รายงานจาก กองบัญชาการกองทัพบกว่า พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวชี้แจงถึงกรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ควบคุมพื้นที่ในวันที่มีเหตุเพลิงไหม้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวิลด์ ว่า ห้างดังกล่าวถูกเผาในช่วงเวลา 14.00-15.00 น. ซึ่งขณะนั้นทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าไปถึงจุดเกิดเหตุได้ อีกทั้งขณะที่เพลิงกำลังเริ่มลุกไหม้นั้นมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามจะเข้าไปดับไฟ แต่ถูกยิงต่อต้านจากกำลังไม่ทราบฝ่ายจนต้องถอยออกมา และได้ติดต่อมาที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. เพื่อขอกำลังคุ้มครอง ทำให้ต้องส่งเจ้าหน้าที่ทหารบางส่วนไปจากทางด้านเพลินจิต เพื่อคุ้มครองการดับเพลิง แต่เนื่องจากพื้นที่ยังคงไม่มีความปลอดภัยจึงต้องถอยกลับออกมา. โดยเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำจุดจากแยกปทุมวันก็พยายามเคลื่อนที่เข้ามา เพื่อคุ้มครองการดับเพลิงด้วยเช่นกัน แต่ต้องตัดสินใจหยุดอยู่แถวสถานีรถไฟฟ้าสยาม เพราะถูกต่อต้านด้วยอาวุธ อีกทั้งเกรงว่าถ้าในพื้นที่ยังคงมีการใช้อาวุธกันแล้ว อาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการกระทำจาก เจ้าหน้าที่ทหาร ทำให้การเข้าพื้นที่เป็นไปด้วยความระมัดระวัง ซึ่งกว่าจะเข้าไปได้จริงก็เป็นช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น โดยทุกจุดได้ถูกเผาทำลายเสียหายไปจนหมดแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ในช่วงเวลาที่ห้างถูกเผา
ส่วนที่มีทีมดับเพลิงของ พ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา อ้างว่าถูกทหารสกัดไม่ให้ไปดับไฟในบริเวณห้างเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะไปพิจารณาเอาเองจากการแต่งกาย ซึ่งในปัจจุบันการแต่งกายคล้ายทหารจะพบเห็นได้ทั่วไป ไม่ได้มีแต่เฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่สวมใส่ และที่สำคัญที่ผ่านมามีผู้ที่กระทำความผิดหลายคนที่ถูกเจ้าหน้าที่จับได้ ก็จะแต่งกายในลักษณะนี้หลายคน.
สำหรับที่มีการเผยแพร่ภาะในสื่อผสม (วีทีอาร์) ในกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองปี 53 เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาระบุขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ของทหารโดยอ้างอิงมาจากบทความที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารเสนาธิปัตย์ ฉบับก.ย.– ธ.ค. 53 เรื่อง “บทเรียนยุทธการกระชับวงล้อม 7 พื้นที่ราชประสงค์ 14 – 19 พ.ค.53” เขียนโดย พ.อ.บุญรอด ศรีสมบัติ ที่แม้จะเป็นข้าราชการทหารแต่ก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่โดยตรงที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการปฏิบัติภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อยในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองในปี 53 ที่สำคัญบทความดังกล่าวไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงในนามของหน่วยงานได้ เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสรับทราบข้อมูล และได้ศึกษารายละเอียดเอกสารต่างๆอย่างเป็นทางการรอบด้านจากหน่วยงานที่รับผิดชอบจริงแล้ว ผู้เขียนจึงได้เขียนปรับใหม่และตีพิมพ์บทความลงในวารสารเสนาธิปัตย์ ฉบับที่ ม.ค. – มี.ค. 54 เรื่อง “บทเรียนการปฏิบัติการข่าวสาร : 9 กรณี ปปส.ในเมือง (มี.ค. – พ.ค. 53)”
ขณะเดียวกัน กองทัพบกขอวิงวอนไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองปี 53 อย่าได้นำเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีองค์ประกอบของข้อเท็จจริงที่ยังไม่ครบถ้วน ไม่ตรงกับสถานการณ์จริง หรืออ้างอิงออกไปเผยแพร่ เพราะเกรงว่าจะเป็นการสร้างรอยร้าวและความสับสนให้กับสังคมมากยิ่งขึ้น กองทัพบกขอย้ำว่าการปฏิบัติภารกิจรักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 53 เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้ปฏิบัติตามคำสั่งและเป็นไปตามกรอบกฎหมาย มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจนแบบเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ประสงค์ที่ใช้ความรุนแรง จึงขอให้ทุกฝ่ายได้ใช้ความอดทน ยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรมที่กำลังดำเนินไปในขณะนี้ซึ่งน่าจะดีที่สุด
ทัพบกโต้! ยันทหารไมได้เผา เซ็นทรัลเวิล์ด ชี้ ทีมดับเพลิงเข้าใจผิด
ผู้สื่อข่าว MThai News รายงานจาก กองบัญชาการกองทัพบกว่า พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวชี้แจงถึงกรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ควบคุมพื้นที่ในวันที่มีเหตุเพลิงไหม้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวิลด์ ว่า ห้างดังกล่าวถูกเผาในช่วงเวลา 14.00-15.00 น. ซึ่งขณะนั้นทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าไปถึงจุดเกิดเหตุได้ อีกทั้งขณะที่เพลิงกำลังเริ่มลุกไหม้นั้นมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามจะเข้าไปดับไฟ แต่ถูกยิงต่อต้านจากกำลังไม่ทราบฝ่ายจนต้องถอยออกมา และได้ติดต่อมาที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. เพื่อขอกำลังคุ้มครอง ทำให้ต้องส่งเจ้าหน้าที่ทหารบางส่วนไปจากทางด้านเพลินจิต เพื่อคุ้มครองการดับเพลิง แต่เนื่องจากพื้นที่ยังคงไม่มีความปลอดภัยจึงต้องถอยกลับออกมา. โดยเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำจุดจากแยกปทุมวันก็พยายามเคลื่อนที่เข้ามา เพื่อคุ้มครองการดับเพลิงด้วยเช่นกัน แต่ต้องตัดสินใจหยุดอยู่แถวสถานีรถไฟฟ้าสยาม เพราะถูกต่อต้านด้วยอาวุธ อีกทั้งเกรงว่าถ้าในพื้นที่ยังคงมีการใช้อาวุธกันแล้ว อาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการกระทำจาก เจ้าหน้าที่ทหาร ทำให้การเข้าพื้นที่เป็นไปด้วยความระมัดระวัง ซึ่งกว่าจะเข้าไปได้จริงก็เป็นช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น โดยทุกจุดได้ถูกเผาทำลายเสียหายไปจนหมดแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ในช่วงเวลาที่ห้างถูกเผา
ส่วนที่มีทีมดับเพลิงของ พ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา อ้างว่าถูกทหารสกัดไม่ให้ไปดับไฟในบริเวณห้างเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะไปพิจารณาเอาเองจากการแต่งกาย ซึ่งในปัจจุบันการแต่งกายคล้ายทหารจะพบเห็นได้ทั่วไป ไม่ได้มีแต่เฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่สวมใส่ และที่สำคัญที่ผ่านมามีผู้ที่กระทำความผิดหลายคนที่ถูกเจ้าหน้าที่จับได้ ก็จะแต่งกายในลักษณะนี้หลายคน.
สำหรับที่มีการเผยแพร่ภาะในสื่อผสม (วีทีอาร์) ในกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองปี 53 เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาระบุขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ของทหารโดยอ้างอิงมาจากบทความที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารเสนาธิปัตย์ ฉบับก.ย.– ธ.ค. 53 เรื่อง “บทเรียนยุทธการกระชับวงล้อม 7 พื้นที่ราชประสงค์ 14 – 19 พ.ค.53” เขียนโดย พ.อ.บุญรอด ศรีสมบัติ ที่แม้จะเป็นข้าราชการทหารแต่ก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่โดยตรงที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการปฏิบัติภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อยในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองในปี 53 ที่สำคัญบทความดังกล่าวไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงในนามของหน่วยงานได้ เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสรับทราบข้อมูล และได้ศึกษารายละเอียดเอกสารต่างๆอย่างเป็นทางการรอบด้านจากหน่วยงานที่รับผิดชอบจริงแล้ว ผู้เขียนจึงได้เขียนปรับใหม่และตีพิมพ์บทความลงในวารสารเสนาธิปัตย์ ฉบับที่ ม.ค. – มี.ค. 54 เรื่อง “บทเรียนการปฏิบัติการข่าวสาร : 9 กรณี ปปส.ในเมือง (มี.ค. – พ.ค. 53)”
ขณะเดียวกัน กองทัพบกขอวิงวอนไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองปี 53 อย่าได้นำเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีองค์ประกอบของข้อเท็จจริงที่ยังไม่ครบถ้วน ไม่ตรงกับสถานการณ์จริง หรืออ้างอิงออกไปเผยแพร่ เพราะเกรงว่าจะเป็นการสร้างรอยร้าวและความสับสนให้กับสังคมมากยิ่งขึ้น กองทัพบกขอย้ำว่าการปฏิบัติภารกิจรักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 53 เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้ปฏิบัติตามคำสั่งและเป็นไปตามกรอบกฎหมาย มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจนแบบเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ประสงค์ที่ใช้ความรุนแรง จึงขอให้ทุกฝ่ายได้ใช้ความอดทน ยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรมที่กำลังดำเนินไปในขณะนี้ซึ่งน่าจะดีที่สุด